คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินงานตามนโยบายและวาระแห่งชาติเรื่องการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ดังนี้
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รายงานว่า หลังจากที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศเจตนารมณ์ และมอบนโยบายในการประชุมระดับชาติ เรื่อง การค้ามนุษย์ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2547 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ องค์กรภาคเอกชน องค์การระหว่างประเทศได้ร่วมมือดำเนินการตามนโยบาย ปรากฏผลเป็นรูปธรรม ดังนี้
1. การดำเนินงานด้านการป้องกัน
1.1 รณรงค์ป้องกันปัญหา โดยใช้สื่อต่าง ๆ การรณรงค์โดยอาศัยผู้นำศาสนา กลุ่มเด็กและเยาวชน ตลอดจนอาศัยความร่วมมือจากผู้เสียหาย
1.2 ประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดฐานค้ามนุษย์
1.3 รณรงค์ให้ความรู้แก่ชุมชน และกลุ่มเสี่ยง และสร้างกลไกเครือข่ายในทุกพื้นที่
2. การดำเนินงานด้านการบังคับใช้กฎหมาย และนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ
2.1 มีการดำเนินการคดีผู้กระทำผิดฐานค้ามนุษย์อย่างจริงจัง และต่อเนื่องโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำให้สามารถปราบปรามเครือข่ายขบวนการค้ามนุษย์ได้ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ จำนวนมาก และสามารถช่วยเหลือเด็กและหญิงที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ได้เพิ่มขึ้น
2.2 มีการปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัญหา ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ... มีการประชาสัมพันธ์พระราชบัญญัติการคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. 2546 พระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย ค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 ในส่วนการบังคับใช้กฎหมาย ได้มีการนำพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาใช้เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติในคดีการค้ามนุษย์
2.3 มีการจัดทำหลักเกณฑ์การคัดแยกเหยื่อการค้ามนุษย์และมีความร่วมมือดำเนินการระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในการคัดแยกเหยื่อการค้ามนุษย์จากผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย เพื่อให้มีการปฏิบัติต่อเหยื่อการค้ามนุษย์ตามหลักการของสิทธิมนุษยชน
3. ด้านการคุ้มครองและเยียวยาผู้ที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์
3.1 มีการประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และองค์การเอกชน องค์กรระหว่างประเทศ ในการช่วยเหลือหญิงและเด็กที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ ทั้งกรณีคนไทยและต่างชาติ
3.2 มีการจัดทำบันทึกข้อตกลงเรื่องแนวทางปฏิบัติร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐ เอกชนไทยในประเทศ ในการช่วยเหลือหญิงและเด็กที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ ทั้งกรณีคนไทยและต่างชาติ
3.3 มีการประสานความร่วมมือกับต่างประเทศทั้งต้นทาง และปลายทางเพื่อให้เกิดกลไกการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และการทำงานด้านการป้องกัน ปราบปรามผู้กระทำผิด การคุ้มครอง ฟื้นฟู เยียวยา การส่งกลับคืนสู่สังคม ซึ่งได้มีกลไกความร่วมมือภายหลังจากการประกาศวาระแห่งชาติ ดังนี้
1) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านการค้ามนุษย์ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
2) การจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ว่าด้วยความร่วมมือต่อต้านการค้ามนุษย์
3) การผลักดันให้เกิดกลไกภาครัฐในประเทศต้นทางในการคุ้มครองช่วยเหลือ ไม่ลงโทษเหยื่อการค้ามนุษย์ฐานหลบหนีออกจากประเทศ และสร้างกลไกรองรับในการส่งกลับ และคืนสู่สังคมอย่างต่อเนื่อง โดยมีความคืบหน้าในการหารือร่วมกับส่วนราชการของประเทศพม่า จีน และเวียดนาม ซึ่งยังเป็นประเทศที่ยังไม่มีระบบการรองรับและช่วยเหลือเหยื่อการค้ามนุษย์ เช่นเดียวกับกัมพูชา และลาว โดยได้มีการหารือและส่งกลับเหยื่อการค้ามนุษย์อย่างเป็นทางการกับหน่วยงานภาครัฐของประเทศดังกล่าว และอยู่ระหว่างการหารือเพื่อจัดทำข้อปฏิบัติ และเกณฑ์มาตรฐานในการดูแลคุ้มครองเหยื่อร่วมกันต่อไป
4) มีการประสานความร่วมมือกับประเทศปลายทางในการช่วยเหลือหญิงไทยที่เป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ในต่างประเทศให้กลับภูมิลำเนาด้วยความปลอดภัย ดูแลฟื้นฟูร่างกายจิตใจ ช่วยเหลือในการดำเนินคดี และคืนสู่สังคม โดยมีการประสานความร่วมมือกับประเทศออสเตรเลีย และญี่ปุ่น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 14 มิถุนายน 2548--จบ--
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รายงานว่า หลังจากที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศเจตนารมณ์ และมอบนโยบายในการประชุมระดับชาติ เรื่อง การค้ามนุษย์ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2547 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ องค์กรภาคเอกชน องค์การระหว่างประเทศได้ร่วมมือดำเนินการตามนโยบาย ปรากฏผลเป็นรูปธรรม ดังนี้
1. การดำเนินงานด้านการป้องกัน
1.1 รณรงค์ป้องกันปัญหา โดยใช้สื่อต่าง ๆ การรณรงค์โดยอาศัยผู้นำศาสนา กลุ่มเด็กและเยาวชน ตลอดจนอาศัยความร่วมมือจากผู้เสียหาย
1.2 ประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดฐานค้ามนุษย์
1.3 รณรงค์ให้ความรู้แก่ชุมชน และกลุ่มเสี่ยง และสร้างกลไกเครือข่ายในทุกพื้นที่
2. การดำเนินงานด้านการบังคับใช้กฎหมาย และนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ
2.1 มีการดำเนินการคดีผู้กระทำผิดฐานค้ามนุษย์อย่างจริงจัง และต่อเนื่องโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำให้สามารถปราบปรามเครือข่ายขบวนการค้ามนุษย์ได้ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ จำนวนมาก และสามารถช่วยเหลือเด็กและหญิงที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ได้เพิ่มขึ้น
2.2 มีการปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัญหา ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ... มีการประชาสัมพันธ์พระราชบัญญัติการคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. 2546 พระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย ค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 ในส่วนการบังคับใช้กฎหมาย ได้มีการนำพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาใช้เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติในคดีการค้ามนุษย์
2.3 มีการจัดทำหลักเกณฑ์การคัดแยกเหยื่อการค้ามนุษย์และมีความร่วมมือดำเนินการระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในการคัดแยกเหยื่อการค้ามนุษย์จากผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย เพื่อให้มีการปฏิบัติต่อเหยื่อการค้ามนุษย์ตามหลักการของสิทธิมนุษยชน
3. ด้านการคุ้มครองและเยียวยาผู้ที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์
3.1 มีการประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และองค์การเอกชน องค์กรระหว่างประเทศ ในการช่วยเหลือหญิงและเด็กที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ ทั้งกรณีคนไทยและต่างชาติ
3.2 มีการจัดทำบันทึกข้อตกลงเรื่องแนวทางปฏิบัติร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐ เอกชนไทยในประเทศ ในการช่วยเหลือหญิงและเด็กที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ ทั้งกรณีคนไทยและต่างชาติ
3.3 มีการประสานความร่วมมือกับต่างประเทศทั้งต้นทาง และปลายทางเพื่อให้เกิดกลไกการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และการทำงานด้านการป้องกัน ปราบปรามผู้กระทำผิด การคุ้มครอง ฟื้นฟู เยียวยา การส่งกลับคืนสู่สังคม ซึ่งได้มีกลไกความร่วมมือภายหลังจากการประกาศวาระแห่งชาติ ดังนี้
1) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านการค้ามนุษย์ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
2) การจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ว่าด้วยความร่วมมือต่อต้านการค้ามนุษย์
3) การผลักดันให้เกิดกลไกภาครัฐในประเทศต้นทางในการคุ้มครองช่วยเหลือ ไม่ลงโทษเหยื่อการค้ามนุษย์ฐานหลบหนีออกจากประเทศ และสร้างกลไกรองรับในการส่งกลับ และคืนสู่สังคมอย่างต่อเนื่อง โดยมีความคืบหน้าในการหารือร่วมกับส่วนราชการของประเทศพม่า จีน และเวียดนาม ซึ่งยังเป็นประเทศที่ยังไม่มีระบบการรองรับและช่วยเหลือเหยื่อการค้ามนุษย์ เช่นเดียวกับกัมพูชา และลาว โดยได้มีการหารือและส่งกลับเหยื่อการค้ามนุษย์อย่างเป็นทางการกับหน่วยงานภาครัฐของประเทศดังกล่าว และอยู่ระหว่างการหารือเพื่อจัดทำข้อปฏิบัติ และเกณฑ์มาตรฐานในการดูแลคุ้มครองเหยื่อร่วมกันต่อไป
4) มีการประสานความร่วมมือกับประเทศปลายทางในการช่วยเหลือหญิงไทยที่เป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ในต่างประเทศให้กลับภูมิลำเนาด้วยความปลอดภัย ดูแลฟื้นฟูร่างกายจิตใจ ช่วยเหลือในการดำเนินคดี และคืนสู่สังคม โดยมีการประสานความร่วมมือกับประเทศออสเตรเลีย และญี่ปุ่น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 14 มิถุนายน 2548--จบ--