http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ 18 มีนาคม 2568 เวลา 09.00 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การกระทำความผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์) 3. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพรังสีเทคนิค พ.ศ. .... 4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สำหรับงานโครงสร้างทั่วไปต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... 5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดตัวผู้ออกบัตรและแบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ พ.ศ. .... 6. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอ่างทอง พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอ่างทอง
พ.ศ. 2558)
7. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ แขวงถนนนครไชยศรี แขวงวชิรพยาบาล แขวงดุสิต เขตดุสิต แขวงวัดสามพระยา แขวงบางขุนพรหม แขวงบ้านพานถม แขวงชนะสงคราม แขวงตลาดยอด แขวงบวรนิเวศ แขวงวังบูรพาภิรมย์ แขวงสำราญราษฎร์ เขตพระนคร แขวงวัดโสมนัส แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย แขวงบางยี่เรือ แขวงบุคคโล แขวงสำเหร่ แขวงดาวคะนอง เขตธนบุรี แขวงสมเด็จ เจ้าพระยา แขวงคลองสาน แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน แขวงบางค้อ แขวงจอมทอง แขวงบางมด เขตจอมทอง แขวงบางปะกอก แขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร และตำบลบางพึ่ง ตำบลบางครุ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... และร่างพระราช กฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน ใน ท้องที่แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ แขวงถนนนครไชยศรี แขวงวชิรพยาบาล แขวงดุสิต เขตดุสิต แขวงวัดสามพระยา แขวงบางขุนพรหม แขวงบ้านพานถม แขวงชนะสงคราม แขวงตลาดยอด แขวงบวรนิเวศ แขวงวังบูรพาภิรมย์ แขวงสำราญราษฎร์ เขตพระนคร แขวงวัดโสมนัส แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบ ศัตรูพ่าย แขวงสัมพันธวงศ์ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ แขวงวัดกัลยาณ์ แขวงหิรัญรูจี แขวงบางยี่เรือ แขวงบุคคโล แขวงสำเหร่ แขวงดาวคะนอง
เขตธนบุรี แขวงสมเด็จเจ้าพระยา แขวงคลองสาน แขวงคลองต้นไทร
เขตคลองสาน แขวงบางค้อ แขวงจอมทอง แขวงบางมด เขตจอมทอง
แขวงบางปะกอก แขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร และตำบลบางพึ่ง ตำบลบางครุ อำเภอพระประแดง
จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ
8. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็น ข้าราชการทหารและการให้ได้รับเงินเดือน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 9. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณมูลค่าของทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษี การรับมรดก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยเครื่องแบบและการแต่งกายลูกเสือ พ.ศ. .... เศรษฐกิจ-สังคม 11. เรื่อง การแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรด้วยการจำหน่ายหนี้เป็นสูญโครงการส่งเสริมหรือ สงเคราะห์ของรัฐ 12. เรื่อง รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย ประจำเดือนมกราคม 2568 13. เรื่อง แผนการอุดหนุนทางการเงินและให้ความช่วยเหลือด้านอื่นให้แก่โรงเรียนเอกชน สอนศาสนาอิสลาม และโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษาในโครงการตาม พระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยาม บรมราชกุมารี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569-2572 14. เรื่อง ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อสนับสนุนและส่งเสริม การศึกษาด้วยการให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาแก่นักเรียน/นักศึกษา 15. เรื่อง ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำ เจ้าพระยา บริเวณแยกเกียกกาย ช่วงที่ 3 ก่อสร้างทางยกระดับและถนนฝั่ง
พระนคร จากแม่น้ำเจ้าพระยาถึงแยกสะพานแดง
16. เรื่อง การขอแก้ไขหลักเกณฑ์แนวทางการดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนกำลังพล
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
17. เรื่อง การติดตามประเด็นตามมติคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขง ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน 18. เรื่อง มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 (เพิ่มเติม) ต่างประเทศ 19. เรื่อง การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาเทคนิค อาชีวศึกษาและการฝึกอบรม ระหว่างสำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย
ประจำไทเป กับสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย
20. เรื่อง การผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา เดินทางกลับ ประเทศต้นทางเพื่อร่วมงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี 2568 แต่งตั้ง 21. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร 22. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อความปลอดภัยใน การใช้รถใช้ถนน 23. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมและกำกับธุรกิจโรงแรม 24. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน แทนตำแหน่งที่ว่าง 25. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการ นวัตกรรมแห่งชาติ 26. เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธุรกรรมทาง อิเล็กทรอนิกส์ 27. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ 28. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ
? กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและ กรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ สาระสำคัญของเรื่อง 1. ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวฯ ที่กระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 เพื่อให้เกิดการคุ้มครองสิทธิผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงมากขึ้น โดยปรับนิยามความรุนแรงในครอบครัวที่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัตินี้ให้เกิดความชัดเจน มากขึ้นนอกจากจะหมายถึงการทำร้ายร่างกาย จิตใจ สุขภาพแล้ว ยังรวมถึงการล่วงเกินหรือคุกคามทางเพศและการกระทำที่มุ่งประสงค์ให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ สุขภาพ หรือทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงด้วยสำหรับ การลงโทษได้เพิ่มอัตราโทษปรับในความผิดฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายร่างกาย การดูหมิ่น หรือการบังคับให้กระทำหรือไม่กระทำในสิ่งที่ผิดกฎหมายหรือศีลธรรมต่อบุคคลในครอบครัว ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ (เดิม ปรับไม่เกิน 6,000 บาท) และหากมี การกระทำความผิดซ้ำภายในระยะเวลา 3 ปีนับแต่วันที่ได้กระทำความผิดครั้งก่อน หรือกระทำต่อเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ผู้กระทำจะต้องรับโทษหนักกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้ไม่เกินกึ่งหนึ่ง รวมถึงกำหนดมาตรการเพื่อให้ผู้ถูกกระทำได้รับความช่วยเหลือจากกลไกที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายอย่างเหมาะสม เช่น เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะมีการกระทำความผิดซ้ำ ให้ผู้ที่จะถูกกระทำหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ยื่นคำร้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวให้มีคำสั่งห้ามมิให้กระทำการนั้น และออกคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพเพื่อคุ้มครองผู้ที่จะถูกกระทำตามสมควรแก่กรณี (เดิม ไม่ได้กำหนดไว้) 2. สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์และระยะเวลาการร้องทุกข์ และกำหนดมาตรการเพิ่มเติมเพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพผู้ที่จะถูกกระทำ ด้วยความรุนแรงในครอบครัวและป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ มีรายละเอียด ดังนี้ 1) แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยาม เช่น (1) ?ความรุนแรงในครอบครัว? หมายความว่า การกระทำใด ๆ ที่บุคคลในครอบครัวกระทำต่อกัน อันเป็นการทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ การล่วงเกินหรือคุกคามทางเพศ และให้หมายความรวมถึงการกระทำใด ๆ โดยมุ่งประสงค์ให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ สุขภาพ ความเสียหายต่อชื่อเสียง หรือการกระทำโดยเจตนาในลักษณะที่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ สุขภาพ ของบุคคลในครอบครัว หรือการกระทำที่กระทบต่อเสรีภาพโดยการบังคับหรือใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมให้บุคคลในครอบครัวต้องกระทำการ ไม่กระทำการ หรือยอมรับการกระทำ อย่างหนึ่งอย่างใดโดยมิชอบ (เดิม บัญญัติไว้เพียงอันตรายที่เกิดแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพเท่านั้น) (2) ?บุคคลในครอบครัว? หมายความว่า (1) คู่สมรส คู่สมรสเดิม ผู้ที่อยู่กินด้วยกันหรือเคยอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส ผู้ที่มีหรือเคยมีความสัมพันธ์ฉันคู่สมรส คู่รัก ที่แสดงออกต่อบุคคลทั่วไปหรือที่มีความผูกพันลึกซึ้งทางจิตใจต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นเพศเดียวกันหรือต่างเพศ (2) ผู้บุพการีหรือผู้สืบสันดาน บุตรไม่ว่าจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ บุตรบุญธรรม หรือความสัมพันธ์ที่เกิดจากการรับไว้อุปการะเลี้ยงดูอย่างบุตร (3) พี่น้องร่วมบิดาหรือมารดา ลุง ป้า น้า อา หลาน ไม่ว่าทางสายโลหิตหรือการสมรส รวมถึงญาติตามสายโลหิต (4) บุคคลที่ต้องพึ่งพาอาศัยและอยู่ในครัวเรือนเดียวกัน เช่น เป็นบุคคลที่อยู่ร่วมกันภายใต้ความสัมพันธ์เชิงอำนาจคนหนึ่งเหนือกว่าอีกคนหนึ่ง หรือเป็นบุคคลที่มีความผูกพันกันลึกซึ้งทางจิตใจต่อกัน แม้ไม่มีความเกี่ยวพันกันทางเครือญาติ (เดิม กำหนดไว้เพียง คู่สมรส คู่สมรสเดิม ผู้ที่อยู่กินหรือเคยอยู่กินฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส บุตร บุตรบุญธรรม สมาชิกในครอบครัว รวมทั้ง บุคคลใด ๆ ที่ต้องพึ่งพาอาศัยและอยู่ในครัวเรือนเดียวกัน ซึ่งไม่ได้ลงรายละเอียดไว้) 2) แก้ไขเพิ่มเติมหน้าที่และอำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ให้มีความครอบคลุมและสามารถให้ความช่วยเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่พบเห็นหรือได้รับแจ้งเหตุ การกระทำรุนแรงในครอบครัว ให้มีหน้าที่และอำนาจรวมถึง (1) รวบรวมข้อเท็จจริงหรือพยานเอกสาร และจัดทำแผนแก้ไข (2) ในกรณีที่มีความเสี่ยงจะถูกกระทำด้วยความรุนแรงซ้ำ ให้จัดให้ผู้ถูกกระทำอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัย (3) ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสวัสดิภาพหากมีการส่งตัวเข้ารับคำปรึกษาแนะนำ (4) เสนอผู้มีอำนาจออกคำสั่งเพื่อกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราว (เช่น ให้ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวอยู่ให้ห่างจากผู้ถูกกระทำในระยะเวลาที่กำหนด) (เดิม กำหนดให้มีหน้าที่และอำนาจในการเข้าไปในเคหสถานหรือสถานที่ที่เกิดเหตุเพื่อสอบถาม ผู้ที่อยู่ในสถานที่นั้นได้ และมีอำนาจจัดให้ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงเข้ารับการรักษาจากแพทย์และขอรับคำปรึกษาแนะนำจากจิตแพทย์ นักจิตวิทยา หรือนักสังคมสงเคราะห์ รวมถึงร้องทุกข์แทนได้หากผู้นั้นไม่อยู่ในวิสัยหรือมีโอกาสที่จะร้องทุกข์ด้วยตนเอง) 3) แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และการดำเนินการ เช่น (1) ถ้ามิได้มีการแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 5 หรือมิได้มีการร้องทุกข์ตามมาตรา 6ภายใน 6 เดือนนับแต่ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวอยู่ในวิสัยและมีโอกาสที่จะแจ้งหรือร้องทุกข์ได้ ให้ถือว่าคดีขาดอายุความ เพื่อให้มีเวลาเพียงพอในการตัดสินใจดำเนินคดี (เดิม กำหนดภายใน 3 เดือน) (2) ให้พนักงานสอบสวนในท้องที่หรือที่มูลเหตุเกิดขึ้น พนักงานอัยการ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรี มีอำนาจออกคำสั่งใด ๆ เช่น ให้ผู้กระทำไปพบพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกำหนดระยะเวลา ให้ผู้กระทำเข้ารับคำปรึกษาแนะนำหรือแก้ไขบำบัดฟื้นฟู (เดิม พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งใด ๆ ได้เท่าที่จำเป็นและสมควร ซึ่งรวมถึงการให้ผู้ถูกกระทำเข้ารับการตรวจรักษาจากแพทย์ การให้ผู้กระทำชดใช้เงินช่วยเหลือ การออกคำสั่งห้ามผู้กระทำเข้าใกล้ที่พำนักของครอบครัวหรือบุคคลในครอบครัวตลอดจนกำหนดวิธีการดูแลบุตร) (3) เมื่อผู้มีอำนาจออกคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการบรรเทาทุกข์ตามข้อ (2) แล้ว ให้มีผลใช้บังคับไม่เกิน 7 วันนับแต่วันที่ผู้กระทำได้รับคำสั่งหากมีความจำเป็นต้องกำหนดมาตรการหรือวิธีการนั้นต่อไป เพื่อจัดทำแผนแก้ไขและป้องกัน ให้เสนอมาตรการหรือวิธีการบรรเทาทุกข์ต่อศาล (เดิม เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ออกคำสั่งดังกล่าวแล้วให้เสนอต่อศาลภายใน 48 ชั่วโมงนับแต่วันออกคำสั่ง หากศาลเห็นชอบ ให้คำสั่งนั้นมีผลต่อไป) (4) เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะมีการกระทำความผิดซ้ำ ให้ผู้ที่จะถูกกระทำหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ยื่นคำร้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวให้มีคำสั่งห้าม มิให้กระทำการนั้น และออกคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพเพื่อคุ้มครองผู้ที่จะถูกกระทำตามสมควรแก่กรณี (เดิม ไม่ได้กำหนดไว้) 5) แก้ไขเพิ่มเติมบทกำหนดโทษ เช่น (1) ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง (มาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (เดิม ปรับไม่เกิน 3,000 บาท) (2) ถ้าเป็นการกระทำความผิดซ้ำภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ได้กระทำความผิดครั้งก่อน หรือทำต่อเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ ให้ศาลลงโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ไม่เกินกึ่งหนึ่ง (เดิม ไม่ได้กำหนดมาตรการดังกล่าวไว้ ซึ่งหากมีการกระทำความผิดซ้ำจะมีโทษเท่ากับกระทำครั้งแรก) 4) ในคราวประชุมคณะกรรมการปรับปรุงพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนา และคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ. 2562 ครั้งที่ 2/2567 เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว 5) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับ ร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ และได้จัดทำสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 แล้ว รวมทั้งได้จัดทำแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจำนวน 2 ฉบับ 2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การกระทำความผิด ต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การกระทำความผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์) ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ สาระสำคัญของเรื่อง 1. สืบเนื่องจากกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันยังไม่ครอบคลุมกับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น จากการใช้เทคโนโลยีด้านการสื่อสารและคอมพิวเตอร์ในสื่อออนไลน์ซึ่งมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและ ยังไม่สามารถดำเนินการคุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชนจากการตกเป็นเหยื่อของการกระทำความผิดต่อเด็กและเยาวชนผ่านทางสื่อออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีการนำเทคโนโลยีไปใช้ในการกระทำความผิด โดยเฉพาะการกระทำความผิดต่อเด็กและเยาวชนซึ่งเป็นกลุ่มที่สามารถถูกล่อลวงและตกเป็นเหยื่อของผู้กระทำความผิดได้โดยง่าย อีกทั้งการกระทำความผิดโดยอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัลยังกระทำได้อย่างไร้พรมแดนและยากที่จะควบคุม 2. ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมความผิดเกี่ยวกับเพศและความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา โดยกำหนดเพิ่มเติมฐานความผิดในประมวลกฎหมายอาญาไว้ 5 ประเภท ดังนี้ 1) การล่อลวงเด็กเพื่อวัตถุประสงค์ทางเพศ (ในลักษณะ Offline และ Online Grooming) ซึ่งมีลักษณะเป็นการโน้มน้าว จูงใจ ล่อลวง หรือกระทำการไม่เหมาะสมกับเด็กและเยาวชนให้กระทำการหรือยอมรับการกระทำอันไม่สมควร 2) การพูดคุยเรื่องเพศที่ ไม่เหมาะสม (ในลักษณะ Offline และ Online Unwanted Sexting) ซึ่งมีลักษณะเป็นการส่งหรือส่งต่อซึ่งเรื่องทางเพศที่ไม่เหมาะสมแก่เด็กและเยาวชน ไม่ว่าด้วยกาย วาจา ลายลักษณ์อักษร ภาพ เสียง หรือวิธีการอื่น 3) การแบล็กเมลทางเพศ (Sextortion) ซึ่งมีลักษณะเป็นการข่มขู่ว่าจะเผยแพร่ส่งต่อซึ่งข้อความ ภาพ หรือเสียงที่บันทึกเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่เหมาะสมทางเพศ หรือกระทำการใดที่ทำให้อับอายหรือเสียชื่อเสียงเกี่ยวกับเรื่องทางเพศ และบังคับให้ผู้ถูกข่มขู่กระทำการหรือยอมรับการกระทำที่ไม่สมควรทางเพศ 4) การติดตามคุกคาม (ในลักษณะ Offline และ Online Stalking) ซึ่งมีลักษณะเป็นการเฝ้าดูหรือติดตามอย่างใกล้ชิด หรือการติดต่อหรือพยายามติดต่อไม่ว่าด้วยทางตรงหรือทางอ้อมซึ่งกระทำซ้ำหลายครั้งต่อบุคคลใดจนเกิดความเดือดร้อนรำคาญเกินสมควร และไม่มีเหตุอันสมควร และ 5) การกลั่นแกล้งรังแกออนไลน์ (Cyber Bullying) ซึ่งมีลักษณะเป็นการกลั่นแกล้ง รังแก ระราน ข่มเหง หรือการกระทำอื่นใดซ้ำ ๆ ต่อผู้อื่น ผ่านอุปกรณ์โทรคมนาคม/ระบบคอมพิวเตอร์โดยนำการกระทำความผิด 5 ประเภทดังกล่าว มากำหนดไว้ให้เป็นความผิดและกำหนดโทษสำหรับการกระทำนั้นในประมวลกฎหมายอาญา ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวยังเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (11 ตุลาคม 2565) เรื่อง รายงานผลการดำเนินการกรณี ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อผลักดันกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา ที่ให้กระทรวงยุติธรรมนำร่างบทบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์ ของคณะกรรมาธิการฯ มาพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาซึ่งปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับการล่วงละเมิดต่อเด็กบนโลกออนไลน์เป็นการเฉพาะและสอดคล้องกับข้อตกลงหรือความร่วมมือระหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคีสมาชิกซึ่งกำหนดให้ต้องบัญญัติกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์ 3. ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การกระทำความผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์) มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมความผิดเกี่ยวกับเพศและความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญาเพื่อกำหนดการกระทำความผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์ มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้ 3.1) กำหนดให้การกระทำความผิดกระทำชำเรา กระทำอนาจารหรือการกระทำที่เป็นการเพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบสำหรับตนเองหรือผู้อื่น ซึ่งเป็นการบันทึก ข้อความ ภาพ หรือเสียงดังกล่าวไว้ ต้องระวางโทษหนักกว่าที่กำหนดไว้ (เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น กระทำชำเราเด็ก กระทำอนาจารเด็ก การล่อลวงเข้าหาเด็กเพื่อวัตถุประสงค์ทางเพศ การพูดคุยหรือสื่อสารเรื่องทางเพศที่ไม่เหมาะสม) และหากมีการเผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อความ ภาพ หรือเสียง การกระทำชำเรา การกระทำอนาจาร หรือการกระทำนั้นที่บันทึกไว้ ต้องระวางโทษหนักกว่าที่กำหนดไว้ (เพิ่มขึ้นอีกกึ่งหนึ่งของโทษที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น กระทำชำเราเด็ก กระทำอนาจารเด็ก การล่อลวงเข้าหาเด็กเพื่อวัตถุประสงค์ทางเพศ การพูดคุยหรือสื่อสารเรื่องทางเพศที่ไม่เหมาะสม) (ร่างมาตรา 5) เดิม กำหนดเหตุฉกรรจ์ (ข้อเท็จจริงที่ทำให้ได้รับโทษหนักขึ้น) ไว้เฉพาะกรณีบันทึกหรือส่งต่อภาพหรือเสียง ไม่รวมถึง ?ข้อความ? 3.2) กำหนดเพิ่มเติมให้ผู้ใดกระทำการอันมีลักษณะเป็นการโน้มน้าว จูงใจ ล่อลวง หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดอันมีลักษณะที่ไม่เหมาะสมกับบุคคลอายุไม่เกินสิบแปดปี ให้กระทำการ หรือยอมรับการกระทำอันไม่สมควรอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อสนองความใคร่ของตนเองหรือผู้อื่น หรือเพื่อการอนาจาร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (เป็นความผิดในขั้นที่ยังไม่เกิดผล) [การล่อลวงเข้าหาเด็กเพื่อวัตถุประสงค์ทางเพศ (Online Grooming) (ร่างมาตรา 6)] หากการโน้มน้าว จูงใจ ล่อลวง หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดนั้น ก่อให้เกิดผลแล้ว [ได้กระทำความผิดสำเร็จโดยทำให้ผู้ที่ถูกโน้มน้าว จูงใจ ล่อลวง หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นถูกทำการอนาจาร หรือถูกนำไปสนองความใคร่ของบุคคลใดแล้ว ต้องระวางโทษหนักขึ้น (จำคุกไม่เกินห้าปีและปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท) การกระทำดังกล่าวข้างต้นหากได้กระทำต่อเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้นอีก (ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปีและปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท) หากเป็นการกระทำผ่านอุปกรณ์โทรคมนาคม หรือระบบคอมพิวเตอร์ ให้เพิ่มโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำผิด (เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งในสามของโทษที่กฎกำหนด) 3.3) กำหนดเพิ่มเติมให้การกระทำความผิดอันมีลักษณะเป็นการโน้มน้าว จูงใจ ล่อลวง หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดที่ไม่เหมาะสมกับเด็กและเยาวชน เพื่อการอนาจาร หรือเพื่อสนองความใคร่ของบุคคล (ตามข้อ 3.2) ทำให้ผู้ถูกกระทำได้รับอันตรายสาหัสหรือถึงแก่ความตาย จะต้องได้รับโทษหนักขึ้น (เพิ่มเหตุฉกรรจ์ กรณี 1) รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปีและปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต 2) ถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกสิบห้าปีถึงยี่สิบปีและปรับตั้งแต่สามแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต) (ร่างมาตรา 7) 3.4) กำหนดเพิ่มเติมให้ผู้ใดส่ง หรือส่งต่อซึ่งเรื่องทางเพศที่ไม่เหมาะสม เพื่อการอนาจาร หรือเพื่อแสวงหาประโยชน์ทางเพศ ให้แก่เด็กอายุเกินสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปี หรือบุคคลซึ่งตนเข้าใจว่าเป็นบุคคลที่อยู่ในเกณฑ์อายุเช่นว่านั้น ไม่ว่าด้วยการแสดงออกทางกาย วาจา ลายลักษณ์อักษร ภาพ เสียง หรือด้วยวิธีการอื่นใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท [การพูดคุยหรือสื่อสารเรื่องทางเพศที่ไม่เหมาะสม (Sexting) (ร่างมาตรา 8)] หากเป็นการกระทำแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี หรือบุคคลซึ่งตนเข้าใจว่าเป็นบุคคลที่อยู่ในเกณฑ์อายุเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษหนักขึ้น (จำคุกไม่เกินสามปีและปรับไม่เกินหกหมื่นบาท) หากเป็นการกระทำผ่านอุปกรณ์โทรคมนาคม หรือระบบคอมพิวเตอร์ ผู้กระทำต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ (เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งในสามของโทษที่กฎหมายกำหนด) 3.5) กำหนดเพิ่มเติมให้ผู้ใดข่มขู่ว่าจะเผยแพร่ หรือส่งต่อซึ่งข้อความ ภาพ หรือเสียงที่บันทึก เพื่อการอนาจาร หรือเพื่อแสวงหาประโยชน์ทางเพศเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่เหมาะสม ทางเพศของผู้ถูกข่มขู่ หรือสมาชิกในครอบครัวของผู้ถูกข่มขู่ หรือกระทำการด้วยประการอื่นใด อันอาจทำให้ผู้ถูกข่มขู่ สมาชิกในครอบครัวของผู้ถูกข่มขู่อับอาย หรือเสียชื่อเสียงเกี่ยวกับเรื่องทางเพศ โดยบังคับให้ผู้ถูกข่มขู่จำยอมต้องกระทำการหรือยอมรับการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นการไม่สมควรทางเพศ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท [การแบล็กเมลทางเพศ (Sextortion) (ร่างมาตรา10)] 3.6) กำหนดเพิ่มเติมให้ผู้ใดครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็กเพื่อแสวงหาประโยชน์ในทางเพศสำหรับตนเองหรือผู้อื่น หรือส่งต่อซึ่งสื่อลามกอนาจารเด็กแก่ผู้อื่นหากเป็นการกระทำโดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ตามกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ หรือผ่านช่องทางโทรคมนาคมตามกฎหมายว่าด้วยองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ผู้กระทำต้องระวางโทษหนักกว่าที่กำหนดไว้ (เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำความผิดฐานครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็ก หรือส่งต่อซึ่งสื่อลามกอนาจารเด็กแก่ผู้อื่น) (ร่างมาตรา 14 แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 287/3) 3.7) กำหนดเพิ่มเติมให้ผู้ใด (1) ทำ ผลิต มีไว้ นำเข้าหรือยังให้นำเข้าในราชอาณาจักรส่งออกหรือยังให้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พาไปหรือยังให้พาไปหรือทำให้แพร่หลายโดยประการใด ๆ ซึ่งสื่อลามกอนาจารเด็ก เพื่อความประสงค์แห่งการค้า หรือโดยการค้า เพื่อการแจกจ่ายหรือเพื่อการแสดงอวดแก่ประชาชน (2) ประกอบการค้า หรือมีส่วนหรือเข้าเกี่ยวข้องในการค้าเกี่ยวกับสื่อลามกอนาจารเด็ก จ่ายแจกหรือแสดงอวดแก่ประชาชนหรือให้เช่าสื่อลามกอนาจารเด็ก (3) ช่วยเผยแพร่ หรือค้าสื่อลามกอนาจารเด็ก หรือโดยวิธีใด หากเป็นการกระทำโดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ ตามกฎหมายด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ หรือผ่านช่องทางโทรคมนาคมตามกฎหมายว่าด้วยองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม ผู้กระทำต้องระวางโทษหนักกว่าที่กำหนดไว้ (เพิ่มขึ้นอีกกึ่งหนึ่งของโทษที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำความผิดฐานทำ ผลิต มีไว้ นำเข้า ส่งออก เผยแพร่ ซึ่งสื่ออนาจารเด็กเพื่อการค้า) (ร่างมาตรา 14 แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 287/2) 3.8) กำหนดเพิ่มเติมให้ผู้ใดกระทำความผิดในลักษณะ (การติดตามคุกคาม) เฝ้าดูหรือติดตามอย่างใกล้ชิด หรือการติดต่อหรือพยายามติดต่อไม่ว่าด้วยทางตรงหรือทางอ้อม หรือการกระทำอื่นใดอันมีลักษณะเดียวกันต่อบุคคลใด อันเป็นผลทำให้ผู้ถูกกระทำเกิดความเดือดร้อนรำคาญเกินสมควร รบกวนความเป็นอยู่ส่วนตัว หรือทำให้ผู้ถูกกระทำไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ หรือเกิดความหวาดกลัวต่อความไม่ปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดของผู้ถูกกระทำหรือสมาชิกในครอบครัวของผู้ถูกกระทำ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และหากเป็น การกระทำผ่านอุปกรณ์โทรคมนาคม หรือระบบคอมพิวเตอร์ต้องระวางโทษหนักขึ้น (จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ) [การติดตามคุกคามทางไซเบอร์ (Cyber Stalking) (ร่างมาตรา 15)] 3.9) กำหนดเพิ่มเติมให้ผู้ใดกระทำความผิดในลักษณะการกลั่นแกล้ง รังแกทางออนไลน์ (Cyber Bullying) (กลั่นแกล้ง รังแก ระราน ข่มเหง หรือการกระทำลักษณะเดียวกันต่อผู้อื่น ผ่านอุปกรณ์โทรคมนาคมหรือระบบคอมพิวเตอร์) โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้ถูกกระทำได้รับความอับอาย หรือได้รับผลกระทบอย่างหนึ่งอย่างใด ทางร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ชื่อเสียง ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (ร่างมาตรา 17) หากกระทำผ่านเทคโนโลยี อุปกรณ์โทรคมนาคม หรือระบบคอมพิวเตอร์ ที่มีไว้เพื่อการบริการสาธารณะ หรือเครือข่ายสังคมออนไลน์ ต้องระวางโทษหนักขึ้น (เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งในสาม) (ร่างมาตรา 18) 4. กระทรวงยุติธรรมโดยสำนักงานกิจการยุติธรรมได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นประกอบการจัดทำร่างกฎหมาย และเปิดเผยสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย รวมทั้งจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายตามแนวทางมติคณะรัฐมนตรี (19 พฤศจิกายน 2562) เรื่อง การดำเนินการเพื่อรองรับและขับเคลื่อนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์ การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 แล้ว และได้เผยแพร่ผลการรับฟังความคิดเห็นพร้อมการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายผ่านทางเว็บไซต์ดังกล่าวให้ประชาชนได้รับทราบด้วยแล้ว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบด้วยในหลักการ 3. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพรังสีเทคนิค พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพรังสีเทคนิค พ.ศ. .... และรับทราบ แผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตาม ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ สาระสำคัญของเรื่อง 1. ปัจจุบันการประกอบโรคศิลปะสาขารังสีเทคนิคเป็นการประกอบโรคศิลปะสาขาหนึ่งที่อยู่ในความควบคุมตามพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2542 ซึ่งมีคณะกรรมการประกอบโรคศิลปะทำหน้าที่กำกับดูแลการประกอบโรคศิลปะในเชิงนโยบายของการประกอบโรคศิลปะสาขาต่าง ๆ และมีคณะกรรมการวิชาชีพสาขาต่าง ๆ ทำหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะและควบคุมการประกอบโรคศิลปะสาขานั้น ๆ ในกรณีมีกระทำผิดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ อย่างไรก็ดี เมื่อวิทยาการและเทคโนโลยีทางด้านรังสีเทคนิคในประเทศไทยได้เจริญก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ประกอบกับมีจำนวนผู้ประกอบโรคศิลปะในสาขารังสีเทคนิคเพิ่มมากขึ้น แต่การดำเนินการเชิงนโยบายต่าง ๆ เกี่ยวกับสาขารังสีเทคนิคยังต้องผ่านการพิจารณาและการดำเนินการของคณะกรรมการการประกอบโรคศิลปะเสียก่อน ส่งผลให้เกิดความล่าช้าและไม่ได้รับความสะดวกเท่าที่ควร นอกจากนี้ ยังประสบปัญหาเกี่ยวกับใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ เช่น การขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต การออกหนังสือรับรองความรู้ความชำนาญเฉพาะทางในการประกอบโรคศิลปะ เนื่องจากกฎกระทรวงว่าด้วยการ ขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตการออกใบอนุญาต การขอรับใบแทนใบอนุญาต และการออกใบแทนใบอนุญาตการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2547 ได้กำหนดหลักเกณฑ์สำหรับการดำเนินการเกี่ยวกับใบอนุญาตโรคศิลปะทุกสาขาให้ใช้หลักเกณฑ์เดียวกัน ซึ่งไม่สอดคล้องกับวิทยาการและเทคโนโลยีทางด้านรังสีเทคนิคที่เปลี่ยนแปลงไป 2. สธ. เสนอร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพรังสีเทคนิค พ.ศ. .... เพื่อแยกการกำกับดูแลและ การควบคุมการประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิคออกจากอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการประกอบโรคศิลปะ และคณะกรรมสาขารังสีเทคนิค ตามพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2542 ออกมาจัดตั้งเป็น ?สภารังสีเทคนิค? โดยมีสาระสำคัญ ดังต่อไปนี้ 1) สภารังสีเทคนิค (1) กำหนดให้มี ?สภารังสีเทคนิค? เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ อาทิ ส่งเสริมการศึกษา การพัฒนา การวิจัย และการประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิค ควบคุม กำกับ ดูแล และกำหนดมาตรฐาน การประกอบวิชาชีพของผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิค ควบคุมความประพฤติ คุณธรรม และจริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิคให้เป็นไปตามจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพรังสีเทคนิค (2) กำหนดให้สภารังสีเทคนิคมีอำนาจหน้าที่ อาทิ รับขึ้นทะเบียนและออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิค รับรองปริญญา ประกาศนียบัตรหรือวุฒิบัตร ในวิชาชีพรังสีเทคนิคของสถาบันต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการสมัครเป็นสมาชิก ออกหนังสืออนุมัติหรือวุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิคสาขาต่าง ๆ (3) กำหนดให้สภารังสีเทคนิคอาจมีรายได้จาก (3.1) เงินอุดหนุนจากงบประมาณแผ่นดิน (3.2) ค่าขึ้นทะเบียนสมาชิก ค่าบำรุง และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ (3.3) ผลประโยชน์จากการจัดการทรัพย์สินและกิจกรรมตามวัตถุประสงค์ของสภารังสีเทคนิค (3.4) เงินและทรัพย์สินซึ่งมีผู้ให้แก่สภารังสีเทคนิค (3.5) ดอกผลของเงินและทรัพย์สินตามข้อ (3.1) (3.4) 2) คณะกรรมการสภารังสีเทคนิค (1) กำหนดให้มีคณะกรรมการสภารังสีเทคนิค ประกอบด้วย (1.1) กรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (1.2) กรรมการซึ่งเป็นคณบดีคณะรังสีเทคนิคในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐหรือเอกชน จำนวน 5 คน (1.3) กรรมการซึ่งเป็นผู้แทนสมาคมหรือมูลนิธิที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพรังสีเทคนิค จำนวน 3 คน (1.4) กรรมการซึ่งได้รับเลือกตั้งโดยสมาชิกมีจำนวนเท่ากับ จำนวนกรรมการใน (1.1) - (1.3) รวมกันในขณะเลือกตั้งแต่ละคราว (2) กำหนดให้คณะกรรมการสภารังสีเทคนิคมีอำนาจหน้าที่ อาทิ บริหารและดำเนินกิจการสภารังสีเทคนิคตามวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ กำหนดแผนการดำเนินงานและงบประมาณของ สภารังสีเทคนิค ออกข้อบังคับสภารังสีเทคนิค 3) การควบคุมการประกอบวิชาชีพสีเทคนิค (1) กำหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิคต้องขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตจากสภารังสีเทคนิค โดยผู้ขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตต้องสมัครเป็นสมาชิก สภารังสีเทคนิค และมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของสภารังสีเทคนิค (ใบอนุญาตให้ใช้จนถึงวันสิ้นปีปฏิทินของปีที่ 5 นับแต่ปีถัดจากปีที่ออกใบอนุญาต) (2) กำหนดห้ามผู้ซึ่งไม่ได้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิคทำการประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิค หรือแสดงด้วยวิธีใด ๆ ให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเป็นผู้มีสิทธิทำการประกอบวิชาชีพดังกล่าว เว้นแต่ในบางกรณี อาทิ นักเรียน นักศึกษา หรือผู้รับการฝึกอบรม ซึ่งทำการฝึกหัดหรืออบรมในความควบคุมของสถาบันการศึกษา บุคคลซึ่งหน่วยงานของรัฐมอบหมายให้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิค หรือบุคคลซึ่งปฏิบัติงานในสถานพยาบาล ซึ่งอยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิค (3) กำหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิคต้องประกอบวิชาชีพภายใต้บังคับแห่งข้อจำกัดและเงื่อนไข และต้องรักษาจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพรังสีเทคนิค ตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับสภารังสีเทคนิค ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับความเสียหายเพราะผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิคฝ่าฝืนบังคับหรือจรรยาบรรณ ผู้ที่พบหรือทราบว่า ผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิค ฝ่าฝืนบังคับหรือจรรยาบรรณ หรือกรรมการสภารังสีเทคนิค มีสิทธิกล่าวหาหรือกล่าวโทษผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิคดังกล่าวได้ โดยคณะกรรมการสภารังสีเทคนิคมีอำนาจลงโทษ ผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิคอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ ว่ากล่าวตักเตือน ภาคทัณฑ์ พักใช้ใบอนุญาต และเพิกถอนใบอนุญาต 4) บทกำหนดโทษ กำหนดโทษทางอาญาสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติในร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ อาทิ (1) ผู้ใดทำการประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิคโดยไม่ได้รับอนุญาตต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (2) ผู้ใดแสดงด้วยวิธีการใด ๆ ให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเป็นผู้มีสิทธิทำการประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิค ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (3) ผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิคซึ่งอยู่ในระหว่างถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาต หรือถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาต ผู้ใดทำการประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิค ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 5) เพดานอัตราค่าธรรมเนียม กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตรา ดังนี้ รายการ เพดานอัตราค่าธรรมเนียม (1) ค่าขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิค ฉบับละ 10,000 บาท (2) ค่าหนังสือรับรองการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิค ฉบับละ 1,000 บาท (3) ค่าหนังสืออนุมัติหรือวุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบ วิชาชีพรังสีเทคนิค ฉบับละ 5,000 บาท (4) ค่าใบแทนใบอนุญาต ฉบับละ 1,000 บาท (5) ค่าใบแปลใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิค ฉบับละ 1,000 บาท (6) ค่าต่ออายุใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิค ฉบับละ 5,000 บาท 3. สธ. ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว รวมทั้งจัดทำสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 แล้ว รวมทั้งได้เสนอแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว รวม 29 ฉบับ โดยออกเป็นกฎกระทรวง จำนวน 1 ฉบับ เป็นการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนและการรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิค ออกเป็นประกาศกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 3 ฉบับ เป็นการกำหนดเครื่องมือหรืออุปกรณ์ในการประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิค และกำหนดเกี่ยวกับการแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ ออกเป็นระเบียบกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 2 ฉบับ เป็นการกำหนดเงื่อนไขในการประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิคสำหรับบุคคลซึ่งปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐและสถานพยาบาล ออกเป็นข้อบังคับสภารังสีเทคนิค จำนวน 21 ฉบับ เช่น กำหนดหลักเกณฑ์การรับรองปริญญาในวิชาชีพรังสีเทคนิคของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ หลักเกณฑ์การเป็นสมาชิกสภารังสีเทคนิค กำหนดหลักเกณฑ์ การพักใช้หรือการเพิกถอนใบอนุญาต เป็นต้น และออกเป็นประกาศคณะกรรมการสภารังสีเทคนิค จำนวน 2 ฉบับ เป็นการกำหนดคุณสมบัติผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมซึ่งทำหน้าที่ตรวจรับรองคุณสมบัติที่เกี่ยวกับโรคต้องห้ามสำหรับสมาชิกสภารังสีเทคนิค และกำหนดเงื่อนไขในการประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิคของที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญของทางราชการหรือผู้สอนในสถาบันการศึกษา ซึ่งมีใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิคจากต่างประเทศ ทั้งนี้ กฎหมายลำดับรองดังกล่าวมีกรอบระยะเวลาในการออกภายใน 3-12 เดือนนับแต่วันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับ 4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สำหรับงานโครงสร้างทั่วไปต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบน รีดร้อน สำหรับงานโครงสร้างทั่วไปต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ สาระสำคัญของเรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อนฯ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สำหรับงานโครงสร้างทั่วไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 1479 - 2558 โดยเป็นการยกเลิกมาตรฐานเดิมและกำหนดมาตรฐานใหม่ ให้เป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. มอก. 1479 - 2566 เนื่องจากประกาศใช้มาเป็นเวลามากกว่า 5 ปี และข้อกำหนดอันเป็นสาระสำคัญในเอกสารที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดมาตรฐานดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลง และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สำหรับงานโครงสร้างทั่วไป มีขอบข่ายครอบคลุมถึงเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน ทั้งเหล็กกล้าไม่เจือและเหล็กกล้าเจือ (unalloyed and alloy steels) สำหรับงานโครงสร้างทั่วไป เช่น สะพาน เรือ ล้อเลื่อน จึงเห็นควรแก้ไขปรับปรุงมาตรฐานให้สอดคล้องกับข้อกำหนดตามมาตรฐานอ้างอิงที่มีการปรับปรุงใหม่เพื่อให้รองรับการพัฒนาเทคโนโลยี การทำและการใช้งานภายในประเทศและมีข้อกำหนดเพื่อควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ดีและรัดกุมมากยิ่งขึ้นรวมทั้งเป็นการป้องกันความเสียหายอันอาจจะเกิดแก่กิจการอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ ผู้ทำหรือผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สำหรับงานโครงสร้างทั่วไปจะต้องขอรับใบอนุญาตทำหรือนำเข้า ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าว และผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สำหรับ งานโครงสร้างทั่วไป จะต้องจำหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าวที่ได้รับใบอนุญาตและเป็นไปตามมาตรฐาน โดยร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมีผลใช้บังคับ เมื่อพ้นกำหนด 180 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา 5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดตัวผู้ออกบัตรและแบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดตัวผู้ออกบัตรและแบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง 1. โดยที่พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติมบัญญัติให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่และออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ และในการปฏิบัติหน้าที่พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวเมื่อผู้ที่เกี่ยวข้องร้องขอ โดยบัตรประจำตัวของพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวง ซึ่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครอง ผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ได้กำหนดให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ออกบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้แก่ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และให้เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นผู้ออกบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้แก่ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 2. ปัจจุบันผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มีจำนวนมาก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีการถ่ายโอนภารกิจในการคุ้มครองผู้บริโภคของราชการส่วนกลางและราชการส่วนภูมิภาคให้แก่ราชการส่วนท้องถิ่น และโดยที่กฎกระทรวงฉบับปัจจุบันตามข้อ 1 ได้กำหนดให้เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติแต่เพียงผู้เดียว ทำให้การออกบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่มีความคล่องตัว ส่งผลให้พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างทั่วถึง สคบ. จึงได้ยก ร่างกฎกระทรวงกำหนดตัวผู้ออกบัตรและแบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ พ.ศ. .... เพื่อปรับปรุงเกี่ยวกับผู้มีอำนาจในการออกบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ และรูปแบบบัตรดังกล่าวเพื่อให้การคุ้มครองผู้บริโภคมีความสะดวก รวดเร็ว และทั่วถึง โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ 2.1 กำหนดผู้มีอำนาจในการออกบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังนี้ (1) นายกรัฐมนตรีหรือผู้ซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นผู้ออกบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้แก่ผู้ดำรงตำแหน่ง 1) เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค 2) หัวหน้าส่วนราชการตั้งแต่ระดับกรมหรือเทียบเท่าขึ้นไป 3) ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ 4) นายกเมืองพัทยา (2) เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นผู้ออกบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้แก่ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ยกเว้นผู้ดำรงตำแหน่งซึ่งนายกรัฐมนตรีหรือผู้ซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นผู้ออกบัตรให้ตาม (1) (3) ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ออกบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้แก่ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ในสังกัดราชการส่วนภูมิภาคและสังกัดราชการส่วนท้องถิ่นเฉพาะที่สังกัดในจังหวัดนั้น ๆ (4) ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นผู้ออกบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้แก่ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ในสังกัดกรุงเทพมหานคร (5) นายกเมืองพัทยาเป็นผู้ออกบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้แก่ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ในสังกัดเมืองพัทยา 2.2 กำหนดให้เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และนายกเมืองพัทยา ได้ออกบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว ให้รายงาน สคบ. ทราบโดยเร็ว 2.3 กำหนดให้บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่มี 2 แบบ ได้แก่ 1) แบบบัตรกระดาษ และ 2) แบบบัตรอิเล็กทรอนิกส์ 2.4 กำหนดให้บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่มีอายุ 5 ปี นับแต่วันออกบัตร เว้นแต่กรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีวาระการดำรงตำแหน่งน้อยกว่า 5 ปีให้ใช้ได้จนถึงวันที่ผู้ถือบัตรครบวาระหรือพันวาระการดำรงตำแหน่ง แล้วแต่กรณี 3. ร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้ได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสีย ได้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่ากรุงเทพมหานคร และนายกเมืองพัทยา รวมถึงประชาชนทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่เห็นด้วยกับร่างกฎกระทรวง 6. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอ่างทอง พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอ่างทอง พ.ศ. 2558) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอ่างทอง พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอ่างทอง พ.ศ. 2558) ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงพลังงานไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย สาระสำคัญของเรื่อง ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอ่างทอง พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอ่างทอง พ.ศ. 2558) มีสาระสำคัญดังต่อไปนี้ 1. แก้ไขข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม (สีเขียว) ให้สามารถประกอบกิจการโรงงานในอาคารสูงหรืออาคารที่ไม่ใช่อาคารขนาดใหญ่พิเศษได้ เพื่อรองรับรูปแบบอุตสาหกรรมแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรแบบครบวงจรที่เปลี่ยนแปลงไปโดยการใช้เทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่ในการประกอบกิจการอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรแบบครบวงจรให้สามารถพัฒนาได้เต็มศักยภาพ ส่งผลให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจในภาพรวมของพื้นที่ (เดิมในพื้นที่นั้นไม่สามารถดำเนินการหรือประกอบกิจการได้ในอาคารสูงหรืออาคารที่ไม่ใช่อาคารขนาดใหญ่ แต่ร่างประกาศดังกล่าวให้โรงงานตามบัญชีท้ายกฎกระทรวงนี้สามารถดำเนินการหรือประกอบกิจการได้ในอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่ได้) 2. แก้ไขประเภท ชนิด และจำพวกของโรงงานในบัญชีท้ายกฎกระทรวงฯ ในที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม (สีเขียว) ให้โรงงานบางลำดับสามารถประกอบกิจการโรงงานจำพวกที่ 3 ได้ เพื่อรองรับนโยบายของรัฐบาล ได้แก่ โมเดล Thailand 4.0 การพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายในกลุ่มอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร (S- Curve 5)และโมเดลเศรษฐกิจ BCG ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคตและขยายโอกาสให้อุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรแบบครบวงจรสามารถพัฒนาได้เต็มศักยภาพ เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจในภาพรวมของพื้นที่ ซึ่งมีโรงงานตามลำดับดังต่อไปนี้ 2.1 โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับผลิตผลเกษตรกรรมอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ ลำดับที่ 2 (1) การต้ม นึ่ง หรืออบพืชหรือเมล็ดพืช ลำดับที่ 2 (2) การกะเทาะเมล็ดหรือเปลือกเมล็ดพืช ลำดับที่ 2 (6) การบด ป่น หรือย่อยส่วนต่าง ๆ ของพืชซึ่งมิใช่เมล็ดพืชหรือหัวพืช 2.2 โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับเมล็ดพืชหรือหัวพืชอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ ลำดับที่ 9 (1) การสี ฝัด หรือขัดข้าว ลำดับที่ 9 (2) การทำแป้ง ลำดับที่ 9 (3) การป่นหรือบด เมล็ดพืช หรือหัวพืช ลำดับที่ 9 (4) การผลิตอาหารสำเร็จรูปจากเมล็ดพืชหรือหัวพืช ลำดับที่ 9 (6) การปอกหัวพืช หรือทำหัวพืชให้เป็นเส้น แว่น หรือแท่ง 2.3 โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับอาหารจากแป้งอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ ลำดับที่ 10 (1) การทำขนมปังหรือขนมเค้ก ลำดับที่ 10 (2) การทำขนมปังกรอบหรือขนมอบแห้ง ลำดับที่ 10 (3) การทำผลิตภัณฑ์อาหารจากแป้ง เป็นเส้น เม็ด หรือชิ้น 2.4 โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับสบู่ เครื่องสำอาง หรือสิ่งปรุงแต่งร่างกายอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ ลำดับที่ 47 (3) การทำเครื่องสำอางหรือสิ่งปรุงแต่งร่างกาย ลำดับที่ 47 (4) การทำยาสีฟัน 2.5 โรงงานห้องเย็น (ลำดับที่ 92) 3. เพิ่มประเภท ชนิด และจำพวกของโรงงานในบัญชีท้ายกฎกระทรวงฯ ในที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม (สีเขียว) ให้โรงงานบางลำดับสามารถประกอบกิจการโรงงานได้ เพื่อรองรับรูปแบบอุตสาหกรรมแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรแบบครบวงจรที่เปลี่ยนแปลงไป โดยการใช้เทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่ในการประกอบกิจการ อุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรแบบครบวงจรให้สามารถพัฒนาได้เต็มศักยภาพ ส่งผลให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจในภาพรวมของพื้นที่ ซึ่งมีโรงงานตามลำดับดังต่อไปนี้ 3.1 โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับน้ำมันจากพืชหรือสัตว์หรือไขมันจากสัตว์อย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ ลำดับที่ 7 (1) การสกัดน้ำมันจากพืชหรือสัตว์ หรือไขมันจากสัตว์ ลำดับที่ 7 (2) การอัดหรือป่นกากพืชหรือสัตว์ที่สกัดน้ำมันออกแล้ว ลำดับที่ 7 (3) การทำน้ำมันจากพืชหรือสัตว์ หรือไขมันจากสัตว์ให้แข็งโดยการเติมไฮโดรเจน ลำดับที่ 7 (4) การทำน้ำมันจากพืชหรือสัตว์ หรือไขมันจากสัตว์ให้บริสุทธิ์ ลำดับที่ 7 (5) การทำเนยเทียม ครีมเทียม หรือน้ำมันผสมสำหรับปรุงอาหาร 3.2 โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับเมล็ดพืชหรือหัวพืชอย่างหนึ่งอย่างใด ได้แก่ ลำดับที่ 9 (5) การผสมแป้งหรือเมล็ดพืช 3.3 โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับยาอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ ลำดับที่ 46 (1) การผลิตวัตถุที่รับรองไว้ในตำรายาที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศ ลำดับที่ 46 (2) การผลิตวัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้ในการวิเคราะห์ บำบัด บรรเทา รักษา หรือป้องกันโรค หรือความเจ็บป่วยของมนุษย์หรือสัตว์ 3.4 โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับสบู่ เครื่องสำอาง หรือสิ่งปรุงแต่งร่างกายอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ ลำดับที่ 47 (1) การทำสบู่ วัสดุสังเคราะห์สำหรับซักฟอก แชมพู ผลิตภัณฑ์สำหรับโกนหนวด หรือผลิตภัณฑ์สำหรับชำระล้างหรือขัดถู ลำดับที่ 47 (2) การทำกลีเซอรีนดิบหรือกลีเซอรีนบริสุทธิ์จากน้ำมันพืช สัตว์ หรือไขมันสัตว์ 3.5 โรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ ลำดับที่ 88 (1) การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ยกเว้นที่ติดตั้งบนหลังคา ดาดฟ้า หรือส่วนหนึ่งส่วนใดบนอาคารซึ่งบุคคลอาจเข้าอยู่หรือใช้สอยได้ โดยมีขนาดกำลังการผลิตติดตั้งสูงสุดรวมกันของแผงเซลล์แสงอาทิตย์ไม่เกิน 1,000 กิโลวัตต์ (เฉพาะให้ดำเนินการหรือประกอบกิจการได้เฉพาะที่ติดตั้งบนหลังคาโรงงานเท่านั้น) ลำดับที่ 88 (2) การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน (เฉพาะให้ดำเนินการหรือประกอบกิจการได้เฉพาะที่ไม่ใช้ถ่านหินหรือนิวเคลียร์เป็นเชื้อเพลิง) 3.6 โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการคัดแยกหรือฝังกลบสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่มีลักษณะและคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 (ลำดับที่ 105) 7. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ แขวงถนนนครไชยศรี แขวงวชิรพยาบาล แขวงดุสิต เขตดุสิต แขวงวัดสามพระยา แขวงบางขุนพรหม แขวงบ้านพานถม แขวงชนะสงคราม แขวงตลาดยอด แขวงบวรนิเวศ แขวงวังบูรพาภิรมย์ แขวงสำราญราษฎร์ เขตพระนคร แขวงวัดโสมนัส แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย แขวงสัมพันธวงศ์ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ แขวงวัดกัลยาณ์ แขวงหิรัญรูจี แขวงบางยี่เรือ แขวงบุคคโล แขวงสำเหร่ แขวงดาวคะนอง เขตธนบุรี แขวงสมเด็จเจ้าพระยา แขวงคลองสาน แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน แขวงบางค้อ แขวงจอมทอง แขวงบางมด เขตจอมทอง แขวงบางปะกอก แขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร และตำบลบางพึ่ง ตำบลบางครุ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน ในท้องที่แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ แขวงถนนนครไชยศรี แขวงวชิรพยาบาล แขวงดุสิต เขตดุสิต แขวงวัดสามพระยา แขวงบางขุนพรหม แขวงบ้านพานถม แขวงชนะสงคราม แขวงตลาดยอด แขวงบวรนิเวศ แขวงวังบูรพาภิรมย์ แขวงสำราญราษฎร์ เขตพระนคร แขวงวัดโสมนัส แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย แขวงสัมพันธวงศ์ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ แขวงวัดกัลยาณ์ แขวงหิรัญรูจี แขวงบางยี่เรือ แขวงบุคคโล แขวงสำเหร่ แขวงดาวคะนอง เขตธนบุรี แขวงสมเด็จเจ้าพระยา แขวงคลองสาน แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน แขวงบางค้อ แขวงจอมทอง แขวงบางมด เขตจอมทอง แขวงบางปะกอก แขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร และตำบลบางพึ่ง ตำบลบางครุ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีการวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ ดังนี้ (1) ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ แขวงถนนนครไชยศรี แขวงวชิรพยาบาล แขวงดุสิต เขตดุสิต แขวงวัดสามพระยา แขวงบางขุนพรหม แขวงบ้านพานถม แขวงชนะสงคราม แขวงตลาดยอด แขวงบวรนิเวศ แขวงวังบูรพาภิรมย์ แขวงสำราญราษฎร์ เขตพระนคร แขวงวัดโสมนัส แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย แขวงสัมพันธวงศ์ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ แขวงวัดกัลยาณ์ แขวงหิรัญรูจี แขวงบางยี่เรือ แขวงบุคคโล แขวงสำเหร่ แขวงดาวคะนอง เขตธนบุรี แขวงสมเด็จเจ้าพระยา แขวงคลองสาน แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน แขวงบางค้อ แขวงจอมทอง แขวงบางมด เขตจอมทอง แขวงบางปะกอก แขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร และตำบลบางพึ่ง ตำบลบางครุ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... (2) ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน ในท้องที่แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ แขวงถนนนครไชยศรี แขวงวชิรพยาบาล แขวงดุสิต เขตดุสิต แขวงวัดสามพระยา แขวงบางขุนพรหม แขวงบ้านพานถม แขวงชนะสงคราม แขวงตลาดยอด แขวงบวรนิเวศ แขวงวังบูรพาภิรมย์ แขวงสำราญราษฎร์ เขตพระนคร แขวงวัดโสมนัส แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบ ศัตรูพ่าย แขวงสัมพันธวงศ์ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ แขวงวัดกัลยาณ์ แขวงหิรัญรูจี แขวงบางยี่เรือ แขวงบุคคโล แขวงสำเหร่ แขวงดาวคะนอง เขตธนบุรี แขวงสมเด็จเจ้าพระยา แขวงคลองสาน แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน แขวงบางค้อ แขวงจอมทอง แขวงบางมด เขตจอมทอง แขวงบางปะกอก แขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร และตำบลบางพึ่ง ตำบลบางครุ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาโดยให้นำความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 1) ไปประกอบการพิจารณาด้วยแล้วดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย สาระสำคัญของเรื่อง 1. ร่างพระราชกฤษฎีกาทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวที่กระทรวงคมนาคมเสนอ เป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน และกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน ในท้องที่แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ แขวงถนนนครไชยศรี แขวงวชิรพยาบาล แขวงดุสิต เขตดุสิต แขวงวัดสามพระยา แขวงบางขุนพรหม แขวงบ้านพานถม แขวงชนะสงคราม แขวงตลาดยอด แขวงบวรนิเวศ แขวงวังบูรพาภิรมย์ แขวงสำราญราษฎร์ เขตพระนคร แขวงวัดโสมนัส แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย แขวงสัมพันธวงศ์ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ แขวงวัดกัลยาณ์ แขวงหิรัญรูจี แขวงบางยี่เรือ แขวงบุคคโล แขวงสำเหร่ แขวงดาวคะนอง เขตธนบุรี แขวงสมเด็จเจ้าพระยา แขวงคลองสาน แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน แขวงบางค้อ แขวงจอมทอง แขวงบางมด เขตจอมทอง แขวงบางปะกอก แขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร และตำบลบางพึ่ง ตำบลบางครุ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนและกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน มีกำหนดใช้บังคับ 4 ปี โดยให้เริ่มต้นเข้าสำรวจที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ภายในแนวเขตที่ดินที่จะเวนคืน ภายใน 180 วัน นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ (8 สิงหาคม 2567) และดำเนินกิจการรถไฟฟ้า ในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดสร้างโครงการขนส่งด้วยระบบรถไฟฟ้า สถานที่จอดรถสำหรับผู้โดยสาร และกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการรถไฟฟ้า และเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชนตามโครงการรถไฟฟ้า สายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ซึ่งเป็นการดำเนินการต่อเนื่องจากพระราชกฤษฎีกาฉบับเดิมที่สิ้นผลบังคับใช้ เนื่องจากโครงการนี้ดำเนินการในลักษณะออกแบบควบคู่การก่อสร้าง และการสำรวจรายละเอียดอสังหาริมทรัพย์ที่จะถูกเวนคืนและกำหนดภาระในอสังหาริมทรัพย์ยังไม่แล้วเสร็จ โดยกรมการปกครอง และสำนักการโยธา กรุงเทพมหานครได้ตรวจสอบแผนที่ท้ายร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้แล้ว ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2565 (เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับกรณีการตราร่างกฎหมายหรือร่าง อนุบัญญัติที่ต้องจัดให้มีแผนที่ท้าย) และสำนักงบประมาณแจ้งว่าร่างพระราชกฤษฎีกา ดังกล่าวยังดำเนินการภายใต้กรอบวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2560 (กรอบวงเงินรวม 15,913 ล้านบาท) 2. กระทรวงคมนาคมชี้แจงว่า ในการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) เป็นการดำเนินการในลักษณะออกแบบควบคู่การก่อสร้างซึ่งบางพื้นที่ยังมีการปรับแบบแนวเขตทาง และในปัจจุบันมีการปรับแบบ คือ บริเวณปล่องระบายอากาศ (IVSo4) พบฐานรากป้อมจักรเพชร ซึ่งมีข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ จึงมีความจำเป็นต้องย้ายจากตำแหน่งก่อสร้างเดิมและต้องปรับแนวอุโมงค์ทางวิ่งรถไฟฟ้าที่ต่อเนื่องตั้งแต่บริเวณสถานีสามยอด ลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงถนนพญาไม้ จึงต้องสำรวจที่ดินที่เคยถูกกำหนดลักษณะภาระในอสังหาริมทรัพย์อยู่เดิม เนื่องจากถูกกำหนดลักษณะภาระในอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นประมาณ 20 แปลง และสำรวจที่ดินแปลงใหม่ซึ่งถูกกำหนดลักษณะภาระในอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 9 แปลง ทั้งนี้ จากข้อมูลบริเวณที่มีการปรับแนวเขตทางดังกล่าว ข้อเท็จจริงของที่ดินเกี่ยวกับสภาพทำเล ที่ตั้ง ยังเป็นไปตามข้อเท็จจริงเดิมตามที่เป็นอยู่ในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน และพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชนในท้องที่เขตบางซื่อ เขตดุสิต เขตพระนคร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตสัมพันธวงศ์ เขตธนบุรี เขตคลองสาน เขตจอมทอง เขตราษฎร์บูรณะ เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร และอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. 2563 มีผลบังคับใช้ และเมื่อร่างพระราชกฤษฎีกาที่เสนอมีผลใช้บังคับแล้ว จะดำเนินการสำรวจและกำหนดค่าทดแทนที่ดินที่จะเว้นคืนและที่ดินที่จะกำหนดลักษณะภาระในอสังหาริมทรัพย์ให้เป็นไปตามที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดหาอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน พ.ศ. 2540 กำหนดไว้ต่อไป 3. กระทรวงคมนาคมได้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนแล้วและได้ดำเนินการตาม มาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังขอรัฐ พ.ศ. 2561 ด้วยแล้ว 8. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหารและการให้ได้รับเงินเดือน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหารและการให้ได้รับเงินเดือน (ฉบับที่ .) พ.ศ. ?. ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย สาระสำคัญของเรื่อง 1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหารฯ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหารและการให้ได้รับเงินเดือน พ.ศ. 2555 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดย 1) ปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุของข้าราชการทหารตามระดับคุณวุฒิการศึกษาในบัญชีท้ายร่างกฎกระทรวงโดยเทียบเคียงกับอัตราเงินเดือนสำหรับคุณวุฒิที่สำนักงาน ก.พ. รับรอง เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุของข้าราชการพลเรือนและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับการปรับขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 เช่น ผู้บรรจุซึ่งมีวุฒิการศึกษาปริญญาตรีที่มีหลักสูตรกำหนดเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า 4 ปี1 กรณีบรรจุก่อนวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ให้ได้รับเงินเดือนแรกบรรจุเริ่มต้น 16,550 บาท แต่ไม่เกิน 18,230 บาท ตามตาราง ณ 1 พฤษภาคม 2567 กรณีบรรจุหลังวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ให้ได้รับเงินเดือนแรกบรรจุเริ่มต้น 18,230 บาท แต่ไม่เกิน 20,040 บาท ตามตาราง ณ 1 พฤษภาคม 2568 แล้วแต่กรณี2 เป็นต้น ทั้งนี้ ให้ปรับอัตราเงินเดือนภายใน 2 ปี ได้แก่ (1) ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 ตามตารางอัตราเงินเดือน ณ 1 พฤษภาคม 2567 และ (2) ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป ตามตารางอัตราเงินเดือน ณ 1 พฤษภาคม 2568 2) ปรับบัญชีคุณวุฒิและอัตราเงินเดือนของบุคคลที่ได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหารโดยจัดเรียงลำดับบัญชีคุณวุฒิการศึกษาใหม่และจำแนกคุณวุฒิตามสถานศึกษาเป็นสถานศึกษาของกระทรวงกลาโหมและโรงเรียนทหารหรือวิทยาลัยการทหารในต่างประเทศ และสถานศึกษาภายในประเทศ รวมทั้งสิ้น 57 ลำดับ และ 3) แก้ไขเพิ่มเติมจัดเรียงเลขลำดับที่คุณวุฒิกรณีการบรรจุนายทหารหรือข้าราชการกลาโหมพลเรือนชั้นประทวนซึ่งเลื่อนฐานะเป็นชั้นสัญญาบัตรเนื่องจากมีคุณวุฒิการศึกษาตามที่กำหนด เช่น ผู้ที่สำเร็จการศึกษาได้รับปริญญาหรือประกาศนียบัตรเทียบได้ไม่ต่ำกว่าปริญญาจากสถาบันการศึกษาในต่างประเทศ ให้ได้รับเงินเดือนในระดับและชั้นตามคุณวุฒิลำดับที่ 54 (เดิมให้ใช้คุณวุฒิตามลำดับที่ 38) เป็นต้น ทั้งนี้ สำนักงาน ก.พ. ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุและการปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบแล้วและสภากลาโหมได้มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงดังกล่าวด้วยแล้ว 2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหารและการให้ได้รับเงินเดือน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีรายละเอียดสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ 2.1 ปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุของข้าราชการทหารตามระดับ คุณวุฒิการศึกษา โดยเทียบเคียงกับอัตราเงินเดือนสำหรับคุณวุฒิที่สำนักงาน ก.พ. รับรองเพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุข้าราชการพลเรือนสามัญ ทั้งนี้ ให้ปรับอัตราเงินเดือนภายใน 2 ปี ดังนี้ 2.1.1 ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 ตามตารางอัตราเงินเดือน ณ 1 พฤษภาคม 2567 2.1.2 ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป ตามตาราง อัตราเงินเดือน ณ 1 พฤษภาคม 2568 เช่น คุณวุฒิ (ตามบัญชีท้ายร่างกฎกระทรวง) ประเภท อัตราเงินเดือน ณ 1 ม.ค. 57 (เดิม) อัตราเงินเดือน ณ 1 พ.ค. 67 (ใหม่) อัตราเงินเดือน ณ 1 พ.ค. 67 (ใหม่) (1)3 เริ่มต้น (2)4 สูงสุด (1) เริ่มต้น (2) สูงสุด (1) เริ่มต้น (2) สูงสุด ลำดับที่ 39 (ใหม่) ปริญญาตรีที่มีหลักสูตรกำหนดเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า 4 ปี ต่อจากคุณวุฒิประกาศนียบัตรมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่าหรือปริญญาตรีที่มีหลักสูตรกำหนดเวลา นายทหาร สัญญาบัตร น.15 ชั้น 18 15,000 บาท น.1 ชั้น 20.5 16,550 บาท น.1 ชั้น 20.5 16,550 บาท น.1 ชั้น 23 18,230 บาท น.1 ชั้น 23 18,230 บาท น.1 ชั้น 25.5 20,040 บาท ศึกษาไม่น้อยกว่า 2 ปี (หลักสูตรต่อเนื่อง 2 ปี) ต่อจากวุฒิประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง หรืออนุปริญญาหรือเทียบเท่า หรือประกาศนียบัตรเปรียญธรรมประโยค 9 สำนักงาน กพ. ข้อ 21 (เทียบเคียง) 15,000บาท 16,500บาท 16,500บาท 18,150บาท 18,150บาท 19,970บาท ลำดับที่ 42 (ใหม่) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หรืออนุปริญญาหรือประกาศนียบัตรของส่วนราชการต่าง ๆ ที่มีหลักสูตรกำหนดระยะเวลาศึกษาไว้ไม่น้อยกว่า 3 ปี ต่อจากวุฒิประกาศนียบัตรมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือเทียบเท่า นายทหารประทวน ป.1 ชั้น 20.5 11,400 บาท ป.1 ชั้น 23 12,560 บาท ป.1 ชั้น 23 12,560 บาท ป.1 ชั้น 25.5 13,820 บาท ป.1 ชั้น 25.5 13,820 บาท ป.1 ชั้น 28.5 15,290 บาท สำนักงาน ก.พ. ข้อ 24 (เทียบเคียง) 11,500 บาท 12,650 บาท 12,650 บาท 13,920 บาท 13,920 บาท 15,320 บาท 2.2 ปรับบัญชีคุณวุฒิและอัตราเงินเดือนของบุคคลที่ได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหารโดยจัดเรียงลำดับบัญชีคุณวุฒิการศึกษาใหม่และจำแนกคุณวุฒิตามสถานศึกษาออกเป็น 2 ส่วน รวมทั้งสิ้น 57 ลำดับ ดังนี้ 2.2.1 สถานศึกษาของ กห. และโรงเรียนทหารหรือวิทยาลัย การทหารในต่างประเทศ (ลำดับที่ 1 - 18) 2.2.2 สถานศึกษาภายในประเทศ (ลำดับที่ 19 - 57) ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับบัญชีคุณวุฒิการศึกษาของข้าราชการพลเรือนสามัญตามที่สำนักงาน ก.พ. กำหนด (เดิม สถานศึกษาของ กห.ฯ และสถานศึกษาภายในประเทศถูกกำหนดรวมกันไว้ในบัญชีโดยไม่มีการจำแนก) 2. 3 แก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการได้รับเงินเดือนแรกบรรจุข้าราชการทหารกรณีการบรรจุนายทหารประทวนซึ่งเลื่อนฐานะ6 เป็นนายทหารสัญญาบัตรหรือข้าราชการกลาโหมพลเรือนต่ำกว่าชั้นสัญญาบัตรซึ่งเลื่อนฐานะเป็นข้าราชการกลาโหมพลเรือนชั้นสัญญาบัตรเนื่องจาก 2.3.1 ผู้นั้นสำเร็จการศึกษาภายในประเทศได้รับปริญญาหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพเทียบได้ไม่ต่ำกว่าปริญญา ให้ได้รับเงินเดือนโดยใช้คุณวุฒิตามลำดับสถานศึกษาภายในประเทศตามบัญชี 1 ท้ายร่างกฎกระทรวงนี้ เช่น ผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีที่มีหลักสูตรกำหนดเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า 4 ปี ต่อจากวุฒิมัธยมศึกษาตอนปลายให้ได้รับเงินเดือนโดยใช้คุณวุฒิตามลำดับที่ 39 เป็นต้น (เดิม ให้ใช้คุณวุฒิตามลำดับที่ 24 ถึงลำดับที่ 34) 2.3.2 ผู้นั้นได้รับอนุปริญญาหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพผดุงครรภ์อนามัยของกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ หรือสถาบันการศึกษาอื่น ที่ทางราชการรับรองซึ่งมีหลักสูตรกำหนดเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า 3 ปี 6 เดือนต่อจากชั้นสูงสุดของระดับมัธยมศึกษาตอนปลายตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการหรือเทียบเท่าตามที่กระทรวงกลาโหมรับรอง ให้ได้รับเงินเดือนตามคุณวุฒิลำดับที่ 17 ตามบัญชี 1 ท้ายร่างกฎกระทรวงนี้ (เดิม ให้ใช้คุณวุฒิตามลำดับที่ 35) 2.3.3 ผู้นั้นสำเร็จการศึกษาได้รับปริญญาหรือประกาศนียบัตรเทียบได้ไม่ต่ำกว่าปริญญาจากสถาบันการศึกษาในต่างประเทศ ให้ได้รับเงินเดือนโดยใช้คุณวุฒิตามลำดับที่ 54 ตามบัญชี 1 ท้ายร่างกฎกระทรวงนี้ (เดิม ให้ใช้คุณวุฒิตามลำดับที่ 38) ทั้งนี้ คุณวุฒิการศึกษายังมีคุณสมบัติและสาระสำคัญเป็นไปตามบัญชีท้ายกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหารและการให้ได้รับเงินเดือน พ.ศ. 2555 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยเป็นการจัดลำดับเลขใหม่เท่านั้น 2.4 ยกเลิกบัญชีท้ายกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหารและการให้ได้รับเงินเดือน พ.ศ. 2555 และที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยให้ใช้บัญชีท้ายร่างกฎกระทรวงฉบับนี้แทน 1ลำดับที่ 39 ตามบัญชีคุณวุฒิและอัตราเงินเดือนของบุคคลที่ได้การบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหาร บัญชี 1 2หากเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติตามปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติหน้าที่ราชการที่ กห. กำหนด เช่น มีความรู้ความสามารถด้านภาษาต่างประเทศ มีใบประกอบวิชาชีพ (ได้รับประกาศนียบัตรเนติบัณฑิตไทย) เป็นต้น ให้ได้รับเงินเดือนแรกบรรจุมากกว่าชั้นเริ่มต้นได้ แต่ไม่เกินชั้นสูงสุด 3กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหารและการให้ได้รับ เงินเดือน พ.ศ. 2555 ข้อ5 (1) บัญญัติให้บุคคลที่มีคุณวุฒิการศึกษาตรงตามบัญชีคุณวุฒิและอัตราเงินเดือนของบุคคลที่ได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหาร ท้ายกฎกระทรวงนี้ ให้ได้รับเงินเดือนตามตารางอัตราเงินเดือน (1) 4ข้อ5 (2) บัญญัติให้บุคคลที่มีคุณวุฒิการศึกษาตรงตามบัญชีคุณวุฒิและอัตราเงินเดือนของบุคคลที่ได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหาร ท้ายกฎกระทรวงนี้ และเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติตามปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติหน้าที่ราชการที่กระทรวงกลาโหมกำหนด ให้ได้รับเงินเดือนไม่เกินอัตราที่กำหนดตามตารางอัตราเงินเดือน (2) 5คือ ระดับ ตามบัญชีอัตราเงินเดือนข้าราชการทหาร ทหารกองประจำการ และนักเรียนในสังกัดกระทรวงกลาโหม 6การเลื่อนฐานะมี 2 วิธี ได้แก่ 1) สอบเลื่อนฐานะโดยมีคุณวุฒิการศึกษาตามที่กฎหมายกำหนด (ใช้คุณวุฒิ) และ 2) สอบฐานะโดยมีคุณสมบัติตามที่ กห. กำหนด (ไม่ใช้คุณวุฒิ) 9. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณมูลค่าของทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีการรับมรดก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณมูลค่าของทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีการรับมรดก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย สาระสำคัญของเรื่อง 1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณมูลค่าของทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีการรับมรดก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณมูลค่าของทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2559 โดยแก้ไขหลักเกณฑ์การคำนวณมูลค่าของทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีการรับมรดก*ในส่วนหุ้นของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยให้ถือมูลค่าหุ้นเท่ากับมูลค่าทางบัญชีในรอบระยะเวลาบัญชีก่อนรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้รับกรรมสิทธิ์ในหุ้นนั้น โดยไม่ต้องพิจารณามูลค่าทางบัญชีหรือราคาหุ้นของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลอื่นซึ่งไปถือหุ้น เนื่องจากการคำนวณมูลค่าหุ้นของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตามกฎกระทรวงดังกล่าวมีความซับซ้อน และก่อให้เกิดภาระเกินสมควรแก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีและเจ้าพนักงานประเมินในการคำนวณและการตรวจสอบการคำนวณมูลค่า โดยเฉพาะในกรณีที่ไปถือหุ้นในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลอื่นจำนวนมาก ซึ่งจะต้องเปรียบเทียบมูลค่าทางบัญชีของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นกับมูลค่าทางบัญชี หรือราคาหุ้นของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลอื่นรวมทุกแห่ง ประกอบกับอาจมีความซ้ำซ้อนในกรณีที่มูลค่าทางบัญชีของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลอื่นได้รวมอยู่ในสินทรัพย์ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งไปถือหุ้นอยู่แล้ว ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกและลดความซับซ้อนให้แก่ผู้ได้รับมรดกที่มีหน้าที่เสียภาษีการรับมรดกและเจ้าพนักงานประเมินในการคำนวณและตรวจสอบการคำนวณมูลค่าหุ้น รวมทั้งจะเป็นการดำเนินการให้สอดคล้องกับหลักภาษีอากรที่ดี 2. การออกร่างกฎกระทรวงดังกล่าวไม่มีการสูญเสียรายได้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงวิธีการคำนวณมูลค่าของทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีการรับมรดกมิใช่การยกเว้นหรือการลดภาษีอากร แม้ว่าอาจส่งผลในกรณีที่เปรียบเทียบมูลค่าทางบัญชีหรือราคาหุ้นของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลอื่นซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีรับหุ้นไปถือหุ้นสูงกว่ามูลค่าทางบัญชีของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตนได้รับหุ้น แต่เมื่อพิจารณาสัดส่วนผลการจัดเก็บภาษีการรับมรดกในปีงบประมาณ พ.ศ. 2559-2565 พบว่ามีสัดส่วนเฉลี่ยร้อยละ 0.01 ของผลการจัดเก็บภาษีรวมของกรมสรรพากร การเปลี่ยนแปลงวิธีการคำนวณมูลค่าของทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีการรับมรดกไม่ได้ส่งผลต่อการจัดเก็บภาษีอย่างมีนัยสำคัญ แต่ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมีประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ดังนี้ (1) ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมีภาระการปฏิบัติหน้าที่ทางภาษีลดลงโดยไม่มีภาระเกินสมควร (2) การคำนวณมูลค่าของทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีการรับมรดกมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนและสามารถปฏิบัติตามได้ง่าย (3) เจ้าพนักงานประเมินสามารถตรวจสอบการคำนวณภาษีได้อย่างรวดเร็วขึ้นและอยู่ภายในกำหนดเวลา อันทำให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีทราบอย่างรวดเร็วขึ้นด้วยว่าคำนวณภาษีถูกต้องหรือไม่ (4) ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมีความสมัครใจในการเสียภาษีเพิ่มขึ้น *อัตราการเสียภาษีมรดก : หากได้รับมรดกจากเจ้ามรดกหนึ่งคน มูลค่าไม่เกิน 100 ล้านบาท ไม่ต้องเสียภาษี แต่หากมูลค่าทรัพย์มรดกที่ได้รับจากเจ้ามรดกหนึ่งคนมีมูลค่าเกิน 100 ล้านบาท ผู้รับมรดกจะต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 5 กรณีผู้รับมรดกเป็นบุพการีหรือผู้สืบสันดาน และร้อยละ 10 กรณีผู้รับเป็นผู้อื่น 10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยเครื่องแบบและการแต่งกายลูกเสือ พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยเครื่องแบบและการแต่งกายลูกเสือ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้ง ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย สาระสำคัญของเรื่อง 1. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยเครื่องแบบและการแต่งกายลูกเสือ พ.ศ. .... เป็นการปรับปรุงเครื่องแบบให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและกิจการลูกเสือในปัจจุบัน รวมถึงสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนและผู้ใช้งานที่มีการปฏิบัติกิจกรรมกลางแจ้ง โดยกำหนดประเภทเครื่องแบบลูกเสือให้เหมาะสมกับรูปแบบกิจกรรมลูกเสือและการใช้งานของผู้เรียนโดยแบ่งประเภทเครื่องแบบลูกเสือออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ เครื่องแบบปกติ เครื่องแบบปฏิบัติการ และเครื่องแบบลำลอง (จัดกลุ่มประเภทเครื่องแบบใหม่และเพิ่มประเภทเครื่องแบบลูกเสือ แบบปฏิบัติการเพื่อเป็นทางเลือกสำหรับเข้าร่วมพิธีการ* หรือเข้าร่วมกิจกรรมลูกเสือ เช่น แต่งกายเครื่องแบบปฏิบัติการแทนเครื่องแบบปกติ สำหรับการฝึกอบรมหรืออยู่ค่ายพักแรมของกิจกรรมค่ายลูกเสือหรือชุมนุมลูกเสือเพื่อความทะมัดทะแมงและคล่องตัว) กำหนดนิยามของเครื่องแบบซึ่งเดิมไม่ได้มีการกำหนดไว้ในกฎกระทรวง เช่น เครื่องแบบปกติ เครื่องแบบปฏิบัติการ เครื่องแบบลำลอง และกำหนดส่วนประกอบหลักของเครื่องแบบลูกเสือแต่ละประเภท เช่น หมวก เสื้อ กางเกง ผ้าผูกคอ (ส่วนรายละเอียดและลักษณะของเครื่องแบบ รวมทั้งลักษณะของเครื่องหมายประกอบเครื่องแบบให้นำไปกำหนดไว้ในระเบียบที่สำนักงานลูกเสือแห่งชาติกำหนด) นอกจากนี้ กำหนดให้สำนักงานลูกเสือแห่งชาติมีหน้าที่จัดทำเครื่องแบบ เครื่องหมายประกอบเครื่องแบบ และการแต่งกายตามร่างกฎกระทรวงนี้ขึ้นไว้เป็นตัวอย่าง (เหมือนกฎกระทรวงเดิม) ทั้งนี้ ในระหว่างที่สำนักงานลูกเสือแห่งชาติยังมิได้ประกาศกำหนดรายละเอียดและลักษณะของเครื่องแบบ และลักษณะของเครื่องหมายประกอบเครื่องแบบนั้น ให้เครื่องแบบและเครื่องหมายประกอบเครื่องแบบลูกเสือตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2510) และที่แก้ไขเพิ่มเติม ออกตามความในพระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ. 2507 ใช้บังคับต่อไปได้จนถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2571 เพื่อให้สอดคล้องกับแผนงานการออกระเบียบสำนักงานลูกเสือแห่งชาติเพื่อกำหนดรายละเอียดและลักษณะของเครื่องแบบลูกเสือ รวมทั้งเพื่อให้ผู้เรียน ผู้ปกครอง และร้านค้ามีระยะเวลาในการเตรียมความพร้อมสำหรับการจัดการเครื่องแบบลูกเสือตามระเบียบดังกล่าว เศรษฐกิจ-สังคม 11. เรื่อง การแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรด้วยการจำหน่ายหนี้เป็นสูญโครงการส่งเสริมหรือสงเคราะห์ ของรัฐ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติจำหน่ายหนี้เป็นสูญของโครงการส่งเสริมหรือสงเคราะห์ของรัฐ จำนวน 3 โครงการ เป็นเงินรวม 27.83 ล้านบาท ของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ได้แก่ โครงการ จำนวน (ราย) วงเงิน (ลบ.) (1) โครงการเลี้ยงวัวกลุ่มโล๊ะไม้อ้อในพื้นที่นิคมเศรษฐกิจพอเพียง อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ (โครงการเลี้ยงวัวกลุ่มโล๊ะไม้อ้อฯ) 41 2.01 (2) โครงการส่งเสริมการปลูกชาจีนในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดเชียงราย (โครงการส่งเสริมการปลูกชาจีนฯ) 168 8.52 (3) โครงการความร่วมมือไตรภาคี (ปลูกไผ่กิมซุ่ง) จังหวัดกาญจนบุรี [โครงการความร่วมมือไตรภาคี (ปลูกไผ่กิมซุ่ง)ฯ] 283 17.30 รวม 492 27.83 โดยไม่ขอรับเงินชดเชยจากรัฐบาลภายใต้โครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรด้วยการจำหน่ายหนี้เป็นสูญในกองทุนหรือเงินทุนในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) (โครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรฯ) สาเหตุการจำหน่ายหนี้เป็นสูญเป็นไปตามหลักเกณฑ์ข้อ (1) กรณีโครงการส่งเสริมหรือสงเคราะห์ของรัฐที่ไม่ประสบความสำเร็จ (ตามข้อ 1) ตามที่ กษ. เสนอ สาระสำคัญของเรื่อง 1. คณะรัฐมนตรีมีมติ (31 มีนาคม 2558) อนุมัติโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรฯ โดยโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินให้เกษตรกรที่ได้รับสินเชื่อจากแหล่งเงินในกำกับดูแลของ กษ. ไปแล้ว แต่ยังไม่สามารถดำเนินโครงการได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ส่งผลให้ความสามารถในการชำระหนี้ต่ำและมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหากภาครัฐในฐานะเจ้าหนี้พิจารณาแล้วมิได้มุ่งแสวงหากำไรหรือผลประโยชน์เป็นตัวเงินในการให้สินเชื่อดังกล่าวอีกต่อไป ก็จะพิจารณาจำหน่ายหนี้เป็นสูญ โดยแบ่งสาเหตุและกำหนดหลักเกณฑ์ในการจำหน่ายหนี้เป็นสูญออกเป็น 10 สาเหตุ โดยสาเหตุการจำหน่ายหนี้เป็นสูญกรณีที่ 1 คือ เป็นโครงการส่งเสริมหรือสงเคราะห์ของรัฐที่ไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งมิใช่ความผิดของเกษตรกรหรือองค์กรเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการ และมีวิธีการพิจารณา คือ จะต้องมีการสำรวจ ประเมินผล หรือการวิเคราะห์โครงการที่แสดงว่ากิจกรรม ที่ส่งเสริมตามโครงการมีข้อบกพร่องอันเนื่องมาจากความไม่เหมาะสมด้านเทคนิควิชาการ ด้านบริหารจัดการ ด้านการตลาด หรือด้านการเงินของหน่วยงานเจ้าของโครงการเพื่อยืนยันว่าเป็นโครงการที่ไม่ประสบความสำเร็จ 2. ในครั้งนี้ กค. นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติจำหน่ายหนี้เป็นสูญของโครงการส่งเสริมหรือสงเคราะห์ของรัฐ จำนวน 3 โครงการ คือ (1) โครงการเลี้ยงวัวกลุ่มโล๊ะไม้อ้อในพื้นที่นิคมเศรษฐกิจพอเพียง อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ (โครงการเลี้ยงวัวกลุ่มโล๊ะไม้อ้อฯ) (2) โครงการส่งเสริมการปลูกชาจีนในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดเชียงราย (โครงการส่งเสริมการปลูกชาจีนฯ) (3) โครงการความร่วมมือไตรภาคี (ปลูกไผ่กิมซุ่ง) จังหวัดกาญจนบุรี [โครงการความร่วมมือไตรภาคี (ปลูกไผ่กิมซุ่ง)ฯ] ในกองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม วงเงินรวม 27.83 ล้านบาทของ ส.ป.ก. โดยไม่ขอรับเงินชดเชยจากรัฐบาลภายใต้โครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรฯ ตามหลักเกณฑ์ในการจำหน่ายหนี้เป็นสูญ กรณีโครงการส่งเสริมหรือสงเคราะห์ของรัฐ ที่ไม่ประสบความสำเร็จตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2558 (ตามข้อ 1) เนื่องจากเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการประสบปัญหาเกี่ยวกับพื้นที่ดำเนินโครงการไม่มีความเหมาะสม อาทิ อยู่ห่างไกลเป็นปัญหาต่อการเดินทาง อยู่กระจัดกระจายและอยู่ห่างไกลจากจุดรับซื้อ พื้นที่ขาดน้ำในฤดูแล้ง ทำให้ได้ผลผลิตไม่มีคุณภาพ ฯลฯ ทำให้การดำเนินโครงการไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้คณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสหกรณ์และคณะกรรมการบริหารสินเชื่อแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้จำหน่ายหนี้เป็นสูญทั้ง 3 โครงการดังกล่าว โดยไม่ขอรับเงินชดเชยจากรัฐบาลด้วยแล้ว ประกอบกับ กษ. กระทรวงมหาดไทย (มท.) สำนักงบประมาณ (สงป.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นด้วย/เห็นชอบในหลักการตามที่ กค. เสนอ 12. เรื่อง รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย ประจำเดือนมกราคม 2568 คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย ประจำเดือนมกราคม 2568 ตามที่กระทรวงพาณิชย์ เสนอ. สาระสำคัญ 1. สรุปสถานการณ์การส่งออกของไทย ประจำเดือนมกราคม 2568 การส่งออกของไทยในเดือนมกราคม 2568 มีมูลค่า 25,277.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (862,369 ล้านบาท) ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ที่ร้อยละ 13.6 หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวที่ร้อยละ 11.4 โดยได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง อัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวกลับสู่กรอบเป้าหมาย และการขยายตัวของกิจกรรมภาคการผลิต ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้ถึงร้อยละ 3.3 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นทั้งในภาคการผลิตและผู้บริโภค นอกจากนี้ การส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐฯและจีนขยายตัวในระดับสูง ส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าทุนและวัตถุดิบของไทย ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจสร้างแรงกดดันต่อการค้าโลก มูลค่าการค้ารวม มูลค่าการค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนมกราคม 2568 มีมูลค่าการค้ารวม 52,434.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 10.5 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออก มีมูลค่า 25,277.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 13.6 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 27,157.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 7.9 ดุลการค้า ขาดดุล 1,880.2 ล้านดอลลาร์ มูลค่าการค้าในรูปเงินบาท เดือนมกราคม 2568 มีมูลค่าการค้ารวม 1,800,479 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 8.9 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออก มีมูลค่า 862,367 ล้านบาท ขยายตัว ร้อยละ 11.8 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 938,112 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 6.3 ดุลการค้า ขาดดุล 75,746 ล้านบาท การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 0.1 (YoY) ขยายตัวต่อเนื่อง 7 เดือน โดยสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 3.0 ในขณะที่สินค้าเกษตร หดตัวร้อยละ 2.2 โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ยางพารา ขยายตัวร้อยละ 45.5 (ขยายตัวในตลาดจีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ มาเลเซีย และเกาหลีใต้) ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 12.3 (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร จีน เนเธอร์แลนด์ และสิงคโปร์) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 11.8 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อียิปต์ และซาอุดีอาระเบีย) อาหารสัตว์เลี้ยง ขยายตัวร้อยละ 13.0 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯออสเตรเลีย เยอรมนี เวียดนาม และไต้หวัน) ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ ขยายตัวร้อยละ 19.5 (ขยายตัวในตลาดจีน สหรัฐฯ เมียนมา ออสเตรเลีย และลาว) ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 13.4 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี รัสเซีย และมาเลเซีย) ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ ข้าว หดตัวร้อยละ 32.4 (หดตัวในตลาดแคนาดา มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เยเมน และจีน) ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง หดตัวร้อยละ 11.0 (หดตัวในตลาดจีน มาเลเซีย สหรัฐฯ เกาหลีใต้ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง หดตัวร้อยละ 7.9 (หดตัวในตลาดญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ไต้หวัน มาเลเซีย และฟิลิปปินส์) เครื่องดื่ม หดตัวร้อยละ 16.0 (หดตัวในตลาดกัมพูชา เมียนมา เวียดนาม มาเลเซีย และจีน) ผักกระป๋องและแปรรูป หดตัวร้อยละ 13.3 (หดตัวในตลาดญี่ปุ่น สหรัฐฯ เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และไต้หวัน) การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 17.0 (YoY) ขยายต่อเนื่อง 10 เดือน โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 45.0 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และญี่ปุ่น) อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัวร้อยละ 148.8 (ขยายตัวในตลาดอินเดีย สหรัฐฯ อิตาลี กาตาร์ และสหราชอาณาจักร) ผลิตภัณฑ์ยาง ขยายตัวร้อย 19.9 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และอินเดีย) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ28.1 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย อินเดีย และเบลเยียม) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบขยายตัวร้อยละ 33.2 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เวียดนาม อินเดีย อิตาลี และตุรกี) ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 16.5 (หดตัวในตลาดออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น มาเลเซียและอินโดนีเซีย) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ หดตัวร้อยละ 18.6 (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย) เครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 16.8 (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ เมียนมา จีน และฮ่องกง) เครื่องสำอาง สบู่และผลิตภัณฑ์รักษาผิว หดตัวร้อยละ 18.3 (หดตัวในตลาดญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ จีน มาเลเซีย และออสเตรเลีย) อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์และไดโอด หดตัวร้อยละ38.2 (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ฮ่องกง จีน เกาหลีใต้ และไต้หวัน) ตลาดส่งออกสำคัญ การส่งออกไปตลาดสำคัญส่วนใหญ่ขยายตัว สอดคล้องกับสับสัญญาณการฟื้นตัว ของภาคการผลิตโลก ตามความต้องการนำเข้าที่เร่งตัวขึ้น ท่ามกลางความกังวลต่อความเสี่ยงของนโยบายกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐฯ และจีน ทั้งนี้ ภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่าง ๆ สรุปได้ ดังนี้ (1) ตลาดหลัก ขยายตัวร้อยละ 11.2 โดยขยายตัวทุกตลาด ได้แก่ สหรัฐฯ ร้อยละ 22.4 จีน ร้อยละ 13.2 ญี่ปุ่น ร้อยละ 1.9 สหภาพยุโรป (27) ร้อยละ 13.8 อาเซียน (5) ร้อยละ 4.8 และ CLMV ร้อยละ 5.2 (2) ตลาดรอง ขยายตัวร้อยละ 10.3 โดยขยายตัวในตลาดเอเชียใต้ ร้อยละ 111.5 แอฟริกา ร้อยละ 13.9 ลาติน อเมริกา ร้อยละ 21.6 และสหราชอาณาจักร ร้อยละ 9.8 แต่หดตัวในตลาดทวีปออสเตรเลีย ร้อยละ 26.9 ตะวันออกกลาง ร้อยละ 2.1และรัสเซียและกลุ่ม CIS ร้อยละ 5.7 (3) ตลาดอื่น ๆ ขยายตัวร้อยละ 472.8 แนวโน้มการส่งออกระยะต่อไป กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ว่าจะมีอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 2-3 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลายประการ ได้แก่ แนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะเติบโตตามการขยายตัวของภาคการผลิตสถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครนและตะวันออกกลางที่เริ่มคลี่คลาย ดัชนีราคาอาหารโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งสะท้อนความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารที่เพิ่มขึ้น รวมถึงโอกาสการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการทดแทนสินค้านำเข้าจากจีน อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยท้าทายที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อาทิ สถานการณ์การค้าโลกที่ยังคงตึงเครียด ความเสี่ยงของการเกิดวิกฤตเงินเฟ้อรอบใหม่ในสหรัฐฯ ผลกระทบจากมาตรการจำกัดการส่งออกน้ำมันของรัสเซียที่อาจส่งผลต่อราคาพลังงานและค่าระวางเรือ ตลอดจนผลกระทบจากมาตรการทางการค้าต่าง ๆ เช่น การปรับขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และการทะลักเข้ามาของสินค้าจีน ด้วยเหตุนี้ประเทศไทยจำเป็นต้องรักษาสมดุลทางการค้า กระจายความเสี่ยงด้านตลาด และกำหนดมาตรการที่เหมาะสม เพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น พร้อมทั้งแสวงหาโอกาสเพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดจากสถานการณ์ที่ท้าทาย 13. เรื่อง แผนการอุดหนุนทางการเงินและให้ความช่วยเหลือด้านอื่นให้แก่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม และโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษาในโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569-2572 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแผนการอุดหนุนทางการเงินและให้ความช่วยเหลือด้านอื่น (แผนการอุดหนุนทางการเงินฯ) ให้แก่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม และโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษาในโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามและโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษาในโครงการพระราชดำริฯ) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569-2572 จำนวน 20 โรงเรียน กรอบวงเงินทั้งสิ้น 133.87 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 58.42 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2570 จำนวน 24.60 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2571 จำนวน 35.63 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2572 จำนวน 15.22 ล้านบาท สาระสำคัญของเรื่อง ศธ. รายงานว่า เนื่องจากการดำเนินโครงการส่งเสริมการพัฒนาโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในโครงการตามพระราชดำริฯ แผนระยะ 5 ปี (ปึงประมาณ พ.ศ. 2563-2567) ได้สิ้นสุดเมื่อปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 แต่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในโครงการตามพระราชดำริฯ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) จำนวน 19 โรงเรียน ยังมีความจำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนการพัฒนาด้านอาคารเรียนอาคารประกอบ ครุภัณฑ์ สื่ออุปกรณ์การเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับ โรงเรียนอนุกูลวิทยา (วัดดอนแก้ว) จังหวัดตาก (โรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษา) เป็นโรงเรียนในโครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตั้งแต่ปี 2550 แต่ยังไม่เคยได้รับการอุดหนุนทางการเงินและการให้ความช่วยเหลือด้านอื่น คณะทำงานบริหารโครงการฯ จึงได้สำรวจความต้องการขอรับการสนับสนุนการพัฒนาด้านอาคารเรียน อาคารประกอบ ครุภัณฑ์ สื่ออุปกรณ์การเรียนการสอนของโรงเรียนอนุกูลวิทยา (วัดดอนแก้ว) และได้จัดทำแผนการอุดหนุนทางการเงินและให้ความช่วยเหลือด้านอื่นให้แก่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามและโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษาในโครงการตามพระราชดำริฯ รวมทั้งสิ้น 20 โรงเรียน ซึ่งคณะทำงานบริหารโครงการฯ มีมติเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 เห็นชอบแผนอุดหนุนทางการเงินฯ ให้แก่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามและโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษาในโครงการตามพระราชดำริฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2596-2572 จำนวน 20 โรงเรียน กรอบวงเงิน 133.87 ล้านบาท ประโยชน์ที่จะได้รับจากแผนการอุดหนุนทางการเงินข้างต้น โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามและโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษาในโครงการตามพระราชดำริฯ สามารถใช้ประโยชน์จากอาคารเรียน อาคารประกอบ ครุภัณฑ์ สื่ออุปกรณ์การเรียนการสอนเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้นักเรียนได้รับการพัฒนาความรู้อย่างมีคุณภาพ 14. เรื่อง ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาด้วยการให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาแก่นักเรียน/นักศึกษา คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 2,838.6492 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาด้วยการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาแก่นักเรียนหรือนักศึกษาของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ซึ่งสำนักงบประมาณแจ้งว่า นายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้ กยศ. ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน 2,838.6492 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา โดยเป็นค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพระหว่างการศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 (เริ่มดำเนินการให้กู้ยืมตั้งแต่เดือนเมษายน 2568) และให้ กยศ. เร่งดำเนินนโยบายในการกระตุ้นการชำระหนี้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ตามขั้นตอนทางกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติ เพื่อให้มีเงินเพียงพอ ต่อการดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 15. เรื่อง ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณแยกเกียกกาย ช่วงที่ 3 ก่อสร้างทางยกระดับและถนนฝั่งพระนคร จากแม่น้ำเจ้าพระยาถึงแยกสะพานแดง คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณแยกเกียกกาย ช่วงที่ 3 ก่อสร้างทางยกระดับและถนนฝั่งพระนคร จากแม่น้ำเจ้าพระยาถึงแยกสะพานแดง (โครงการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแยกเกียกกาย ช่วงที่ 3) ในวงเงิน 875.50 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นสัดส่วนเงิน ดังนี้ แหล่งงบประมาณ วงเงินงบประมาณ (ล้านบาท) สัดส่วน (ร้อยละ) 1) เงินอุดหนุนของรัฐบาล 437.75 50 2) งบประมาณกรุงเทพมหานคร (กทม.) 437.75 50 รวมทั้งสิ้น 875.50 100 โดยในส่วนเงินอุดหนุนของรัฐบาล จำนวน 437.75 ล้านบาท จะดำเนินการโอนเงินจัดสรร งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยมีรายละเอียดดังนี้ แผนงานยุทธศาสตร์ส่งเสริมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผลผลิตการจัดบริการสาธารณะ งบเงินอุดหนุน เงินอุดหนุนทั่วไป รายการ เดิม ใหม่ เงินอุดหนุนสำหรับชดเชยรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จำนวน 49 ล้านบาท โครงการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแยกเกียกกาย ช่วงที่ 3 จำนวน 49 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจำนวน 388.75 ล้านบาท จะขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ? 2570 ต่อไป สาระสำคัญของเรื่อง เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติ (2 กรกฎาคม 2556) รับทราบแผนแม่บทสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตกรุงเทพมหานคร (กทม.) และปริมณฑล โดยโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณแยกเกียกกายของ กทม. (โครงการก่อสร้างฯ) เป็นโครงการที่ควรดำเนินงานโดยเร่งด่วนเนื่องจากมีความพร้อมมากที่สุด โดยปัจจุบัน กทม. ได้กำหนดให้มีการก่อสร้างฯ รวม 3 ช่วง โดยมีรายละเอียดสรุป ดังนี้ ช่วง การก่อสร้าง อนุมัติให้ดำเนินการโดย วงเงิน (ล้านบาท) ระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ระยะเวลาตามสัญญา ความ คืบหน้า 1 ทางยกระดับและ ถนนในฝั่งธนบุรี (สะพานด้านถนนจรัญสนิทวงศ์) กทม. ดำเนินการเอง (ใช้งบประมาณ กทม. ทั้งหมด) 770.00 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 - 2568 พ.ย. 2566 ? พ.ย.2568 ร้อยละ 11 2 สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา รวมทาง ขึ้น ? ลง (สะพานช่วงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา) คณะรัฐมนตรีมีมติ (3 มีนาคม 2563) เห็นชอบ การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ (เงินอุดหนุนจากรัฐบาลและงบประมาณ กทม. อย่างละครึ่ง) 1,350.00 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ? 2566 ต่อมา กทม. ขยายเวลาถึงปี พ.ศ. 2569 มิ.ย. 2565 - ต.ค. 2568 ร้อยละ 33.7 3 ทางยกระดับและถนนฝั่งพระนครจากแม่น้ำเจ้าพระยาถึงแยกสะพานแดง (สะพานด้านรัฐสภา) ข้อเสนอในครั้งนี้ (เงินอุดหนุนจากรัฐบาล และงบประมาณ กทม. อย่างละครึ่ง) 875.50 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 - 2570 คาดว่า มิ.ย. 2568 - 2570 ยังไม่เริ่มดำเนินการ วงเงินรวม 2,995.50 กทม. แจ้งว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในปี 2570 โดยในครั้งนี้กระทรวงมหาดไทย (มท.) ขออนุมัติการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการก่อสร้างฯ ช่วงที่ 3 ในวงเงิน 875.50 ล้านบาท (แบ่งเป็นเงินอุดหนุนจากรัฐบาล 437.75 ล้านบาท และงบประมาณของ กทม. 437.75 ล้านบาท) โดย กทม. จะโอนเงินจัดสรรประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 49 ล้านบาท มาเพื่อดำเนินการในปี 2568 และส่วนที่เหลือจำนวน 388.75 ล้านบาท กทม. จะดำเนินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ? 2570 ต่อไป ทั้งนี้ สำนักงบประมาณได้เห็นชอบแนวทางการดำเนินการข้างต้นด้วยแล้ว 16. เรื่อง การขอแก้ไขหลักเกณฑ์แนวทางการดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์แนวทางการดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนกำลังพลตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เสนอ ดังนี้ 1. เพิ่มรอบการดำเนินโครงการ รอบ 1 เมษายน โดยมีผลในการลาออกจากราชการตามโครงการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนด้วย นอกเหนือจากรอบ 1 ตุลาคม ของแต่ละปีเฉพาะกรณีผู้มียศพลตำรวจตรีหรือพลตำรวจโท 2. ต้องมีระยะเวลาครองยศพลตำรวจตรีหรือพลตำรวจโทมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 6 เดือน นับถึงวันที่ 31 มีนาคม ของปีงบประมาณที่ลาออก (สำหรับรอบ 1 เมษายน) หรือครองยศพลตำรวจตรีหรือ พลตำรวจโทมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน นับถึงวันที่ 30 กันยายนของปีงบประมาณที่ลาออก (สำหรับรอบ 1 ตุลาคม) ทั้งนี้ หากเป็นการได้รับการแต่งตั้งยศพลตำรวจตรีหรือพลตำรวจโท ในการแต่งตั้งตามวาระประจำปี ให้เริ่มนับเวลาการครองยศนี้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ของวาระประจำปีนั้น 3. มีเวลาราชการเหลืออยู่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน นับแต่วันที่ 1 เมษายน หรือ 1 ตุลาคม แล้วแต่กรณี 4. สำหรับคุณสมบัติและเงื่อนไขอื่น ๆ ตลอดจนสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องที่จะพึงได้รับตามโครงการ ให้เป็นไปตามแนวทางเดิม สาระสำคัญของเรื่อง 1. ตร. ได้ดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนกำลังพลมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2543 จนถึงปัจจุบันมาแล้วกว่า 25 รุ่น โดยโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยนหมุนเวียนกำลังพลให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น (ไม่มีการยุบเลิกตำแหน่ง) และเป็นมาตรการหนึ่งในการบำรุงเสริมสร้างขวัญกำลังใจและแรงจูงใจในการปฏิบัติงานรวมทั้งเป็นการประหยัดงบประมาณของรัฐด้วย ทั้งนี้ ในระยะที่ผ่านมา ผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กำหนดซึ่งสมัครใจเข้าร่วมและได้รับอนุญาตให้ลาออกจากราชการตามโครงการปรับเปลี่ยนกำลังพล จะมีผลในการลาออกตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ของปีงบประมาณที่ดำเนินการและจะได้รับสิทธิประโยชน์ตอบแทนเป็นพิเศษ เช่น การได้รับการเสนอขอพระราชทานยศ/เลื่อนยศ สูงขึ้น 1 ชั้นยศ เป็นกรณีพิเศษ การได้รับใบประกาศเกียรติคุณทำนองเดียวกับผู้เกษียณอายุราชการ 2. เพื่อให้การดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนกำลังพลสามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการมากยิ่งขึ้น ตร. จึงได้ปรับปรุงเพิ่มเติมหลักเกณฑ์แนวทางการดำเนินโครงการใหม่ และในคราวประชุม ก.ตร. ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมดังกล่าว ได้มีมติเห็นชอบการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์แนวทางดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนกำลังพล ตามที่ ตร. เสนอ ดังนี้ 2.1 เพิ่มรอบการดำเนินโครงการ รอบ 1 เมษายน โดยมีผลในการลาออกจากราชการตามโครงการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนด้วย นอกเหนือจากรอบ 1 ตุลาคม ของแต่ละปี เฉพาะกรณีผู้มียศพลตำรวจตรีหรือพลตำรวจโท 2.2 ต้องมีระยะเวลาครองยศพลตำรวจตรีหรือพลตำรวจโทมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 6 เดือน นับถึงวันที่ 31 มีนาคม ของปีงบประมาณที่ลาออก (สำหรับรอบ 1 เมษายน) หรือครองยศพลตำรวจตรีหรือพลตำรวจโทมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน นับถึงวันที่ 30 กันยายนของปีงบประมาณที่ลาออก (สำหรับรอบ 1 ตุลาคม) ทั้งนี้ หากเป็นการได้รับการแต่งตั้งยศพลตำรวจตรีหรือพลตำรวจโท ในการแต่งตั้งตามวาระประจำปี ให้เริ่มนับเวลาการครองยศนี้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ของวาระประจำปีนั้น 2.3 มีเวลาราชการเหลืออยู่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน นับแต่วันที่ 1 เมษายน หรือ 1 ตุลาคม แล้วแต่กรณี 2.4 สำหรับคุณสมบัติและเงื่อนไขอื่น ๆ ตลอดจนสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องที่จะพึงได้รับตามโครงการ ให้เป็นไปตามแนวทางเดิม ทั้งนี้ สามารถสรุปเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์แนวทางการดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนกำลังพลได้ ดังนี้ หลักเกณฑ์ หลักเกณฑ์เดิม หลักเกณฑ์ที่แก้ไขใหม่ (ข้อเสนอในครั้งนี้) เหตุผลการแก้ไข 1. รอบการดำเนินโครงการ มี 1 รอบ ได้แก่ 1 ตุลาคม มี 2 รอบ ได้แก่ - 1 เมษายน - 1 ตุลาคม เพิ่มรอบดำเนินการ 1 เมษายน เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้จะเข้าร่วมโครงการพิจารณาเข้าร่วมโครงการ 2. คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ รอบ 1 ตุลาคม ทุกระดับชั้นยศ 1) รอบ 1 เมษายน เฉพาะระดับ ชั้นยศ พลตำรวจตรี - พลตำรวจโท 2) รอบ 1 ตุลาคม ทุกระดับชั้นยศ เหตุที่ปรับเปลี่ยนเฉพาะกลุ่มชั้นยศ นายพลนั้น เนื่องจากเป็นข้าราชการตำรวจในกลุ่มผู้บริหารระดับสูงของ ตร. ซึ่งนับได้ว่าเป็นผู้ที่ได้อุทิศตน เสียสละในการปฏิบัติราชการตามหน้าที่อย่างเต็มความรู้ ความสามารถเพื่อองค์กรมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน จึงสมควรที่จะตอบแทนคุณงามความดีเป็นพิเศษ เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจและแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อองค์กรให้มากยิ่งขึ้น 3. ระยะเวลาการครองยศพลตำรวจตรี หรือพลตำรวจโท ครองยศมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 เดือน (นับถึงวันที่ 30 กันยายน) ครองยศมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน โดยนับถึงวันที่ 31 มีนาคม หรือวันที่ 30 กันยายน แล้วแต่กรณี (การแต่งตั้งตามวาระประจำปีให้เริ่มนับเวลาการครองยศตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม) - เพื่อให้ระยะเวลาการครองยศสอดคล้องกับการเพิ่มรอบดำเนินการ 1 เมษายน - เพื่อคงสิทธิให้กับผู้เข้าร่วมโครงการ กรณีที่การแต่งตั้งวาระประจำปีล่าช้า 4. เวลาราชการที่เหลืออยู่ ไม่น้อยกว่า 1 ปี ไม่น้อยกว่า 6 เดือน เพื่อให้ระยะเวลาราชการที่เหลือสอดคล้องกับการเพิ่มรอบดำเนินการ 1 เมษายน 5. คุณสมบัติ เงื่อนไข และสิทธิประโยชน์อื่น ๆ เป็นไปตามหลักเกณฑ์เดิมของโครงการปรับเปลี่ยนกำลังพลโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น 1) คุณสมบัติ - เป็นข้าราชการตำรวจยศไม่เกินพลตำรวจโทที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปี บริบูรณ์ขึ้นไป หรือ มีเวลาราชการ 25 ปี บริบูรณ์ขึ้นไป โดยไม่รวมเวลาทวีคูณ ทั้งนี้ การนับอายุและเวลาราชการให้นับถึงวันที่ 30 กันยายน 2567 (ต้องเป็นผู้ที่เกิดก่อนวันที่ 2 ตุลาคม 2517 หรือได้รับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการก่อนวันที่ 2 ตุลาคม 2542) - ไม่เป็นผู้ที่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะต้องออกจากราชการในกรณีอื่นตามที่กำหนด เช่น ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลการสอบสวนพิจารณา ถูกสั่งลงโทษปลดออก หรือไล่ออก หรือถูกสั่งให้ออกจากราชการเนื่องจากไม่สามารถปฏิบัติราชการให้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลในระดับ อันเป็นที่พอใจของทางราชการ 2) เงื่อนไข - การลาออกจากราชการตามโครงการนี้เป็นไปตามความสมัครใจ - เมื่อได้รับอนุมัติให้ลาออกแล้วจะไม่ขอกลับเข้ารับราชการ และไม่เรียกร้องสิทธิหรือผลประโยชน์ใด ๆ นอกเหนือจากที่ราชการกำหนด 3) สิทธิประโยชน์อื่น ๆ - ได้รับการขอพระราชทานยศ หรือเลื่อนยศสูงขึ้นเป็นกรณีพิเศษ โดยไม่มีการปรับระดับเงินเดือนสูงขึ้นตามยศใหม่ (ยกเว้นข้าราชการตำรวจยศพันตำรวจเอก) - มีสิทธิได้รับใบประกาศเกียรติคุณทำนองเดียวกันกับผู้เกษียณอายุ 17. เรื่อง การติดตามประเด็นตามมติคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขงร่วมกับประเทศ เพื่อนบ้าน คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) เสนอ ดังนี้ 1. รับทราบผลการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับสภาพปัญหาสถานะปัจจุบันของการใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขง 2. เห็นชอบการมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ 2.1 ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ร่วมกับ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ประสานสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission Secretariat: MRCS) (สำนักงาน MRCS) ในการเร่งดำเนินการศึกษาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำแม่น้ำโขงล้นตลิ่ง โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำให้แล้วเสร็จโดยเร็ว 2.2 ให้ สลน. ติดตามการดำเนินงานของกระทรวงมหาดไทย (มท.) ในการพิจารณามาตรการป้องกันความเสี่ยงต่อการทุจริตในกระบวนการพิจารณาอนุญาตให้ดูดทรายในที่ดินของรัฐในภาพรวมทั้งระบบ ซึ่งรวมถึงมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการดูดทรายตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) 2.3 ให้ มท. โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง พิจารณาขอรับจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งแม่น้ำตามแนวชายแดนระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถก่อสร้างให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ซึ่งจะเป็นการลดความเสียหายและป้องกันการพังทลายของพื้นที่ริมตลิ่งแม่น้ำชายแดนระหว่างประเทศและสำนักงบประมาณ (สงป.) พิจารณาสนับสนุนงบประมาณเพื่อเร่งรัดดำเนินการ สาระสำคัญของเรื่อง สลน. รายงานว่า 1. เมื่อวันที่ 6 และ 14 สิงหาคม 2567 สลน. ได้มีการประชุมเพื่อติดตามประเด็นตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขงร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กห. กต. กษ. ทส. มท. อก. และ สทนช. (นายชยันต์ เมืองสง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร เป็นประธานการประชุม) มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ประเด็น รายละเอียด 1.1 การผันน้ำและการระบายน้ำ สภาพปัญหา จากสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงการไหลที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติของแม่น้ำโขงเมื่อมีการระบายน้ำเพิ่มขึ้นจากเขื่อนจิ่งหงที่ตั้งอยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีน (จีน) ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงบางช่วงเวลาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบกับร่องมรสุมที่พาดผ่านภาคเหนือและ สปป.ลาว ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2567 ทำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำริม แม่น้ำโขงในจังหวัดต่าง ๆ บางพื้นที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำล้นตลิ่ง สถานะปัจจุบัน (1) การผันน้ำจากแม่น้ำโขง อยู่ภายใต้ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง (1995 Mekong Agreement) ซึ่งได้กำหนดพันธกรณีของประเทศภาคีในการดำเนิน ความร่วมมือในการใช้ บริหารจัดการ การอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำและทรัพยากรที่เกี่ยวข้องของลุ่มแม่น้ำโขงในลักษณะที่จะทำให้การใช้น้ำในประเภทต่าง ๆ และผลประโยชน์ร่วมกันของประเทศภาคีทั้งปวงบรรลุผลสูงสุดผ่านกลไกและกระบวนการตามระเบียบปฏิบัติและแนวทางด้านเทคนิค เช่น ระเบียบปฏิบัติ เรื่อง การแจ้ง การปรึกษาหารือล่วงหน้า และข้อตกลง เช่น กรณีการใช้น้ำในแม่น้ำโขงสายประธานในช่วงฤดูน้ำมาก การใช้น้ำภายในลุ่มน้ำต้องแจ้งคณะกรรมการร่วมก่อน และการผันน้ำข้ามลุ่มน้ำต้องปรึกษาหารือล่วงหน้าเพื่อให้บรรลุข้อตกลงโดยคณะกรรมการร่วมรวมถึงการทำข้อตกลงเพื่อให้ความเห็นชอบโครงการใช้น้ำที่จะมีผลกระทบร้ายแรง ซึ่งกำหนดให้รัฐสมาชิกหลีกเลี่ยง ลด บรรเทาผลกระทบที่เป็นอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะด้านปริมาณน้ำ คุณภาพน้ำ ระบบนิเวศ เนื่องมาจากการใช้ หรือปล่อยน้ำ (2) การระบายน้ำหรือการรักษาอัตราการไหลของแม่น้ำโขง ในโครงการเขื่อนต่าง ๆ ได้มีการกำหนดค่าระดับ (Threshold) ณ สถานีตรวจระดับน้ำที่กำหนดและมีการตรวจติดตามค่าระดับว่าอยู่ในระดับปกติหรือไม่ ซึ่งหากค่าสูงกว่าหรือต่ำกว่าค่าระดับจะมีการหารือมาตรการว่าจะดำเนินการเพื่อรักษาค่าระดับให้ได้เป็นปกติของเขื่อนตามระเบียบปฏิบัติ เรื่อง การรักษาปริมาณการไหลในแม่น้ำโขงสายประธาน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศสมาชิกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงสามารถรักษาและจัดการปริมาณการไหลของแม่น้ำโขงสายประธาน ในเรื่องการผันน้ำ การปล่อยน้ำจากอ่างเก็บน้ำ หรือการกระทำอื่น ๆ ยกเว้นกรณีเกิดภาวะแล้งจัด และ/หรือน้ำท่วมมากเป็นประวัติการณ์ (3) การแบ่งปันข้อมูลการผันน้ำและระบายน้ำของแม่น้ำโขงเพื่อประกอบการเฝ้าระวังสถานการณ์ระดับน้ำ อยู่ภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลอุทกวิทยากรณีฤดูน้ำหลากสำหรับแม่น้ำโขง-ล้านช้าง ของคณะทำงานร่วมสาขาทรัพยากรน้ำภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ซึ่งมีสาระสำคัญในการสนับสนุนความร่วมมือด้านการบริหารทรัพยากรน้ำ รวมถึงการบริหารจัดการน้ำท่วมและบรรเทาภัยพิบัติของประเทศท้ายน้ำ โดยจีนเห็นชอบการให้ข้อมูลแก่คณะทำงานร่วมสาขาทรัพยากรน้ำ 5 ประเทศ (กัมพูชา สปป.ลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เวียดนาม และไทย) ให้ครอบคลุมข้อมูลอุทกวิทยาทั้งปี (จากเดิมให้เฉพาะฤดูฝน) จากสถานีอุทกวิทยาของจีน 2 แห่ง (สถานี Yunjinghong และสถานี Man' an) ลงมายังพื้นที่ สปป.ลาว และ 8 จังหวัดริมแม่น้ำโขงของไทย (จังหวัดเชียงราย เลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี) ซึ่งมีสถานีอุต-อุทกวิทยา และระบบติดตามสถานการณ์แม่น้ำโขง โดยข้อมูลจะถูกรวบรวมไว้ที่สำนักงาน MRCS ในส่วนของไทยมีศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ สทนช. เป็นหน่วยงานหลักที่ได้รับการแบ่งปันข้อมูลจากประเทศสมาชิกช่วยในการติดตามสถานการณ์น้ำโดยประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง (ไทย สปป.สาว กัมพูชา และเวียดนาม) จำเป็นต้องเฝ้าระวัง วิเคราะห์สถานการณ์แนวโน้มการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของแม่น้ำโขงที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการแจ้งเตือนและกำหนดมาตรการรองรับภายในประเทศตนเอง (4) สถานการณ์น้ำล้นตลิ่งแม่น้ำโขงในช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2567 สทนช. ได้ประสานไปยังสำนักงาน MRCS เพื่อตรวจสอบปริมาณน้ำฝนที่ตกและการระบายน้ำจากเขื่อนของประเทศสมาชิก พบว่า สถานการณ์น้ำเกิดจากฝนที่ตกหนักใน สปป.ลาว เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้มีปริมาณน้ำในแม่น้ำโขงเพิ่มสูงขึ้น และทำให้เกิดน้ำล้นตลิ่ง ในพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำโขงของไทย (5) การสำรวจพื้นที่ตามแนวริมตลิ่งแม่น้ำโขงที่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ทส. (กรมทรัพยากรน้ำ) และ สทนช. อยู่ระหว่างจัดทำร่างข้อกำหนดและขอบเขตของงาน เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงาน MRCS ในการสำรวจพื้นที่ ตามแนวริมตลิ่งแม่น้ำโขงที่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการปรับลด ค่าระดับเตือนภัย ณ สถานีนั้น ๆ ต่อไป โดยคาดว่าจะดำเนินการสำรวจในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 1.2 ปัญหาการดูดทราย สภาพปัญหา การดูดทรายในแม่น้ำโขงตามข้อตกลงร่วมกันระหว่างไทยกับ สปป.ลาว ได้กำหนดระยะห่างของพื้นที่ที่เหมาะสมเพื่ออนุญาตให้ดูดทรายต้องมีระยะห่างจากสิ่งก่อสร้างสำคัญ ได้แก่ (1) สะพาน เขื่อนป้องกันตลิ่ง ท่าเรือ โรงพยาบาล โรงแรมสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ไม่น้อยกว่า 1,000 เมตร และ (2) บ้าน ศาสนสถานและโรงเรียน ไม่น้อยกว่า 500 เมตร อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีสิ่งก่อสร้างเพิ่มขึ้นระยะห่างของพื้นที่ที่กำหนดไว้ในข้อตกลงฯ จึงไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันโดยเฉพาะระยะไม่น้อยกว่า 500 เมตร กลายเป็นอุปสรรคในการดำเนินการขออนุญาตดูดทราย และทำให้เกิดคดีฟ้องร้องจำนวนมาก สถานะปัจจุบัน (1) การดูดทรายในแม่น้ำโขง คณะรัฐมนตรีมีมติ (26 มีนาคม 2567) เห็นชอบ ร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมการร่วมไทย-ลาว เพื่อดูแลการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ตามแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง (Joint Committee for Management on Mekong River and Heung River: JCMH) ครั้งที่ 4 เช่น จัดทำข้อกำหนด (Instruction) วิธีการทางด้านเทคนิคในการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบต่อตลิ่งและฝั่ง รวมทั้งระบบนิเวศวิทยาในแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง จัดทำมาตรฐานด้านเทคนิคในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง เพื่อเป็นมาตรการในการป้องกันผลกระทบต่อตลิ่งและฝั่ง รวมทั้งระบบนิเวศวิทยาในแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง ต่อมาในการประชุม JCMH (สปป.ลาว เป็นเจ้าภาพ) เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2567 ที่ประชุมได้มีข้อสรุปร่วมกันเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติการดูดทรายในแม่น้ำโขง โดยการลดระยะห่างของการดูดทรายกับเขื่อนป้องกันตลิ่ง บ้านเรือนที่อยู่อาศัย และสถานที่สำคัญ (เช่น กำหนดระยะห่างเฉพาะสะพานต้องมีระยะห่างไม่น้อยกว่า 1,000 เมตรเท่านั้น ส่วนสิ่งก่อสร้างสำคัญอื่น ๆ เช่น บ้านเรือนราษฎร วัด โรงเรียนทรัพย์สินราชการ เอกชน จะมีการจัดทำข้อตกลงในการยกเว้นระยะห่างในครั้งต่อไป) ขณะนี้อยู่ระหว่างการแลกเปลี่ยนเอกสารเพื่อให้แต่ละฝ่ายลงนาม (2) การดูดทรายภายในประเทศ ซึ่งต้องดำเนินการตามระเบียบ มท. ว่าด้วย การอนุญาตให้ ดูดทราย พ.ศ. 2546 เช่น ให้ผู้ประสงค์ขออนุญาตดูดทรายยื่นคำขอต่อนายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอท้องที่และมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมตามมติคณะรัฐมนตรี (3 กุมภาพันธ์ 2547) รวมทั้งมาตรการที่กำหนดให้การดูดทรายอยู่ห่างจากบ้านเรือนประชาชนและสถานที่สำคัญไม่ต่ำกว่า 500 เมตร ซึ่งไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันส่งผลให้การขออนุญาตดำเนินการดูดทรายในไทยเป็นไปได้ยาก ประกอบกับ เงื่อนไขข้อตกลงร่วมของ JCMH ที่จะนำมาพิจารณาประกอบการอนุญาตดูดทราย ต้องพิจารณาจากข้อกำหนดระเบียบภายในของแต่ละประเทศด้วย จึงมีความจำเป็นต้องปรับปรุงระเบียบที่เกี่ยวข้องและแนวทางเกี่ยวกับ การดูดทรายลำน้ำภายในประเทศ และข้อกำหนดด้านมาตรการสิ่งแวดล้อม กรณีระยะห่างบ้านเรือนที่อยู่อาศัยและสถานที่สำคัญในระยะไม่ต่ำกว่า 500 เมตร เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และเพื่อให้สามารถดำเนินการ อนุญาตดูดทรายได้ทั้งแม่น้ำระหว่างประเทศและแม่น้ำในประเทศ 1.3 ปัญหาชายฝั่งทลายและแนวทางการไหลของน้ำเปลี่ยนแปลง สภาพปัญหา การพังทลายของตลิ่งแม่น้ำโขงซึ่งเป็นแนวเขตแดนระหว่างไทยและ สปป.ลาว จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวเขตแดนทั้งกรณีแม่น้ำที่ใช้ร่องน้ำลึกหรือขอบตลิ่งเป็นแนวเขตแดนส่งผลให้ประเทศสูญเสียดินแดน สถานะปัจจุบัน (1) มท. (กรมโยธาธิการและผังเมือง) ได้ดำเนินโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งแม่น้ำตามแนวชายแดนระหว่างประเทศ เพื่อลดความเสียหายและป้องกันการพังหลายของพื้นที่ริมตลิ่งแม่น้ำชายแดนระหว่างประเทศ รักษาเขตแดนธรรมชาติตลอดแนวแม่น้ำชายแดน มีผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาการพังหลายของตลิ่งริมแม่น้ำโขงในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2533 - 2568 ในพื้นที่ 8 จังหวัด (จังหวัดเชียงราย เลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี) ความยาวก่อสร้างที่ดำเนินการแล้ว 675.52 กิโลเมตร (จากความยาวของแม่น้ำโขง รวมทั้งสิ้น 965.53 กิโลเมตร) และหากรวมความยาวก่อสร้างที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 อีก 20.64 กิโลเมตร รวมความยาวก่อสร้างถึงปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ทั้งสิ้น 696.15 กิโลเมตร คงเหลือพื้นที่ที่ต้องดำเนินโครงการป้องกันการกัดเซาะ (ไม่รวมผาหิน ปากลำน้ำต่าง ๆ) ความยาว 118.6 กิโลเมตร โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองได้รับจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาการพังหลายของตลิ่งริมแม่น้ำโขงประมาณ 20 กิโลเมตรต่อปีทั้งนี้ หากได้รับการสนับสนุนงบประมาณตามแผนงานที่กำหนดไว้คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จทั้งหมดในปี 2574 (2) สทนช. ได้ดำเนินโครงการศึกษาผลกระทบและติดตามตรวจสอบผลกระทบ สิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนจากโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำในแม่น้ำโขงสายประธาน ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงของตลิ่งแม่น้ำโขงในไทย ผลจากการศึกษาพบว่า ในปี 2566 มีการสูญเสียพื้นที่ตลิ่งมากกว่าการเพิ่มพื้นที่สะสมตะกอนเช่นเดียวกับ ปี 2565 โดยสูญเสียพื้นที่ตลิ่งริม แม่น้ำโขงสายประธาน 12.48 ตารางกิโลเมตร ในขณะที่ได้พื้นที่ตลิ่งเพิ่มขึ้น 6.62 ตารางกิโลเมตร 2. เพื่อให้การใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขงเป็นไปด้วยความเหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมร่วมกันรวมทั้งเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหา ที่อาจจะเกิดขึ้นจากปัญหาน้ำล้นตลิ่งและชายฝั่งพังทลายของแม่น้ำโขง ตลอดจนแก้ไขปัญหาจากการดูดทรายเพื่อให้สามารถดำเนินการอนุญาตให้ดูดทรายได้ทั้งแม่น้ำระหว่างประเทศและแม่น้ำในประเทศ เห็นควรดำเนินการ ดังนี้ 2.1 มอบหมายให้ สทนช. ร่วมกับ ทส. ประสานสำนักงาน MRCS ในการเร่งดำเนินการศึกษาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำแม่น้ำโขงล้นตลิ่งโดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำให้แล้วเสร็จโดยเร็ว 2.2 ให้ สลน. ติดตามการดำเนินงานของ มท. ในการพิจารณามาตรการป้องกันความเสี่ยงต่อการทุจริตในกระบวนการพิจารณาอนุญาตให้ดูดทรายในที่ดินของรัฐในภาพรวมทั้งระบบ ซึ่งรวมถึงมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการดูดทรายตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. (คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 เรื่อง มาตรการป้องกันความเสี่ยงการทุจริตในกระบวนการพิจารณาอนุญาตให้ ดูดทรายในที่ดินของรัฐ) 2.3 ให้ มท. โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง พิจารณาขอรับ จัดสรรงบประมาณ เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งแม่น้ำตามแนวชายแดนระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถก่อสร้างให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ซึ่งจะเป็นการลดความเสียหายและป้องกันการพังทลายของพื้นที่ ริมตลิ่งแม่น้ำชายแดนระหว่างประเทศและ สงป. พิจารณาสนับสนุนงบประมาณเพื่อเร่งรัดดำเนินการ 18. เรื่อง มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (เพิ่มเติม) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการแนวทางให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (เพิ่มเติม) ที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ อนุมัติกรอบวงเงิน 1,105.65 ล้านบาท โดยเห็นควรให้กรมบัญชีกลางรวบรวมและตรวจสอบรายละเอียดค่าใช้จ่ายให้ถูกต้อง ครบถ้วน และเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป สาระสำคัญของเรื่อง มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (เพิ่มเติม) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแนวทางให้ความช่วยเหลือโดยการจ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้ประกอบการที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือตามแนวทางการกำหนดอัตราค่าปรับตามสัญญาเป็นอัตราร้อยละ 0 ตามหนังสือคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ด่วนที่สุด ที่ กค (กวจ) 0405.2/ว 693 ลงวันที่ 6 สิงหาคม 2564 เนื่องจากหน่วยงานของรัฐบางแห่งไม่ทราบถึงมาตรการ หรือไม่เข้าใจเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ตามมาตรการดังกล่าว โดยเป็นผู้ประกอบการที่ได้ส่งมอบงานงวดสุดท้ายถูกต้องครบถ้วนตามสัญญา ในช่วงตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565 และหน่วยงานของรัฐได้หักค่าปรับไว้แล้ว ทั้งนี้ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ประกอบการดังกล่าว กระทรวงการคลัง (กค.) จึงได้เสนอมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (เพิ่มเติม) เพื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติหลักการและอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ อย่างไรก็ดี สงป. เสนอความเห็นว่าเพื่อให้การดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวเป็นไปอย่าง มีประสิทธิภาพ เห็นควรที่กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าว รวมถึงสถานการณ์ความจำเป็นและประโยชน์ที่จะได้รับ ให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าว ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ต่อไป ต่างประเทศ 19. เรื่อง การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาเทคนิค อาชีวศึกษาและการฝึกอบรม ระหว่างสำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย ประจำไทเป กับสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาเทคนิค อาชีวศึกษา และการฝึกอบรม ระหว่างสำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย (ไทเป) (สำนักงานการค้าและเศรษฐกิจ ไทยฯ) กับสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย (สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเปฯ) (ร่างบันทึกความเข้าใจฯ) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็น ต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญก่อนลงนาม ศธ. จะหารือกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป รวมทั้งอนุมัติให้ผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทยฯ เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ สาระสำคัญของเรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจ มีสาระสำคัญเป็นส่งเสริมความร่วมมือและจัดให้มีกรอบการทำงานสำหรับความร่วมมือด้านการศึกษาเทคนิค อาชีวศึกษา และการฝึกอบรมระหว่างประเทศไทยและไต้หวัน เช่น การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การสอนและการเรียนรู้ในสาขาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ไฟฟ้า การบำรุงรักษาอากาศยาน หุ่นยนต์ เทคโนโลยีสารสนเทศ นวัตกรรม การเกษตรอาหารและโภชนาการ และการท่องเที่ยว การสนับสนุนครูสอนภาษาจีนจากไต้หวันเพื่อมาสอนในสถาบันเทคนิคและสถาบันอาชีวศึกษาในประเทศไทย การแลกเปลี่ยนบุคลากรทางวิชาการและการบริหาร ครู และนักเรียนของสถาบันเทคนิคและสถาบันอาชีวศึกษา เพื่อพัฒนาทักษะและศักยภาพของผู้เรียนด้านอาชีวศึกษา รวมทั้งยกระดับการเรียนรู้และเตรียมพร้อมสู่การประกอบอาชีพในอนาคต ทั้งนี้ ประเทศไทยกับไต้หวันเคยร่วมกันจัดทำข้อตกลง/บันทึกความเข้าใจในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ ด้านการประมง ด้านการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน รวมถึงด้านการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่ได้จัดทำขึ้นเมื่อปี 2554 ซึ่งเรื่องที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอมาในครั้งนี้เป็นความร่วมมือด้านอาชีวศึกษาที่ยังไม่เคยมีมาก่อนโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาแล้ว ไม่ขัดข้อง/เห็นควรให้ความเห็นชอบ ประโยชน์ : การจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ จะช่วยส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือและเกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้ในด้านการศึกษาเทคนิค อาชีวศึกษา และการฝึกอบรมโดยเฉพาะในสาขาวิศวกรรมไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ไฟฟ้า การบำรุงรักษาอากาศยาน หุ่นยนต์ เทคโนโลยีสารสนเทศ นวัตกรรม การเกษตร อาหารและโภชนาการ และการท่องเที่ยวระหว่างโรงเรียน วิทยาลัย และสถาบันการศึกษาเทคนิคและอาชีวศึกษาของไทยกับไต้หวัน 20. เรื่อง การผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา เดินทางกลับประเทศต้นทางเพื่อร่วมงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี 2568 คณะรัฐมนตรีมีมติพิจารณาเรื่องการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา เดินทางกลับประเทศต้นทางเพื่อร่วมงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ. 2568 ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ ดังนี้ 1. เห็นชอบการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา เดินทางกลับประเทศต้นทางเพื่อร่วมงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ. 2568 ในช่วงระหว่างวันที่ 1 เมษายน ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ 1.1 ให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) ออกประกาศเพื่อรองรับการดำเนินการยกเว้นไม่ต้องยื่นคำขออนุญาตเพื่อกลับเข้ามาในราชอาณาจักรอีก (Re-Entry Permit) ตามมาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ในกรณีที่แรงงานต่างด้าวเดินทางออก ? เข้าระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 ทั้งนี้ มท. ได้ยกร่างประกาศในเรื่องดังกล่าวมาด้วยแล้ว 1.2 ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองมอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองที่ประจำ ณ ด่านตรวจคนเข้าเมืองรับผิดชอบช่องทางในการเข้า - ออกราชอาณาจักร ดำเนินการประทับตราอนุญาตให้แรงเดินทางออกนอกราชอาณาจักรและประทับตราอนุญาตให้แรงงานต่างด้าวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรในหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง ระหว่างวันที่ 1 เมษายนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 โดยยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมใด ๆ รวมทั้งให้รายงานผลการเดินทางให้ รง. ทราบในระหว่างดำเนินการและสิ้นสุดการดำเนินการแล้ว 1.3 ให้กระทรวงการต่างประเทศประสานแจ้งแนวทางการดำเนินการตามมาตรการนี้ให้สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ ประเทศต้นทางของแรงงานต่างด้าวได้ทราบและพิจารณาเตรียมการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง 2. ให้หน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยงานให้ความร่วมมือในการดำเนินการและเร่งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ทุกพื้นที่ รวมถึงอำนวยความสะดวกตามอำนาจหน้าที่ให้กับแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา เดินทางกลับประเทศต้นทางเพื่อร่วมงานประเพณีสงกรานต์ประจำปี พ.ศ. 2568 และกำกับดูแลมิให้พนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ เพื่อลดการกล่าวหาการเรียกรับ หรือแสวงหาผลประโยชน์โดยผิดกฎหมาย สาระสำคัญของเรื่อง 1. แนวทางการดำเนินการตามที่กระทรวงแรงงานเสนอผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่เข้ามาในราชอาณาจักร สามารถเดินทางกลับประเทศต้นทางเพื่อไปร่วมงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ. 2568 แล้วเดินทางกลับเข้ามาในราชอาณาจักรได้อีกในระหว่างวันที่ 1 เมษายน ถึงวังวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 โดยไม่ต้องดำเนินการยื่นคำขออนุญาตเพื่อกลับเข้ามาในราชอาณาจักรอีก รวมถึงไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมสำหรับคำขออนุญาต เพื่อกลับเข้ามาในราชอาณาจักรอีก ก่อนที่จะเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร และต้องเสียค่าธรรมเนียม จำนวน 1,000 บาท ทั้งนี้ สำหรับแรงงานต่างด้าวที่เดินทางออกนอกราชอาณาจักรตามแนวทางนี้ หากเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรภายหลังวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 ให้การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของแรงงานต่างด้าวผู้นั้นเป็นอันสิ้นสุด ถึงแม้ระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรยังมีเหลืออยู่ ซึ่งหากประสงค์จะทำงานในราชอาณาจักรจะต้องไปดำเนินการภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจ้างแรงงาน (MOU) สำหรับแรงงานต่างด้าวที่ไม่ประสงค์จะดำเนินการตามแนวทางในเรื่องนี้ เช่น ประสงค์จะเดินทางกลับเข้าประเทศไทยหลังจากวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 หรือแรงงานต่างด้าวที่ยังไม่ทราบกำหนดการเดินทางกลับเข้าประเทศไทยที่แน่ชัด ให้ยื่นคำขออนุญาตเพื่อกลับเข้ามาในราชอาณาจักรก่อนที่จะเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร และต้องเสียค่าธรรมเนียม จำนวน 1,000 บาท ตามที่มาตรา 39 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ซึ่งเป็นขั้นตอนตามปกติ 2. กระทรวงแรงงานได้จัดทำรายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการที่ก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว โดยคาดการณ์ว่าจะมีคนต่างด้าวดำเนินการตามแนวทางในเรื่องนี้ประมาณ 110,000 คน ซึ่งจะส่งผลให้ภาครัฐสูญเสียรายได้ประมาณ 100 ล้านบาท (คำนวณจากค่าธรรมเนียมคำขออนุญาตเพื่อกลับเข้ามาในราชอาณาจักรอีก คนหนึ่งใช้ได้ครั้งเดียว คนละ 1,000 บาท) ซึ่งในการดำเนินการจะเป็นประโยชน์ในการอำนวยความสะดวกให้กับแรงงานต่างด้าวที่จะเดินทางกลับประเทศต้นทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับแรงงานต่างด้าวซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย และเป็นการป้องกันความเสี่ยงที่แรงงานต่างด้าวจะเดินทางออก - เข้าราชอาณาจักรอย่างไม่ถูกต้อง ตลอดจนเป็นการส่งเสริมประเพณีวัฒนธรรมและความสัมพันธ์อันดีด้านแรงงานระหว่างประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน แต่งตั้ง 21. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เสนอแต่งตั้ง นายสุเนตร ชุตินธรานนท์ เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร แทนประธานกรรมการเดิมที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระเนื่องจากมีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป และให้ผู้ได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างนั้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของประธานกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว 22. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคม เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน จำนวน 2 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี ดังนี้ 1. นายอนุชา เศรษฐเสถียร 2. นางจันทิรา บุรุษพัฒน์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป 23. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมและกำกับธุรกิจโรงแรม คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทย เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมและกำกับธุรกิจโรงแรม จำนวน 5 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี ดังนี้ 1. นายสิทธิพร หาญญานันท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโรงแรมประเภทที่ 1 2. นายรวีโรจน์ ชุมพลกูลวงศ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโรงแรมประเภทที่ 2 3. นายอุดม ศรีมหาโชตะ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโรงแรมประเภทที่ 3 4. นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโรงแรมประเภทที่ 4 5. นายพรชัย สังข์ศรี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านโรงแรม ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป 24. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนแทนตำแหน่งที่ว่าง คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสนอแต่งตั้ง นายคธาทิพย์ เอี่ยมกมลา เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน แทน นายอรรถสิทธิ์ กอชัยพฤกษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากขอลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป และผู้ได้รับแต่งตั้งแทนนี้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว 25. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนวัตกรรมแห่งชาติ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนวัตกรรมแห่งชาติ รวม 7 คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี ดังนี้ 1. นางชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ประธานกรรมการ 2. นายประมา ศาสตระรุจิ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 3. นายธงทิศ ฉายากุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 4. นายวิชญะ เครืองาม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 5. นายทศพร ละดาพรพิพัฒน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 6. นายนำโชค โสมาภา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 7. นายวรภัทร ภัทรธรรม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป 26. เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์รวม 9 คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี ดังนี้ 1. นางวิลาวรรณ มังคละธนะกุล ประธานกรรมการ 2. นายกอบศักดิ์ ดวงดี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการเงิน 3. นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการเงิน 4. นางปิยนุช วุฒิสอน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 5. นายศักรินทร์ ร่วมรังษี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านนิติศาสตร์ 6. นายเฉลิมรัฐ นาควิเชียร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ 7. นายสุพันธุ์ ตั้งจิตกุศลมั่น กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านวิทยาศาสตร์หรือวิศวกรรมศาสตร์ 8. พลตำรวจตรี เอกธนัช ลิ้มสังกาศ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านสังคมศาสตร์ 9. นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านสังคมศาสตร์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป 27. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้จำนวน 4 คน เนื่องจากกรรมการอื่นเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี ดังนี้ 1. นายถาวร ทันใจ (ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) 2. นายทศพร ละดาพรพิพัฒน์ 3. พลตำรวจโท วิวัฒน์ ชัยสังฆะ 4. นายอิสรพงษ์ มากอำไพ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป 28. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เสนอแต่งตั้ง นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ แทน นายสมิทธิ ดารากร ณ อยุธยา กรรมการอื่นเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากมีอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป และผู้ได้รับแต่งตั้งแทนนี้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งไว้แล้ว