คณะรัฐมนตรีอนุมัติในหลักการให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยโครงการฝึกอบรมบุคลากรด้านการบินจากประเทศกำลังพัฒนา และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยได้ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยไม่ต้องใช้หนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ในการลงนาม ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศส่วนงบประมาณค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการฝึกอบรม ภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ ของสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลังไปพิจารณาดำเนินการด้วย
กระทรวงคมนาคมรายงานว่า การจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ
(International Civil Aviation Organization : ICAO) กับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยโครงการฝึกอบรมบุคลากรด้านการบินจากประเทศกำลังพัฒนา เป็นการกำหนดกรอบความร่วมมือกับ ICAO ในการฝึกอบรมบุคลากรด้านการบินในภูมิภาค เอเชียและแปซิฟิก ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้ไทยเป็นศูนย์กลางการบินและการขนส่งในภูมิภาคนี้ รวมทั้งเป็นการสนับสนุนการดำเนินงานของสถาบันการบินพลเรือนด้วย
สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฯ สรุปได้ ดังนี้
1. บันทึกความเข้าใจฉบับนี้เป็นข้อตกลงระหว่าง ICAO กับรัฐบาลไทยซึ่งมีกระทรวงคมนาคมเป็นตัวแทนโดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะจัดตั้งและบริหารโครงการฝึกอบรมร่วมกันเพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในการพัฒนาบุคลากรด้านการบินในอันที่จะเพิ่มพูนขีดความสามารถด้านการบินของประเทศกำลังพัฒนาให้สามารถปฏิบัติตามมาตรฐานและข้อพึงปฏิบัติที่กำหนดโดย ICAO ได้ และเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยและพัฒนาการบินพลเรือนระหว่างประเทศ
2. รัฐบาลไทยจะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของผู้ที่ได้รับคัดเลือกเข้ารับการฝึกอบรมภายใต้โครงการตามบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ เช่น ค่าธรรมเนียมการฝึกอบรมและหลักสูตร ค่าวิทยากรและผู้ชำนาญการ ค่าที่พัก ค่าครองชีพประจำวัน ตามอัตราที่รัฐบาลไทยได้กำหนด
3. ICAO และกระทรวงคมนาคม จะร่วมกันตัดสินใจในเรื่องสาขาวิชาของการฝึกอบรมและกำหนดประเทศกำลังพัฒนาที่จะเข้าร่วมโครงการฯ เพื่อทำการคัดเลือก โดยกระทรวงคมนาคมจะเป็นผู้ตัดสินใจเลือกในขั้นสุดท้ายและร่วมกับสถาบันการบินพลเรือนจัดทำแผนการฝึกอบรมประจำปีและกำหนดจำนวนผู้เข้ารับการอบรมแต่ละหลักสูตร โดยสถาบันการบินพลเรือนจะเป็นสถานที่ฝึกอบรมและคัดเลือกวิทยากรและผู้ชำนาญการในการฝึกอบรม
4. บันทึกความเข้าใจฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้เป็นเวลา 3 ปี นับจากวันที่ได้มีการลงนามและอาจมีผลต่อเนื่องหลังจากนั้น ขึ้นอยู่กับข้อตกลงร่วมกันของทั้งสองฝ่าย และจะไม่ก่อให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดนายสมัคร สุนทรเวช (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 3 มิถุนายน 2551--จบ--
กระทรวงคมนาคมรายงานว่า การจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ
(International Civil Aviation Organization : ICAO) กับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยโครงการฝึกอบรมบุคลากรด้านการบินจากประเทศกำลังพัฒนา เป็นการกำหนดกรอบความร่วมมือกับ ICAO ในการฝึกอบรมบุคลากรด้านการบินในภูมิภาค เอเชียและแปซิฟิก ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้ไทยเป็นศูนย์กลางการบินและการขนส่งในภูมิภาคนี้ รวมทั้งเป็นการสนับสนุนการดำเนินงานของสถาบันการบินพลเรือนด้วย
สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฯ สรุปได้ ดังนี้
1. บันทึกความเข้าใจฉบับนี้เป็นข้อตกลงระหว่าง ICAO กับรัฐบาลไทยซึ่งมีกระทรวงคมนาคมเป็นตัวแทนโดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะจัดตั้งและบริหารโครงการฝึกอบรมร่วมกันเพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในการพัฒนาบุคลากรด้านการบินในอันที่จะเพิ่มพูนขีดความสามารถด้านการบินของประเทศกำลังพัฒนาให้สามารถปฏิบัติตามมาตรฐานและข้อพึงปฏิบัติที่กำหนดโดย ICAO ได้ และเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยและพัฒนาการบินพลเรือนระหว่างประเทศ
2. รัฐบาลไทยจะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของผู้ที่ได้รับคัดเลือกเข้ารับการฝึกอบรมภายใต้โครงการตามบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ เช่น ค่าธรรมเนียมการฝึกอบรมและหลักสูตร ค่าวิทยากรและผู้ชำนาญการ ค่าที่พัก ค่าครองชีพประจำวัน ตามอัตราที่รัฐบาลไทยได้กำหนด
3. ICAO และกระทรวงคมนาคม จะร่วมกันตัดสินใจในเรื่องสาขาวิชาของการฝึกอบรมและกำหนดประเทศกำลังพัฒนาที่จะเข้าร่วมโครงการฯ เพื่อทำการคัดเลือก โดยกระทรวงคมนาคมจะเป็นผู้ตัดสินใจเลือกในขั้นสุดท้ายและร่วมกับสถาบันการบินพลเรือนจัดทำแผนการฝึกอบรมประจำปีและกำหนดจำนวนผู้เข้ารับการอบรมแต่ละหลักสูตร โดยสถาบันการบินพลเรือนจะเป็นสถานที่ฝึกอบรมและคัดเลือกวิทยากรและผู้ชำนาญการในการฝึกอบรม
4. บันทึกความเข้าใจฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้เป็นเวลา 3 ปี นับจากวันที่ได้มีการลงนามและอาจมีผลต่อเนื่องหลังจากนั้น ขึ้นอยู่กับข้อตกลงร่วมกันของทั้งสองฝ่าย และจะไม่ก่อให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดนายสมัคร สุนทรเวช (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 3 มิถุนายน 2551--จบ--