คณะรัฐมนตรีอนุมัติในกลักการ การขอกู้เงินโดยการออกตราสารหนี้ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
1. ให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพ.) ออกและเสนอขายตราสารหนี้ให้กับนักลงทุนประเภทสถาบันและ / หรือประชาชนทั่วไป จำนวนไม่เกิน 85,000 ล้านบาท ซึ่งการออกและเสนอขายตราสารหนี้ดังกล่าวให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกำหนด โดยเสนอขายเป็นชุด ๆ ตามจำนวนเงินที่จำเป็นต้องใช้ในแต่ละช่วงเวลาและอายุไถ่ถอนแต่ละชุดไม่เกิน 5 ปี เพื่อนำเงินไปชำระหนี้เงินกู้ จ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง จ่ายดอกเบี้ย และเป็นค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ของกองทุนฯ
2. จัดสรรเงินอุดหนุนให้ สบพ. จำนวนไม่เกิน 12,000 ล้านบาท เพื่อให้ สบพ. มีกระแสเงินสดในแต่ละขณะเพียงพอที่จะบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามนโยบายของรัฐบาล โดยทยอยให้จัดสรรเป็นงวด ๆ ทั้งนี้ หากสบพ.ไม่ได้ใช้เงินตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว สบพ. จะดำเนินการทยอยคืนเงินที่ได้รับจัดสรร
3. จัดสรรเงินอุดหนุนให้ สบพ. เพื่อเป็นทุนให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ในกรณีที่ สบพ. ออกตราสารหนี้ครบ 85,000 ล้านบาทแล้ว แต่การชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงยังไม่สิ้นสุด
4. ให้ สบพ. กู้เงินจากธนาคารออมสินและธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จำนวนรายละ 3,750 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 7,500 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยจะนำเงินที่ได้จากการขายตราสารหนี้มาชำระคืน
ทั้งนี้ เพื่อให้กองทุนฯ มีเงินจ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและชำระหนี้ได้ เนื่องจากการดำเนินการออกตราสารหนี้ต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 7 สัปดาห์ หลังจากมีมติคณะรัฐมนตรี แต่ในสัปดาห์แรกเดือนมิถุนายน 2548 กองทุนมีรายจ่ายประมาณ 8,500 ล้านบาท
กระทรวงพลังงานรายงานว่า รัฐบาลได้ใช้นโยบายตรึงราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95,91 และดีเซลหมุนเร็ว ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547 เป็นต้นมา โดยให้ สบพ. จัดหาเงินทุนให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อจ่ายชดเชยราคาน้ำมันดังกล่าว ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้ สบพ. กู้เงินจากสถาบันการเงินภายในประเทศโดยมีกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ จำนวน 63,000 ล้านบาท ซึ่ง สบพ. ได้กู้เงินจำนวนดังกล่าวจากสถาบันการเงินภายในประเทศด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ ระยะเวลาครบกำหนดชำระ 12 เดือน โดยมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ระหว่างร้อยละ 1.75 ถึงร้อยละ 3.00 และ สบพ. ได้จ่ายเงินเพื่อชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับผู้ประกอบการแล้วจำนวน 66,303 ล้านบาท (งวดวันที่ 10 มกราคม 2547 - 31 มีนาคม 2548) โดยแยกเป็นเงินจากกองทุนฯ 4,367 ล้านบาท และเงินกู้จำนวน 61,936 ล้านบาท ซึ่งเงินกู้ที่เหลือจำนวน 1,064 ล้านบาท ได้สะสมไว้จ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงงวดเดือนเมษายน 2548 สำหรับเงินกู้จำนวน 63,000 ล้านบาท จะเริ่มทยอยครบกำหนดชำระคืนตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2548 เป็นต้นไป และกองทุนฯ ยังคงมีภาระในการชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ โดยปัจจุบันอัตราเงินชดเชยสุทธิของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.90 บาท/ลิตร และหากไม่มีการปรับราคาน้ำมันดีเซลจนถึงสิ้นปี 2548 คาดว่ากองทุน ฯ จะต้องใช้เงินเพื่อจ่ายชดเชยเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 27,360 ล้านบาท
ทั้งนี้ พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ตามมาตรา 19 ห้ามมิให้กระทรวงการคลังหรือหน่วยงานของภาครัฐค้ำประกันหนี้ที่เกิดขึ้นหรือตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยเงินกู้ของหนี้ที่เกิดจากการก่อหนี้ของ สบพ. อีกต่อไป และสบพ. ไม่มีทรัพย์สินใดที่สามารถใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ จึงทำให้ สบพ. ไม่สามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินได้ ดังนั้น เพื่อให้ สบพ. มีเงินชำระหนี้เงินกู้ที่ครบกำหนดชำระและหนี้ที่ค้างชำระตลอดจนให้กระทรวงพลังงานสามารถดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลในการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างต่อเนื่อง และกองทุนฯ มีสภาพคล่องทางการเงิน รวมทั้งเพื่อให้ตราสารหนี้ของ สบพ. ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับสูง ซึ่งจะเป็นที่สนใจของนักลงทุน กระทรวงพลังงานจึงเสนอขอกู้เงินโดยการออกตราสารหนี้ดังกล่าว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 31 พฤษภาคม 2548--จบ--
1. ให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพ.) ออกและเสนอขายตราสารหนี้ให้กับนักลงทุนประเภทสถาบันและ / หรือประชาชนทั่วไป จำนวนไม่เกิน 85,000 ล้านบาท ซึ่งการออกและเสนอขายตราสารหนี้ดังกล่าวให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกำหนด โดยเสนอขายเป็นชุด ๆ ตามจำนวนเงินที่จำเป็นต้องใช้ในแต่ละช่วงเวลาและอายุไถ่ถอนแต่ละชุดไม่เกิน 5 ปี เพื่อนำเงินไปชำระหนี้เงินกู้ จ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง จ่ายดอกเบี้ย และเป็นค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ของกองทุนฯ
2. จัดสรรเงินอุดหนุนให้ สบพ. จำนวนไม่เกิน 12,000 ล้านบาท เพื่อให้ สบพ. มีกระแสเงินสดในแต่ละขณะเพียงพอที่จะบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามนโยบายของรัฐบาล โดยทยอยให้จัดสรรเป็นงวด ๆ ทั้งนี้ หากสบพ.ไม่ได้ใช้เงินตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว สบพ. จะดำเนินการทยอยคืนเงินที่ได้รับจัดสรร
3. จัดสรรเงินอุดหนุนให้ สบพ. เพื่อเป็นทุนให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ในกรณีที่ สบพ. ออกตราสารหนี้ครบ 85,000 ล้านบาทแล้ว แต่การชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงยังไม่สิ้นสุด
4. ให้ สบพ. กู้เงินจากธนาคารออมสินและธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จำนวนรายละ 3,750 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 7,500 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยจะนำเงินที่ได้จากการขายตราสารหนี้มาชำระคืน
ทั้งนี้ เพื่อให้กองทุนฯ มีเงินจ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและชำระหนี้ได้ เนื่องจากการดำเนินการออกตราสารหนี้ต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 7 สัปดาห์ หลังจากมีมติคณะรัฐมนตรี แต่ในสัปดาห์แรกเดือนมิถุนายน 2548 กองทุนมีรายจ่ายประมาณ 8,500 ล้านบาท
กระทรวงพลังงานรายงานว่า รัฐบาลได้ใช้นโยบายตรึงราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95,91 และดีเซลหมุนเร็ว ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547 เป็นต้นมา โดยให้ สบพ. จัดหาเงินทุนให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อจ่ายชดเชยราคาน้ำมันดังกล่าว ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้ สบพ. กู้เงินจากสถาบันการเงินภายในประเทศโดยมีกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ จำนวน 63,000 ล้านบาท ซึ่ง สบพ. ได้กู้เงินจำนวนดังกล่าวจากสถาบันการเงินภายในประเทศด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ ระยะเวลาครบกำหนดชำระ 12 เดือน โดยมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ระหว่างร้อยละ 1.75 ถึงร้อยละ 3.00 และ สบพ. ได้จ่ายเงินเพื่อชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับผู้ประกอบการแล้วจำนวน 66,303 ล้านบาท (งวดวันที่ 10 มกราคม 2547 - 31 มีนาคม 2548) โดยแยกเป็นเงินจากกองทุนฯ 4,367 ล้านบาท และเงินกู้จำนวน 61,936 ล้านบาท ซึ่งเงินกู้ที่เหลือจำนวน 1,064 ล้านบาท ได้สะสมไว้จ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงงวดเดือนเมษายน 2548 สำหรับเงินกู้จำนวน 63,000 ล้านบาท จะเริ่มทยอยครบกำหนดชำระคืนตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2548 เป็นต้นไป และกองทุนฯ ยังคงมีภาระในการชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ โดยปัจจุบันอัตราเงินชดเชยสุทธิของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.90 บาท/ลิตร และหากไม่มีการปรับราคาน้ำมันดีเซลจนถึงสิ้นปี 2548 คาดว่ากองทุน ฯ จะต้องใช้เงินเพื่อจ่ายชดเชยเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 27,360 ล้านบาท
ทั้งนี้ พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ตามมาตรา 19 ห้ามมิให้กระทรวงการคลังหรือหน่วยงานของภาครัฐค้ำประกันหนี้ที่เกิดขึ้นหรือตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยเงินกู้ของหนี้ที่เกิดจากการก่อหนี้ของ สบพ. อีกต่อไป และสบพ. ไม่มีทรัพย์สินใดที่สามารถใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ จึงทำให้ สบพ. ไม่สามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินได้ ดังนั้น เพื่อให้ สบพ. มีเงินชำระหนี้เงินกู้ที่ครบกำหนดชำระและหนี้ที่ค้างชำระตลอดจนให้กระทรวงพลังงานสามารถดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลในการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างต่อเนื่อง และกองทุนฯ มีสภาพคล่องทางการเงิน รวมทั้งเพื่อให้ตราสารหนี้ของ สบพ. ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับสูง ซึ่งจะเป็นที่สนใจของนักลงทุน กระทรวงพลังงานจึงเสนอขอกู้เงินโดยการออกตราสารหนี้ดังกล่าว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 31 พฤษภาคม 2548--จบ--