สรุปผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ชุด นางสาวแพทองธาร ชินวัตร(นายกรัฐมนตรี) วันที่ 3 มีนาคม 2568

ข่าวการเมือง Monday March 3, 2025 13:07 —มติคณะรัฐมนตรี

1
http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ 3 มีนาคม 2568 เวลา 09.00 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทาเนียบรัฐบาล สรุปสาระสาคัญ ดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย (ฉบับที่..) พ.ศ. ....
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกาหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ ชนิด เหนี่ยวนาสามเฟสต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ....
4. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนดอนแสลบ จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. ....
เศรษฐกิจ-สังคม 5. เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2562 เรื่อง ขอทบทวนมติ คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2562 เรื่อง การทบทวนระบบบริหารจัดการ นมโรงเรียน
6. เรื่อง การขอรับสนับสนุนงบประมาณ งบกลาง โครงการจัดหาชุดเครื่องผลิตสารฝน หลวงสูตร 3 (น้าแข็งแห้ง) ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
7. เรื่อง ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจาเป็นเพื่อดาเนินโครงการ Maha Songkran World Water Festival 2025 8. เรื่อง ขออนุมัติโครงการนาเรือประมงออกนอกระบบ เพื่อการจัดการทรัพยากรประมง ทะเลที่ยั่งยืน
9. เรื่อง ผลการพิจารณาญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแนวทางการ แก้ไขปัญหาการใช้ความรุนแรงในเยาวชน
ต่างประเทศ
10. เรื่อง หนังสือสัญญาการรับเงินอุดหนุน (Grant Agreement) ภายใต้โครงการความ ร่วมมือไทย-เยอรมัน ด้านพลังงาน คมนาคม และการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ (Thai-German Cooperation on Energy, Mobility, and Climate : TGC-EMC) ระหว่างสานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (Deutsche Gesellschaft f?r Internationale Zusammenarbeit : GIZ)
11. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมคณะกรรมาธิการว่าด้วย สถานภาพสตรี สมัยที่ 6 (Commission on the Status of Women-CSW69)
12. เรื่อง ร่างปฏิญญาสาหรับการประชุมรัฐภาคีสนธิสัญญาห้ามอาวุธนิวเคลียร์ (Treaty on the Prohibition of Nuclear Weapons - TPN) ครั้งที่ 3 (Third Meeting of States Parties - 3MSP)
2
13. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมสาหรับความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดน ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้าโขง ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 9
14. เรื่อง เอกสารผลลัพธ์ของการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ครั้งที่ 15 และการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วม พื้นที่ชายแดน (CDS) ครั้งที่ 6 ระดับรัฐมนตรี ระหว่างไทยกับมาเลเซีย
แต่งตั้ง
15. เรื่อง ขออนุมัติต่อเวลาการดารงตาแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ดารงตาแหน่ง ประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงคมนาคม)
16. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (สานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
3
กฎหมาย
1.เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติลักษณะปกครองที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ตรวจพิจารณาแล้วตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ สาระสาคัญ 1. ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคาวินิจฉัยว่า มาตรา 12 (11) แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช 2567 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2542 ในส่วนที่กาหนดให้การกระทาผิดเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ กฎหมายว่าด้วยยาเสพติด และกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง เป็นคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้าน โดยไม่จาแนกประเภทการกระทาและความหนักเบาแห่งสภาพบังคับนั้น เป็นการเพิ่มภาระหรือจากัดสิทธิของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุซึ่งไม่ได้สัดส่วนกัน ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 26 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2. กระทรวงมหาดไทยจึงเสนอร่างพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติหลักการและสานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสาคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช 2457 เกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ใหญ่บ้าน โดยกาหนดให้ผู้ที่จะได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านต้องไม่เป็นผู้เคยต้องคาพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทาความผิดตามกฎหมายและฐานความผิดตามที่กาหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัติฯ บัญชี ก (5 ฉบับ) เช่น ประมวลกฎหมายยาเสพติด กฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง และผู้ที่จะได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านต้องไม่เป็นผู้เคยต้องคาพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทาความผิดตามกฎหมายและฐานความผิดตามที่กาหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัติฯบัญชี ข (7 ฉบับ) เช่น กฎหมายเกี่ยวกับป่าไม้ ป่าสงวนแห่งชาติ กฎหมายเกี่ยวกับอาวุธปืน และยังไม่พ้นกาหนดเวลา 10 ปี นับแต่วันพ้นโทษหรือวันพ้นระยะเวลารอการลงโทษหรือรอการกาหนดโทษ แล้วแต่กรณี เป็นผู้ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามที่จะได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้าน (พ้นกาหนดระยะเวลา 10 ปี สามารถสมัครเพื่อเข้ารับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านได้)
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย (ฉบับที่..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ตรวจพิจารณาแล้วและรับทราบแผนในการจัดทากฎหมายลาดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสาคัญของกฎหมายลาดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ
สาระสาคัญของเรื่อง
ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยฯ มีสาระสาคัญเป็นการขยายความคุ้มครองภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยให้ครอบคลุมตารับยาแผนไทยของชุมชนและตาราการแพทย์แผนไทยของชุมชน นอกเหนือจากปัจจุบันที่ให้ความคุ้มครองเพียง 3 ประเภท (ตารับยาแผนไทยของชาติหรือตาราการแพทย์แผนไทยของชาติ ตารับยาแผนไทยทั่วไปหรือตาราการแพทย์แผนไทยทั่วไป และตารายาแผนไทยส่วนบุคคลหรือตาราการแพทย์แผนไทยส่วนบุคคล) เพื่อให้ชุมชนมีโอกาสหรือมีสิทธิในการมีส่วนร่วมในการดูแลสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยของชุมชนได้ หากมีการนาไปใช้ประโยชน์ในทางการค้าจะต้องมีการขอรับอนุญาต จ่ายค่าธรรมเนียม และค่าตอบแทนให้แก่ชุมชน และเพิ่มบทกาหนดโทษทางอาญา เช่น กาหนดโทษสาหรับการนาภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยของชาติหรือชุมชนไปใช้ประโยชน์โดยไม่ได้รับอนุญาต (ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจาทั้งปรับ) เพิ่มบทบัญญัติที่ให้อานาจอธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายสามารถเปรียบเทียบคดีความผิดที่มีโทษปรับสถานเดียวหรือโทษปรับหรือจาคุกไม่เกิน 1 ปี รวมทั้งปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับหนังสือสาคัญแสดงการจดทะเบียนสิทธิท้ายพระราชบัญญัติเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และกาหนดค่าธรรมเนียมบางประเภทเพิ่มเติม
4
กระทรวงสาธารณสุขได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ และได้จัดทาสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทาร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 แล้ว รวมทั้งได้จัดทาแผนในการจัดทากฎหมายลาดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสาคัญของกฎหมายลาดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว จานวน 14 ฉบับ
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกาหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ ชนิดเหนี่ยวนาสามเฟสต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกาหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ ชนิดเหนี่ยวนาสามเฟสต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ ซึ่งสานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดาเนินการต่อไป
สาระสาคัญของเรื่อง
ร่างกฎกระทรวงกาหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ ชิดเหนี่ยวนาสามเฟสฯ มีสาระสาคัญเป็นการปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ ชนิดเหนี่ยวนาสามเฟส ตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 867 ? 2550 โดยเป็นการยกเลิกมาตรฐานเดิมและกาหนดมาตรฐานใหม่ให้เป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก.866 เล่ม 30(101) ? 2561 เนื่องจากข้อกาหนดอันเป็นสาระสาคัญในเอกสารที่ใช้อ้างอิงมีการเปลี่ยนแปลง จึงเห็นสมควรแก้ไขปรับปรุงมาตรฐานให้สอดคล้องกับข้อกาหนดตามมาตรฐานอ้างอิงที่มีการปรับปรุงใหม่ เพื่อปรับปรุงมาตรฐานให้เป็นปัจจุบันสอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศ และเพื่อรองรับการพัฒนาเทคโนโลยีการทาและการใช้งานภายในประเทศอย่างทั่วถึง รวมทั้งเพื่อป้องกันความเสียหายอันเกิดแก่ประชาชน หรือกิจการอุตสาหกรรมหรือเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ ผู้ทาหรือผู้นาเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ ชนิดเหนี่ยวนาสามเฟส จะต้องขอรับใบอนุญาตทาหรือนาเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าว และผู้จาหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ ชนิดเหนี่ยวนาสามเฟสจะต้องจาหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าวที่ได้รับใบอนุญาตและเป็นไปตามมาตรฐาน โดยร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมีผลใช้บังคับเพื่อพ้นกาหนด 365 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
4. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนดอนแสลบ จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนดอนแสลบ จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ดาเนินการต่อไปได้ รวมทั้ง ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงสาธารณสุขไปพิจารณาดาเนินการต่อไปด้วย
สาระสาคัญของเรื่อง
1. ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนดอนแสลบ จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. .... เป็นการกาหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตาบลดอนแสลบ อาเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดารงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งมีนโยบายและมาตรการเพื่อจัดระบบการใช้ประโยชน์ที่ดิน โครงข่ายคมนาคมขนส่งและบริการสาธารณะให้มีประสิทธิภาพ สามารถรองรับและสอดคล้องกับการขยายตัวของชุมชนในอนาคต รวมทั้ง ส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจด้านที่อยู่อาศัย พาณิชยกรรม และการบริการให้สอดคล้องกับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมของชุมชน ส่งเสริมและพัฒนาชุมชนดอนแสลบให้เป็น ศูนย์กลางด้านการค้าและการบริการระดับชุมชน ส่งเสริมและพัฒนาด้านการท่องเที่ยว ศิลปะและวัฒนธรรม ส่งเสริมและพัฒนาการบริการทางสังคม
5
การสาธารณูปโภคและสาธารณูปการให้เพียงพอและได้มาตรฐาน รวมทั้งอนุรักษ์เพื่อส่งเสริมเอกลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมไทย โดยได้มีการกาหนดแผนผังและการใช้ประโยชน์ที่ดินภายในเขตผังเมืองรวมจาแนกออกเป็น 7 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะกาหนดลักษณะกิจการที่ให้ดาเนินการตามวัตถุประสงค์การใช้ที่ดินแต่ละประเภทนั้น ๆ ตลอดจนกาหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามแผนผังโครงการคมนาคมและขนส่ง ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ดาเนินการตามขั้นตอนที่กาหนดไว้ในพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 แล้ว และคณะกรรมการผังเมืองได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว
เศรษฐกิจ-สังคม 5. เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2562 เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2562 เรื่อง การทบทวนระบบบริหารจัดการนมโรงเรียน คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้ 1. ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2562 เรื่อง ของ ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2552 เรื่อง การทบทวนระบบบริหารจัดการนมโรงเรียนและให้ใช้ข้อเสนอแนวทางการพัฒนาโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน (โครงการนมโรงเรียนฯ) 2. เห็นชอบการกาหนดวัตถุประสงค์ของโครงการนมโรงเรียนฯ จานวน 4 ข้อ ดังนี้ (1) นักเรียนทั้งประเทศได้ดื่มนมที่มีคุณภาพ (2) เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมสามารถผลิตขายน้านมโคที่มีคุณภาพได้และมีความยั่งยืนในอาชีพ (3) เพื่อสร้างศักยภาพ ความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์โคนม รัฐวิสาหกิจและสถาบันการศึกษาในการดาเนินกิจการผลิตนมในลาดับแรก ซึ่งจะเกิดความมั่นคงทางอาหารของประเทศ (4) ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมได้รับการจัดสรรสิทธิและพื้นที่การจาหน่ายอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม สาระสาคัญของเรื่อง กษ. รายงานว่า 1. สถานการณ์การผลิตและการเลี้ยงโคนมในปัจจุบันมีจานวนเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมลดลงจาก 15,724 ราย ในปี 2566 เป็นจานวน 14,997 ราย ในปี 2567 ส่งผลให้ปริมาณน้านมโคของทั้งประเทศลดลงจาก 1.026 ล้านตันต่อปี ในปี 2566 เป็น 1.011 ล้านตันต่อปี ในปี 2567 รวมทั้งจานวนแม่โครีดนมยังมีแนวโน้มลดจานวนลงอย่างต่อเนื่องโดยลดลงจาก 244,292 ตัว ในปี 2566 เป็น 233,501 ตัวในปี 2567 ประกอบกับภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย - ออสเตรเลีย [Thailand - Australia Free Trade Agreement (TAFTA)) และความตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นไทย ? นิวซีแลนด์ [Thailand - New Zealand Closer Economic Partnership (TNZCEP)) ทาให้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ประเทศไทย ต้องยกเลิกโควตาภาษีของนมผงขาดมันเนย และนมและครีม ให้เป็นร้อยละ 0 ความตกลงดังกล่าวจึงผลกระทบต่อภาคการผลิตของอุตสาหกรรมนมของไทยเนื่องจากทาให้ต้นทุนการผลิตอุตสาหกรรมนมสูงขึ้น รวมทั้งแนวโน้มจานวนเด็กนักเรียนของไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง จากจานวนนักเรียนในโครงการนมโรงเรียนฯ ปี 2563 จานวน 7,036,845 คน แต่ในปี 2567 กลับลดเหลือจานวน 6,525,110 คน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อจานวนที่จะนามาจัดสรรสิทธิโดยเฉพาะภาคสหกรณ์โคนม รัฐวิสาหกิจ และสถานศึกษา (ตั้งแต่เริ่มโครงการนมโรงเรียนฯ ในปี 2562 มีแนวโน้มการได้รับสิทธิจาหน่ายนมโรงเรียนลดลงตามลาดับ) 2. เนื่องจากแนวโน้มภาคสหกรณ์โคนมรัฐวิสาหกิจและสถานศึกษาได้รับการจัดสรรสิทธินมโรงเรียนลดลง รวมถึงการยกเลิกโควตาภาษีของนมผงขาดมันเนยและนมและครีมให้เป็นร้อยละ 0 ส่งผลให้อุตสาหกรรมโคนมมีข้อจากัดด้านการแข่งขันทางการตลาด ประกอบกับข้อมูลสถิติการเลี้ยงโคนมและเขตการบริหารราชการของ กรมปศุสัตว์ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และการกระจายตัวของโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์นมไม่สัมพันธ์กับหลักโลจิสติกส์ โดยการทบทวนปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวจะช่วยลดปัญหาการจัดสรรสิทธิการจาหน่าย
6
นมโรงเรียนในบางกลุ่มพื้นที่ที่มีปัญหาการขนส่งช่วยลดต้นทุนค่าขนส่ง อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการกากับดูแลการดาเนินโครงการนมโรงเรียนฯ ของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชนด้วย 3. การขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2562 ในประเด็นโครงสร้างระบบบริหารโครงการนมโรงเรียนฯ จากเดิมที่แบ่งกลุ่มพื้นที่ 5 เขตพื้นที่ เป็น 7 เขตพื้นที่ จะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาด้านการขนส่งนมโรงเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเขตภาคใต้ ซึ่งเมื่อมีการแบ่งเขตใหม่จะสามารถช่วยลดระยะทางในการขนส่งนมโรงเรียนได้จากเดิมที่ต้องขนส่งระยะทางไกลที่สุด 1,191 กิโลเมตร เหลือเพียงแค่ 505 กิโลเมตร อย่างไรก็ตาม การแบ่งเขตกลุ่มพื้นที่ใหม่นี้อาจจะไม่ช่วยทาให้จานวนนักเรียนและจานวนศูนย์รวบรวมน้านมดิบมีการกระจายตัวอย่างสมดุลในแต่ละกลุ่มพื้นที่มากนัก ซึ่ง กษ. สามารถทดแทนได้จากการรับนมของพื้นที่นอกเขต โดยปัจจุบันในแต่ละกลุ่มพื้นที่มีปริมาณนมยื่นสมัครเข้าร่วมโครงการนมโรงเรียนฯ ต่อวันเพียงพอต่อความต้องการในกลุ่มพื้นที่นั้น ๆ อยู่แล้ว
6. เรื่อง การขอรับสนับสนุนงบประมาณ งบกลาง โครงการจัดหาชุดเครื่องผลิตสารฝนหลวงสูตร 3 (น้าแข็งแห้ง) ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจาเป็นเพื่อดาเนินโครงการจัดหาชุดเครื่องผลิตสารฝนหลวงสูตร 3 (น้าแข็งแห้ง) จานวน 4 แห่ง วงเงินงบประมาณ 200,000,000 บาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ
สาระสาคัญของเรื่อง
1. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมฝนหลวงและการบินเกษตร มีภารกิจเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้าในชั้นบรรยากาศแบ่งเป็น ปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อป้องกันแก้ไขปัญหาภัยแล้งและเพิ่มปริมาณน้าในอ่างเก็บน้าทั่วประเทศและปฏิบัติการดัดแปรสภาพอากาศเพื่อป้องกันแก้ไขบรรเทาภัยพิบัติอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกรมฝนหลวงและการบินเกษตร มีความต้องการใช้น้าแข็งแห้งในการปฏิบัติการฝนหลวง ขั้นตอนการโจมตีปีละ 2,240 ตัน และมีความต้องการใช้น้าแข็งแห้งในการระบายฝุ่นละอองใต้ชั้นอุณหภูมิผกผันสู่ชั้นบรรยากาศด้านบนเพื่อบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ปีละ 3,600 ตัน รวมเป็นความต้องการใช้น้าแข็งแห้งทั้งสิ้น ปีละ 5,840 ตัน แต่ปัจจุบันกรมฝนหลวงและการบินเกษตรได้รับการสนับสนุนน้าแข็งแห้งจาก บริษัท ปตท. จากัด (มหาชน) จานวน 600 ตัน/ปี ซึ่งไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติงาน
2. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจาเป็น พ.ศ. 2562 เพื่อดาเนินงานตามโครงการจัดหาชุดเครื่องผลิตสารฝนหลวงสูตร 3 (น้าแข็งแห้ง) จานวน 4 แห่ง วงเงินงบประมาณ 200,000,000 บาท โดยขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจาเป็น ทั้งนี้ ได้จัดทาแผนการบริหารจัดการและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาตรา 27
ประโยชน์และผลกระทบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติการฝนหลวงในการป้องกันแก้ไขปัญหาภัยแล้งและการดัดแปรสภาพอากาศในการบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกรและประชาชนผู้ประสบภัยแล้งและภัยพิบัติ อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว
7. เรื่อง ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจาเป็นเพื่อดาเนินโครงการ Maha Songkran World Water Festival 2025
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจาเป็นจานวน 153,034,700 บาท เพื่อดาเนินโครงการ Maha Songkran World Water Festival 2025 ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เสนอ
7
สาระสาคัญของเรื่อง
1. ททท. ได้ดาเนินการปรับรายละเอียดงบประมาณของการจัดงาน Maha Songkran World Water Festival 2025 ซึ่งสานักงบประมาณได้พิจารณากรอบวงเงินให้ ททท. จานวน 193,034,700 บาท แบ่งเป็น การจัดกิจกรรม ณ ท้องสนามหลวง จานวน 93,264,800 บาท การจัดทาขบวนพาเหรด จานวน 48,000,000 บาท การโฆษณาและประชาสัมพันธ์งบกลางฯ จานวน 11,769,900 บาท และให้ใช้งบประมาณรายจ่ายประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จานวน 40,000,000 บาท ททท. จึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจาเป็น จานวน 153,034,700 บาท
รายการค่าใช้จ่าย/กิจกรรม
งบประมาณ (บาท)
1. การจัดกิจกรรม ณ ท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานคร
93,264,800
2. การจัดทาขบวนพาเหรด
48,000,000
3. การโฆษณาและประชาสัมพันธ์
11,769,900
รวมทั้งสิ้น
153,034,700
2. สานักงบประมาณแจ้งว่า นายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจาเป็น ภายใต้กรอบวงเงิน 153,034,700 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดงาน Maha Songkran World Water Festival 2025 ด้วยแล้ว
ประโยชน์และผลกระทบ
- เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยคาดการณ์จานวนนักท่องเที่ยวเข้าร่วมงานมากกว่า 800,000 คน ซึ่งจะก่อให้เกิดรายได้และเงินหมุนเวียนในช่วงของการจัดงานประมาณ 3,200,000,000 บาท อันส่งผลต่อเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ - เป็นการร่วมอนุรักษ์และสืบทอดประเพณีอันดีงามของประเทศไทยให้ปรากฏแก่สายตาชาวโลก ตอกย้าความเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity)
- กระตุ้นการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย รวมถึงสร้างรายได้หมุนเวียนทางเศรษฐกิจของประเทศ
8. เรื่อง ขออนุมัติโครงการนาเรือประมงออกนอกระบบ เพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ 1. อนุมัติโครงการนาเรือประมงออกนอกระบบเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน 2. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณในการดาเนินโครงการนาเรือประมงออกนอกระบบฯ โดยมี งบประมาณค่าใช้จ่ายในการชดเชยเรือประมง จานวน 923 ลา วงเงิน 1,622,605,300 บาท (หนึ่งพันหกร้อยยี่สิบสองล้านหกแสนห้าพันสามร้อยบาทถ้วน) โดยขอใช้งประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจาเป็น ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 สาระสาคัญ กรมประมงได้จัดทาโครงการนาเรือประมงออกนอกระบบ เพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเล ที่ยั่งยืน โดยมีสาระสาคัญ ดังนี้ 1. วัตถุประสงค์ 1.1 เพื่อบริหารจัดการกองเรือประมงพาณิชย์ โดยรักษาความสมดุลของจานวนเรือประมงพาณิชย์กับปริมาณสัตว์น้าที่สามารถนามาใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน 1.2 เพื่อนาเรือประมงออกนอกระบบอย่างถาวร ตามแผนการบริหารจัดการประมงทะเล ของประเทศไทย 1.3 เพื่อส่งเสริมชาวประมงให้ได้มีโอกาสประกอบอาชีพอื่น
8
1.4 เพื่อเปิดโอกาสให้ชาวประมงสามารถนาเรือประมงไปประกอบอาชีพอื่นนอกภาคประมง 2. เป้าหมาย เรือประมงกลุ่มเรือที่ได้รับใบอนุญาตทั่วการประมงพาณิชย์ที่มีความประสงค์จะเลิกอาชีพ ทาการประมง ที่ผ่านการตรวจสอบและเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการกลั่นกรองการนาเรือออกนอกระบบ เพื่อการจัดการทรัพยากร ประมงทะเลที่ยั่งยืน และคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ โดยมีผลตรวจสอบคุณสมบัติเป็นเรือประมงกลุ่มขาว และได้รับการประเมินราคาค่าใช้จ่ายในการนาเรือประมงออกนอกระบบ จานวน 923 ลา วงเงิน 1,622,605,300 บาท ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ 2.1 กลุ่มเรือที่ประสงค์แยกชิ้นส่วนหรือทาลายเรือ โดยการแยกชิ้นส่วนให้สิ้นสภาพ จานวน 873 ลา เป็นเงิน 1,517,870,400 บาท 2.2 กลุ่มเรือที่ประสงค์แยกชิ้นส่วนหรือทาลายเรือ โดยการนาไปใช้ประโยชน์อื่น เช่น ร้านกาแฟ ห้องสมุด โรงแรม ที่พัก เป็นต้น จานวน 3 ลา เป็นเงิน 1,034,600 บาท 2.3 กลุ่มเรือที่ประสงค์เปลี่ยนประเภทเรือ เช่น เรือลากจูง เรือโดยสาร เรือบรรทุกสินค้า เป็นต้น จานวน 47 ลา เป็นเงิน 103,700,300 บาท 3. ระยะเวลาดาเนินงาน ระยะเวลาดาเนินการ 1 ปี
9. เรื่อง ผลการพิจารณาญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความรุนแรงในเยาวชน
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการพิจารณาญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความรุนแรงในเยาวชนตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ และแจ้งให้สานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
สาระสาคัญ
กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความรุนแรงในเยาวชนแล้ว โดยสรุปผลการพิจารณาว่า กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของสานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรในเรื่องการแก้ไขปัญหาการใช้ความรุนแรงในเยาวชนที่มีความร้ายแรงถึงขั้นบาดเจ็บและเสียชีวิต โดยกระทรวงศึกษาธิการได้มีการจัดการเรียนการสอน ในรายวิชาแนะแนว ซึ่งครอบคลุมขอบข่ายในการแนะแนวด้านการศึกษา การแนะแนวอาชีพและการแนะแนวด้านส่วนตัวและสังคม เพื่อเสริมสร้างลักษณะนิสัยให้นักเรียนอยู่ในสังคมที่ดี ลดปัญหาการใช้ความรุนแรงในเยาวชน และมีการพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมครูทั้งรูปแบบ Online และ Onsite สร้างความรู้ ความเข้าใจให้ครูมีทักษะด้านจิตวิทยาเด็กขั้นพื้นฐาน และทักษะการวิเคราะห์ ช่วยเหลือนักเรียนอย่างเป็นระบบ รวมถึงได้ดาเนินงานร่วมกับสถานศึกษา พัฒนาเครือข่ายป้องกันปัญหาพฤติกรรมและการกระทาผิดของเด็กและเยาวชนสร้างความรู้ความเข้าใจ และพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน นักศึกษา เพื่อลดปัจจัยเสี่ยง โดยมีโปรแกรม บาบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนด้วยเทคนิคการบาบัดปรับพฤติกรรมที่ช่วยให้เด็กและเยาวชนสามารถกลับสู่ครอบครัวและดารงชีวิตในสังคมต่อไปได้อย่างปกติสุข และไม่กลับมากระทาผิดซ้าอีก
ต่างประเทศ
10. เรื่อง หนังสือสัญญาการรับเงินอุดหนุน (Grant Agreement) ภายใต้โครงการความร่วมมือไทย-เยอรมัน ด้านพลังงาน คมนาคม และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Thai-German Cooperation on Energy, Mobility, and Climate : TGC-EMC) ระหว่างสานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (Deutsche Gesellschaft f?r Internationale Zusammenarbeit : GIZ)
9
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบหนังสือสัญญาการรับเงินอุดหนุน (Grant Agreement) ภายใต้โครงการความร่วมมือไทย-เยอรมัน ด้านพลังงาน คมนาคม และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Thai-German Cooperation on Energy, Mobility, and Climate : TGC-EMC) ระหว่างสานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (Deutsche Gesellschaft f?r Internationale Zusammenarbeit : GIZ) (หนังสือสัญญาการรับเงินอุดหนุนฯ) ทั้งนี้ หากมีความจาเป็นต้องแก้ไขหรือปรับปรุงถ้อยคาในหนังสือสัญญาการรับเงินอุดหนุนฯ ที่ไม่ใช่สาระสาคัญ ให้ ทส. โดย สผ. พิจารณาดาเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก
2. เห็นชอบให้เลขาธิการสานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในหนังสือสัญญาการรับเงินอุดหนุนฯ
(จะมีการลงนามในหนังสือสัญญาการรับเงินอุดหนุนฯ ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อไป)
สาระสาคัญของเรื่อง
1. ประเทศไทยในฐานะประเทศภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) และความตกลงปารีส จะต้องดาเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ โดยประเทศไทยได้กาหนดเป้าหมายที่จะบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี 2608 เพื่อสนับสนุนการดาเนินการดังกล่าวกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โดยสานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) จึงดาเนินการร่วมกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีผ่านโครงการความร่วมมือไทย-เยอรมัน ด้านพลังงาน คมนาคม และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Thai-German Cooperation on Energy, Mobility, and Climate : TGC-EMC) ซึ่งโครงการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนเงินทุนให้แก่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไม่ว่าจะเป็นส่วนราชการ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อดาเนินโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย โดยองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (Deutsche Gesellschaft f?r Internationale Zusammenarbeit : GIZ) สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี จะเป็นผู้ให้เงินสนับสนุนดังกล่าว
2. เพื่อขอรับเงินสนับสนุนข้างต้นจากสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ประเทศไทยจึงได้จัดตั้งกองทุน ThaiCI (Thai Climate Initiative Fund) ขึ้น ซึ่งเป็นกองทุนภายใต้กลไกของกองทุนสิ่งแวดล้อม ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ที่บัญญัติให้กองทุนสิ่งแวดล้อมสามารถรับทรัพย์สินอื่นที่ได้รับจากรัฐบาลต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศได้ โดย สผ. ในฐานะผู้รับทุน จะจัดทาหนังสือสัญญาการรับเงินอุดหนุนภายใต้โครงการความร่วมมือไทย-เยอรมัน ด้านพลังงาน คมนาคมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (หนังสือสัญญาการรับเงินอุดหนุนฯ) ร่วมกับ GIZ ในฐานะผู้สนับสนุนเงินทุน เพื่อนาเงินสนับสนุนเข้าสู่กองทุน ThaiCI ซึ่งภาคส่วนต่าง ๆ หรือหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องที่ประสงค์จะขอรับเงินสนับสนุนดังกล่าวสามารถยื่นข้อเสนอโครงการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของตนต่อกองทุนสิ่งแวดล้อมได้
11. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมคณะกรรมาธิการว่าด้วยสถานภาพสตรี สมัยที่ 6 (Commission on the Status of Women-CSW69)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมคณะกรรมาธิการว่าด้วยสถานภาพสตรี สมัยที่ 69 (Commission on the Status of Women-CSW69) (การประชุม CSW69) โดยหากมีความจาเป็นต้องแก้ไขเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสาคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้ พม. ดาเนินการได้ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก และหลังจากนั้นให้รายงานผลเพื่อคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
10
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุม CSW69 ให้การรับรอง (adopt) ร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุม CSW69 ระหว่างวันที่ 10-21 มีนาคม 2568 ณ สานักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
สาระสาคัญของเรื่อง
1. การประชุม CSW69 ที่มีกาหนดจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 10-21 มีนาคม 2568 ณ สานักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา จะมีการเสนอร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุม CSW69 เพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมพิจารณาให้การรับรอง โดยไม่มีการลงนามในวันที่ 10 มีนาคม 2568 จานวน 2 ฉบับ 1) ร่างปฏิญญาทางการเมืองเนื่องในโอกาสครบรอบ 30 ปี ของการประชุมระดับโลกว่าด้วยเรื่องสตรี ครั้งที่ 4 (Political Declaration on the Occasion of the Thirtieth Anniversary of the Fourth World Conference on Women) 2) ร่างแผนงานระยะหลายปีของคณะกรรมาธิการว่าด้วยสถานภาพสตรี (Multi-year Programme of Work of the Commission on the Status of Women)
2. ประโยชน์ที่จะได้รับ การให้ความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุม CSW69 มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับนโยบายและผลประโยชน์ของประเทศไทยไม่มีผลผูกพันในเชิงงบประมาณ โดยถือเป็นการย้าเจตจานงและความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการร่วมมือกับนานาชาติในการเสริมสร้างความเชื่อมโยงและความเข้มแข็งต่อประเด็นการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศและการเสริมพลังสตรีระดับโลก
12. เรื่อง ร่างปฏิญญาสาหรับการประชุมรัฐภาคีสนธิสัญญาห้ามอาวุธนิวเคลียร์ (Treaty on the Prohibition of Nuclear Weapons - TPN) ครั้งที่ 3 (Third Meeting of States Parties - 3MSP)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอ ดังนี้
1. ร่างปฏิญญาสาหรับการประชุมรัฐภาคีสนธิสัญญาห้ามอาวุธนิวเคลียร์ (Treaty on the Prohibition of Nuclear Weapons - TPANW) ครั้งที่ 3 (Third Meeting of States Parties - 3MSP) (ร่างปฏิญญาฯ) ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขร่างปฏิญญาฯ ดังกล่าวในส่วนที่มิใช่สาระสาคัญหรือขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้คณะผู้แทนไทย ที่เดินทางเข้าร่วมการประชุมรัฐภาคีฯ ครั้งที่ 3 ดาเนินการได้ตามความเหมาะสม โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีก
2. ให้เอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวรไทยประจาสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยสาหรับการประชุมรัฐภาคีฯ หรือผู้แทน ร่วมรับรองร่างปฏิญญาฯ (โดยไม่มีการลงนาม)
สาระสาคัญของเรื่อง
1. คณะรัฐมนตรีมีมติ (12 กันยายน 2560) เห็นชอบให้ประเทศไทยลงนามและให้สัตยาบันสนธิสัญญาห้ามอาวุธนิวเคลียร์ เพื่อห้ามการพัฒนา ทดลอง ใช้ ผลิต สร้าง หรือจัดหาอาวุธนิวเคลียร์มาด้วยประการอื่นใด ครอบครอง หรือสะสมอาวุธนิวเคลียร์หรือระเบิดนิวเคลียร์อื่น ๆ และมอบหมายให้ สมช. เป็นหน่วยประสานงานหลักระดับชาติของการดาเนินการตามพันธกรณีของสนธิสัญญาห้ามอาวุธนิวเคลียร์ โดยประเทศไทยได้ลงนามและให้สัตยาบันในสนธิสัญญาดังกล่าวเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2560 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2564
2. ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติ (7 พฤษภาคม 2567) เห็นชอบร่างปฏิญญาสาหรับการประชุมรัฐภาคีสนธิสัญญาห้ามอาวุธนิวเคลียร์ (Treaty on the Prohibition of Nuclear Weapons - TPNW) ครั้งที่ 2 (Second Meeting of State Parties - 2MSP) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม 2566 ณ สานักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์กสหรัฐอเมริกา มีสาระสาคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของรัฐภาคีฯ เช่น (1) แสดงความกังวล ต่อผลกระทบด้านมนุษยธรรมอันเกิดจากอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการอยู่รอดของมนุษย์ (2) การขู่หรือการใช้อาวุธนิวเคลียร์ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและกฎบัตรของสหประชาชาติ โดยรัฐภาคีประณามการกระทาดังกล่าว
3. การประชุมรัฐภาคีฯ ครั้งที่ 3 กาหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3 - 7 มีนาคม 2568 ณ สานักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาโดยในการประชุมดังกล่าวจะมีการรับรองร่างปฏิญญา
11
(Declaration) (โดยไม่มีการลงนาม) ซึ่งมีสาระสาคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของรัฐภาคี ที่ยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการรับมือ กับภัยคุกคามของอาวุธนิวเคลียร์ที่มีต่อมนุษยชาติ
13. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมสาหรับความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้าโขง ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 9
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมสาหรับความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้าโขง (ความตกลง GMS CBTA) ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 9 (The Ninth Meeting of the CBTA Joint Committee :9th JC GMS CBTA) (การประชุมคณะกรรมการร่วมฯ) ตามที่ กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ
สาระสาคัญ
1. เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติ (11 ธันวาคม 2567) เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมคณะกรรมการร่วมสาหรับความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้าโขง ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 9 (ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ) โดยมีสาระสาคัญเป็นการรับทราบ ความก้าวหน้าของการดาเนินการตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการดาเนินการตามความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้าโขง ?ระยะแรก? (Early Harvest) และการเจรจาเพื่อจัดทาร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเปิดเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศและจุดข้ามแดนเพิ่มเติม ภายใต้พิธีสาร 1 ของ GMS CBTA ฉบับที่ 2 (บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเปิดการเส้นทางฯ)
2. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ) ทาหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการร่วมฯ เมื่อวันที่ 12-13 ธันวาคม 2567 ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยการประชุมคณะกรรมการร่วมฯ มีผลลัพธ์การประชุม สรุปได้ ดังนี้
ประเด็น
สาระสาคัญ
2.1 ความคืบหน้าของการกลับมาดาเนินการตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการดาเนินการตามความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดน ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้าโขง
?ระยะแรก?
? มีการออกใบอนุญาตการขนส่งทางถนน (Permit) และเอกสารนาเข้าชั่วคราว (TAD) ของแต่ละประเทศสมาชิก รวมจานวนทั้งสิ้น 589 ฉบับ โดยมีการแจ้งเวียนข้อมูลผู้ประกอบการขนส่งและหมายเลขทะเบียนรถให้แต่ละประเทศสมาชิกทราบทั่วกัน
? รับทราบความสาเร็จของการทดลองเดินรถ (Trial Run) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 2567 เส้นทางขนส่งจากนครคุณหมิงในมณฑลยูนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ผ่าน สปป.ลาว และประเทศไทย ไปยังกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เพื่อให้ผู้ประกอบการขนส่งได้เรียนรู้ประสบการณ์เดินรถภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเปิดเส้นทางฯ และเป็นการสร้างความเข้าใจให้แก่เจ้าหน้าที่ เกี่ยวกับการดาเนินพิธีการข้ามแดนของคนและสินค้า
? สนับสนุนให้สมาคมขนส่ง หน่วยงานที่มีอานาจออกใบอนุญาตการขนส่งและ TAD หน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และสมาคมประกันภัยของประเทศสมาชิกลุ่มแม่น้าโขง มีส่วนร่วมในความร่วมมือระดับอนุภูมิภาค รวมถึงเสนอให้มีกลไกสาหรับการประกันภัย ขนส่งสินค้าข้ามแดน (Cross-border guarantee mechanism)
2.2 การขยายพิธีสาร 1ของความตกลง GMS CBTA (เส้นทางและจุดผ่านแดน)
? กาหนดเป้าหมายการเจรจากาหนดเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศ และจุดข้ามแดนเพิ่มเติม ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2568 เพื่อจัดทาร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเปิดเส้นทางฯ ฉบับที่ 2 โดยประเทศสมาชิกจะลงนาม ในลักษณะลงนามแบบเวียน (ad referendum) และจะมีผลบังคับใช้เมื่อลงนามครบทุกประเทศ
12
2.3 แผนดาเนินงาน GMS CBTA ปี 2567 - 2571
? รับทราบความคืบหน้าของการดาเนินการตามแผนดาเนินงานฯ และขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดการแลกเปลี่ยนข้อมูลการอานวยความสะดวกด้านการขนส่งและการค้า
2.4 การติดตามและประเมินผล
? มอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสของคณะกรรมการอานวยความสะดวกการขนส่งแห่งชาติ (NTFC SOM) เร่งรัดการรวบรวมและจัดส่งข้อมูลการอานวยความสะดวก ด้านการขนส่งและการค้าที่จุดผ่านแดนตามพิธีสาร 1 ของความตกลง GMS CBTA
3. ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมฯ ได้ให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ซึ่งยังคงไว้ซึ่งสาระสาคัญตามที่ได้รับความเห็นชอบและอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 โดยมีการแก้ไขเพิ่มเติม ดังนี้
3.1 เพิ่มถ้อยคาในหัวข้อการกลับมาดาเนินการตามบันทึกความเข้าใจฯ ?ระยะแรก?เกี่ยวกับการตระหนักถึงปัญหาอุปสรรคของการขนส่ง การมีส่วนร่วมของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในการแก้ไขปัญหาด้านการขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ และปรับแก้ไขหน่วยงานที่มีอานาจของแต่ละประเทศ จากเดิม ?หน่วยงานด้านการขนส่งและศุลกากร? เป็น ?หน่วยงานด้านการขนส่งและหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง?
3.2 เพิ่มถ้อยคาเกี่ยวกับการนากฎระเบียบข้อบังคับที่จาเป็นมาใช้เพื่อให้สามารถทาการเดินรถขนส่งภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ และปรับเปลี่ยนถ้อยคาให้มีความเหมาะสมและกระชับมากยิ่งขึ้น อาทิ การรวมหัวข้อย่อยเกี่ยวกับรายงานจานวนใบอนุญาตการขนส่งทางถนนและ TAD กับปริมาณการขนส่ง (จานวนเที่ยวและประเภทการขนส่ง) ที่ได้ทาการเดินรถจริงเป็นหัวข้อย่อยเดียวกัน
ทั้งนี้ การแก้ไขดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยให้สามารถทาการเดินรถขนส่งสินค้าและผู้โดยสารอย่างเป็นประจาเพิ่มมากขึ้น และเกิดการบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการร่วมกันแก้ไขปัญหาและอุปสรรคด้านการขนส่ง เพื่อส่งเสริมการพัฒนาการค้าชายแดนและการขยายตัวทางเศรษฐกิจตามแนวระเบียงเศรษฐกิจในอนุภูมิภาค
14. เรื่อง เอกสารผลลัพธ์ของการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ครั้งที่ 15 และ การประชุมคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมพื้นที่ชายแดน (CDS) ครั้งที่ 6 ระดับรัฐมนตรี ระหว่างไทยกับมาเลเซีย
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมมือทวิภาคี (Joint Commission for Bilateral Cooperation between Malaysia and Thailand: JC) (คณะกรรมาธิการร่วม JC) ครั้งที่ 15 และการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสาหรับพื้นที่ชายแดน (Malaysia - Thailand Committee on Joint Development Strategy for Border Areas: JDS) (คณะกรรมการ JDS) ครั้งที่ 6 ระดับรัฐมนตรี ระหว่างไทยกับมาเลเซีย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. บันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ระหว่างไทย กับมาเลเซีย ครั้งที่ 15 (บันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วม JC ครั้งที่ 15)
2. บันทึกการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสาหรับพื้นที่ชายแดน (JDS) ระหว่างไทยกับมาเลเซีย ครั้งที่ 6 (บันทึกการประชุมคณะกรรมการ JDS ครั้งที่ 6)
3. แผนยุทธศาสตร์ของคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสาหรับพื้นที่ชายแดน (JDS Strategic Plan) ค.ศ. 2024 - 2027 (แผนยุทธศาสตร์ฯ ค.ศ. 2024 - 2027) [เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ดาเนินการตามผลลัพธ์ของการประชุมต่อไป
ทั้งนี้ ได้มีการรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุม ทั้ง 3 ฉบับแล้ว ระหว่างวันที่ 5 ? 6 สิงหาคม 2567 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย
13
1. สาระสาคัญของเรื่อง
กต. รายงานว่า
กระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วม JC ครั้งที่ 15 และการประชุมคณะกรรมการ JDS ครั้งที่ 6 ระดับรัฐมนตรีและระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสระหว่างวันที่ 5 ? 6 สิงหาคม 2567 โดยที่ประชุมได้รับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมดังกล่าว จานวน 3 ฉบับ
1.1 บันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วม JC ครั้งที่ 15
ประเด็นสาคัญ
รายละเอียด
การเมืองและความมั่นคง
- ทั้ง 2 ฝ่าย ยืนยันความมุ่งมั่นในการร่วมต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งรวมถึงการค้ามนุษย์ การลักลอบเข้าเมือง การลักลอบนาเข้ายาเสพติดและสินค้าผิดกฎหมาย และการหลอกลวงออนไลน์
- ทั้ง 2 ฝ่าย ชื่นชมต่อความสัมพันธ์ที่ดีด้านการทหารระหว่างกองทัพมาเลเซียและกองทัพไทยในระดับผู้บริหาร ผู้บังคับบัญชา และเจ้าหน้าที่ ผ่านการพูดคุยการฝึกอบรม และการฝึกซ้อมร่วมการสัมมนา และการแลกเปลี่ยนข้อมูลและบุคลากรทางทหาร
- มาเลเซียเน้นย้าความมุ่งมั่นในฐานะผู้อานวยความสะดวก (Facilitator) ในกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย
การค้าการลงทุน และ การท่องเที่ยว
- การผลักดันแผนงานการจัดตั้งคณะทางานเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคี ด้านการค้าและการลงทุน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการค้าทวิภาคีและการค้าชายแดนให้บรรลุเป้าหมายทางการค้าที่ทั้ง 2 ฝ่าย กาหนดไว้ รวมถึงแก้ไขปัญหาการค้าและการลงทุนระหว่างกันเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน
- รับทราบถึงความสนใจของมาเลเซียในการสารวจความร่วมมือกับประเทศไทยเพื่อส่งเสริมธุรกิจ แฟรนไชส์ ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของทั้ง 2 ประเทศ รวมถึงการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSMSME) ในอนาคต
- รับทราบว่า
(1) จานวนนักท่องเที่ยวชาวไทยไปมาเลเซียเพิ่มขึ้นร้อยละ 116.8 จาก 715,528 คนในปี 2565 เป็น 1,551,282 คน ในปี 2566 โดยนักท่องเที่ยวชาวไทยอยู่ในอันดับที่ 4 ของจานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางไปยังมาเลเซียในปี 2566
(2) จานวนนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียมายังประเทศไทยเพิ่มขึ้น ร้อยละ 137.3 จาก 1,949,530 คน ในปี 2565 เป็น 4,626,422 คน ในปี 2566 โดยนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียมากเป็นอันดับ 1ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมายังประเทศไทยในปี 2566
ความเชื่อมโยงบริเวณชายแดน
- การเร่งรัดโครงการความเชื่อมโยงชายแดนที่สาคัญ 2 โครงการ ได้แก่ ถนนเชื่อมด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่กับด่านบูกิตกายูฮิตัม และโครงการสะพานคู่ขนานข้าม แม่น้าโก - ลก
- ทั้ง 2 ฝ่าย ยังเห็นพ้องกันว่า ความเชื่อมโยงที่ไร้รอยต่อ โดยเฉพาะความเชื่อมโยงทางกายภาพและความสอดประสานของกฎเกณฑ์และขั้นตอนที่ด่านชายแดนมีความสาคัญอย่างยิ่งต่อความสะดวกในการเดินทางและการขนส่งสินค้าและการข้ามแดนของประชาชนระหว่าง 2 ประเทศ
ความร่วมมือทางวัฒนธรรม
- การกระชับความร่วมมือทางวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมความตระหนักรู้ทางวัฒนธรรมและความเข้าใจที่ดีขึ้นระหว่างประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ รวมถึงภายในกรอบยูเนสโก โดยเฉพาะในเรื่องมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้และเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์
14
- การเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยว ศิลปะ และวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในด้านศิลปะและวัฒนธรรม และเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมระหว่างมาเลเซียและประเทศไทยในอนาคต
ความร่วมมือด้านดิจิทัล
- การตระหนักถึงความสาคัญของการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัลเพื่อก้าวไปสู่เศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล ตามแผนยุทธศาสตร์ดิจิทัลอาเซียน ค.ศ. 2025 แผนปฏิบัติกรอบบูรณาการด้านดิจิทัลของอาเซียน ค.ศ. 2019 - 2025 ข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยการค้าอิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) และกลยุทธ์อาเซียนว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (Fourth Industrial Revolution: 4IR)
- การเสริมสร้างความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเฉพาะผ่านการพัฒนาศักยภาพการจับคู่ธุรกิจ และการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งมุ่งเน้นที่การทาธุรกรรมการค้าอิเล็กทรอนิกส์ โลจิสติกส์ ห่วงโซ่อุปทาน และการพัฒนาโปรแกรมการสร้างขีดความสามารถ
- การแสวงหามาตรการที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมเพื่อควบคุมภัยคุกคาม ที่อาจเกิดขึ้นจากอาชญากรรมทางไซเบอร์ รวมถึงเสริมศักยภาพด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ เนื่องจากทั้งสองประเทศพึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น
ความร่วมมือระดับภูมิภาคและพหุภาคี
การแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการพัฒนาภูมิภาคและประเด็นทางภูมิศาสตร์เพื่อรักษาความเป็นกลางของอาเซียนและสนับสนุนบทบาทของอาเซียนในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน รวมถึงสถานการณ์ในเมียนมาและภัยคุกคามด้านความมั่นคงรูปแบบใหม่
1.2 บันทึกการประชุมคณะกรรมการ JDS ครั้งที่ 6
ประเด็น
รายละเอียด
การรับรองแผนส่งเสริมความร่วมมือ
มีการรับรองแผนยุทธศาสตร์คณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสาหรับพื้นที่ชายแดน (IDS Strategic Plan) ปี 2567 - 2570 โดยแบ่งโครงการความร่วมมือเป็น 3 ด้าน ได้แก่ (1) การส่งเสริมความเชื่อมโยงบริเวณชายแดน (2) การส่งเสริมความสามารถในการแข่งขัน และ (3) การส่งเสริมทรัพยากรมนุษย์ซึ่งจะใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาเขตพื้นที่ชายแดนเพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ ?การเชื่อมโยงความเจริญรุ่งเรืองที่ยั่งยืน (Connecting the Sustainable Prosperity)? โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความยั่งยืนของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมและยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ชายแดน
ผลการหารือ
ที่สาคัญ
- เห็นชอบข้อเสนอการพัฒนาสนามบินแห่งใหม่และยกระดับสนามบินที่มีอยู่ในปัจจุบันทางภาคใต้ของประเทศไทยและตะวันออกของมาเลเซีย ซึ่งรวมถึงการยกระดับสนามบินโกตาบารู เป็นสนามบินนานาชาติ พร้อมทั้งสนับสนุนให้ตัวแทนของหน่วยงานต่าง ๆ จากทั้ง 2 ประเทศ ประสานงานกันอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับข้อเสนอแผนการพัฒนาในประเด็นที่เกี่ยวข้อง
- รับทราบถึงแผนการของฝ่ายไทยที่จะยกระดับเครือข่ายระบบรางเป็นระบบรางรถไฟทางคู่ (Double Track) และสนับสนุนให้ทั้ง 2 ฝ่าย เริ่มหารือในเบื้องต้นเกี่ยวกับการดาเนินงานระบบรางทั้งในด้านเทคนิคและขั้นตอนการดาเนินการ
- รับทราบถึงบทบาทของภาคเอกชนในฐานะผู้เล่นหลักในการขับเคลื่อนความร่วมมือเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special economic zones: SEZs) ระหว่างมาเลเซียกับประเทศ
15
ไทย และเห็นชอบให้มีศึกษาการมีส่วนร่วมระหว่างภาคเอกชนของทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือทางธุรกิจที่จะช่วยเพิ่มความเชื่อมโยงระหว่างเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZs) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยางและฮาลาล
- เน้นย้าถึงความจาเป็นในการร่วมมือกันในการฝึกอบรมเพื่อยกระดับทักษะทรัพยากรมนุษย์ในพื้นที่ชายแดนในด้านต่าง ๆ เช่น ความรู้ด้านดิจิทัลเพื่อที่จะจัดหาแรงงานให้เพียงพอต่อตลาดแรงงาน และสนับสนุนให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องทั้งสองฝ่ายทางานอย่างใกล้ชิดในการจัดฝึกอบรมวิชาชีพ ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต และเพิ่มโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาโดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนมาเลเซีย - ประเทศไทย
1.3 แผนยุทธศาสตร์ฯ ค.ศ. 2024 ? 2027 (พ.ศ. 2567 ? 2570)
ประเด็น
รายละเอียด
วัตถุประสงค์
การยกระดับความยั่งยืนของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนในพื้นที่ชายแดน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ความร่วมมือด้านการเสริมสร้างความเชื่อมโยง
- เป้าหมาย 1) เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมโยงของโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพและกฎระเบียบที่สนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจและกิจกรรมของประชาชนความเชื่อมโยง 2) ลดขั้นตอนทางกฎระเบียบและบูรณาการกระบวนการเพื่ออานวยความสะดวกการค้าชายแดน และการให้สิทธิประโยชน์สาหรับการลงทุน
- แนวทางเชิงกลยุทธ์ 1) มุ่งขับเคลื่อนการวางแผนและการดาเนินการด้านความเชื่อมโยงร่วมกันที่ตั้งอยู่บนการศึกษาอย่างครอบคลุม 2) รักษาความเชื่อมโยงด้านการขนส่งที่มีอยู่และพัฒนาความเชื่อมโยงด้านการขนส่งใหม่
- ผลลัพธ์ที่คาดหวัง จานวนผู้เดินทางผ่านจุดผ่านแดนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี
- โครงการที่มีศักยภาพที่แนะนา เช่น 1) การก่อสร้างแนวเส้นถนนใหม่เชื่อมต่อระหว่างจุดผ่านแดนสะเดาแห่งใหม่ ? จุดผ่านแดนบูกิตกายูฮิตัม และการเชื่อมต่อถนนภายในจุดผ่านแดน 2) การก่อสร้างเพื่อพัฒนาสะพานเชื่อมต่อระหว่างรันเตาปันยัง - สุไหงโกลก
ความร่วมมือด้านการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน
- เป้าหมาย 1) เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออานวยต่อภาคธุรกิจ
2) เพื่อกระตุ้นกิจกรรมการท่องเที่ยวในบริเวณพื้นที่ชายแดน
- แนวทางเชิงกลยุทธ์ 1) การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษและนิคมอุตสาหกรรม 2) การยกระดับสถานที่ท่องเที่ยว และการร่วมส่งเสริมแนวคิดจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเดียวกันและการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน 3) การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ระหว่างภาคธุรกิจและภาควิชาการเพื่อสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีในภาคเกษตรกรรม
- ผลลัพธ์ที่คาดหวัง มูลค่าการค้าระหว่างไทย ? มาเลเซียไม่ต่ากว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อสิ้นสุดแผนฯ
- โครงการที่มีศักยภาพที่แนะนา เช่น การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษสงขลาและนราธิวาส และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและผจญภัย
ความร่วมมือด้านการเสริมสร้างทุนมนุษย์
- เป้าหมาย 1) เพื่อเพิ่มศักยภาพของแรงงานท้องถิ่นเพื่อรับมือกับความท้าทายและความต้องการของตลาด 2) เพื่อสร้างแผนการพัฒนาอาชีพในระยะยาวเพื่อรองรับความต้องการของภาคธุรกิจในอนาคต และ 3) เพื่อสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับแรงงาน การจ้างงาน และการฝึกอบรมวิชาชีพในระดับนโยบายและองค์กร
- แนวทางเชิงกลยุทธ์ 1) การฝึกทักษะใหม่และเพิ่มทักษะให้กับแรงงาน 2) การมีส่วนร่วมของสถาบันการศึกษาและภาคเอกชนในการออกแบบหลักสูตรการศึกษาให้
16
สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และ 3) การพัฒนามาตรฐานทักษะแรงงานในอุตสาหกรรมที่สาคัญในภูมิภาค
- ผลลัพธ์ที่คาดหวัง อัตราการว่างงานของจังหวัด/รัฐต่าง ๆ ต่ากว่าร้อยละ 2
- โครงการที่มีศักยภาพที่แนะนา เช่น โครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษา
2. แผนการดาเนินงานในระยะต่อไปเพื่อสนับสนุนการดาเนินงานของคณะกรรมาธิการร่วม JC และคณะกรรมการ JDS สรุปได้ ดังนี้
ประเด็น
การดาเนินงานในระยะต่อไป เช่น
หน่วยงานดาเนินงาน เช่น
เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว
- ผลักดันเป้าหมายการค้าที่ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2570 ร่วมกับฝ่ายมาเลเซีย
- ส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างเขตเศรษฐกิจพิเศษของ ทั้ง 2 ประเทศโดยส่งเสริมบทบาทนาของภาคธุรกิจในการขับเคลื่อนสาขาความร่วมมือที่สาคัญ
-
- กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.)
-
- กระทรวงพาณิชย์ (พณ.)
-
- กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ความร่วมมือบริเวณชายแดน
- เร่งรัดโครงการก่อสร้างสะพานคู่ขนานข้ามแม่น้าโก-ลก อาเภอสุไหงโก - ลก (สะพานฯ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลักดันให้มีการลงนามความตกลงการก่อสร้างสะพานฯ ในช่วงการประชุมหารือประจาปี (Annual Consultation) ครั้งที่ 7 ระดับนายกรัฐมนตรี
- เร่งรัดการตรวจสอบโรงงานเนื้อแดง เนื้อสัตว์ปีก และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของฝ่ายมาเลเซีย รวมถึงการตรวจสอบแบบออนไลน์
- ศึกษาความเป็นไปได้ของการเชื่อมโยงระบบรางรถไฟทางคู่ระหว่าง อิโปห์ - ปาดังเบซาร์ และปาดังเบชาร์ ? หาดใหญ่ เพิ่มขีดความสามารถการเชื่อมโยงทางรถไฟเพื่อส่งเสริมมูลค่าการค้าข้ามพรมแดนให้สูงขึ้น และยกระดับการเชื่อมโยงระหว่างจังหวัดสงขลา และ Perlis Inland Port รัฐปะลิส มาเลเซีย
-
- กษ.
-
- กระทรวงคมนาคม (คค.)
-
- ศูนย์อานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
การเร่งรัด การจัดทาความตกลง / บันทึกความเข้าใจ
- ความตกลงว่าด้วยการรับรองผลการสารวจและจัดทาหลักเขตแดนแบบคงที่ตามแม่น้าโก - ลก (พื้นที่เร่งด่วน 8)
- บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร
- บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือเพื่อปราบปรามการค้าสัตว์ป่าอย่างผิดกฎหมาย
-
- กต.
-
- กษ.
-
- กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
การส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคี
ไทย- มาเลเซีย
ร่วมกับฝ่ายมาเลเซียเร่งรัดการจัดการประชุมคณะทางานทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ (1) การประชุมชายแดน และการค้าการลงทุน (2) ด้านการเกษตรอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมฮาลาล (3) ด้านการท่องเที่ยว และ (4) ด้านความมั่นคง รวมทั้งการติดตามผลการประชุมตามกลไกความร่วมมือทวิภาคีต่าง ๆ
-
- กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.)
-
- กษ.
-
- พณ.
-
- สานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)
17
แต่งตั้ง
15. เรื่อง ขออนุมัติต่อเวลาการดารงตาแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ดารงตาแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงคมนาคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติต่อเวลาการดารงตาแหน่งของ นายปัญญา ชูพานิช ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตาแหน่งผู้อานวยการสานักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กระทรวงคมนาคม (คค.) ซึ่งได้ดารงตาแหน่งดังกล่าวครบ 4 ปี เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568 ต่อไปอีก 1 ปี (ครั้งที่ 1) ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2568 ถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569
16. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (สานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้ง ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบด้วยแล้ว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ