คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 12 และอนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นประธานและเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 13 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในปี 2552 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยในส่วนของค่าใช้จ่ายที่จะใช้ในการจัดประชุมดังกล่าวให้กระทรวงการคลังขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ตามขั้นตอนต่อไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
กระทรวงการคลังรายงานว่า นายกรัฐมนตรีได้อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย เข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 12 ระหว่างวันที่ 3-4 เมษายน 2551 ณ เมืองดานัง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และสรุปผลการเข้าร่วมประชุมดังกล่าวได้ ดังนี้
1. การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (ASEAN Ministerial Retreat) จัดขึ้นเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2551 ซึ่งผู้เข้าร่วมการประชุมประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการคลังอาเซียน 10 ประเทศ และนายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน โดยที่ประชุมได้มีการหารือถึงภาวะเศรษฐกิจของโลกและของภูมิภาค รวมถึงการดำเนินนโยบายของประเทศในการกำกับดูแลภาวะเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในหลายประเทศ รวมทั้งแนวทางการส่งเสริมการลงทุนในตลาดทุน
2. การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 12 (12th ASEAN Finance Ministers’Meeting) จัดขึ้นเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2551 มีหัวข้อการประชุม ประกอบด้วย
2.1 การพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคในช่วงที่ผ่านมา
ที่ประชุมฯ ได้มีการหารือเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของภูมิภาคและความท้าทายทางด้านเศรษฐกิจและการเงินอันเนื่องมาจากความผันผวนของตลาดโลก การเคลื่อนย้ายเงินทุนและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นว่าในช่วงที่ผ่านมา อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียนในปี 2550 โดยรวมขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดีที่อัตราร้อยละ 6.7 โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักจากความต้องการในประเทศ การส่งออก และการขยายตัวของภาคเอกชน รวมทั้งเป็นผลมาจากการดำเนินมาตรการเพื่อพัฒนาตลาดการเงินในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียนเห็นควรให้มีการเฝ้าติดตามปัจจัยความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ และให้มีการดำเนินนโยบายด้านการเงินและการคลังอย่างรัดกุม พร้อมกับดำเนินนโยบายส่งเสริมการค้าและการลงทุนในภูมิภาค
2.2 ความร่วมมือทางการเงินภายใต้ Roadmap for Financial and Monetary Integration
ประเด็นการดำเนินการเพื่อนำไปสู่เป้าหมายการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ภายในปี 2558 (ค.ศ.2015) นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียนได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียนพิจารณาทบทวน Roadmap for Financial and Monetary Integration of ASEAN (RIA) ตามที่ที่ประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียนมีมติเห็นชอบเมื่อปี 2546 ซึ่งในขณะนั้นการจัดทำ RIA เป็นไปตามเป้าหมายในการจัดตั้งประชาคมอาเซียนภายในปี 2563 (ค.ศ.2020) ทั้งนี้ การทบทวน RIA ของคณะทำงานด้านการเงินภายใต้กรอบ ASEAN นี้ จะทำให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินงานมากยิ่งขึ้น และมีแผนงานที่สอดรับกับกำหนดเวลาที่เร็วขึ้น นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียนเห็นควรให้ความสำคัญต่อการเสริมสร้างศักยภาพของภาคการเงินเพื่อพัฒนาประเทศสมาชิกอาเซียนให้มีความเท่าเทียมกันมากขึ้น
2.3 การสร้างความเข็มแข็งแก่ตลาดทุน
ที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบแผนการดำเนินงานระยะกลาง (Medium Term Strategic Framework) เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ในการรวมตัวด้านตลาดทุนตามเป้าหมายการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนภายในปี 2558 ซึ่งประกอบด้วย 1) Market Linkages 2) Market Access และ 3) Market Liquidity เพื่อมุ่งหาแนวทางการอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนและการเชื่อมโยงตลาดทุนในภูมิภาค นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียนได้ตกลงที่จะเสริมสร้างกระบวนการหารือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในอาเซียนเพื่อช่วยการพัฒนาตลาดทุนให้มีความทันสมัยและตอบสนองต่อความต้องการของผู้ออกตราสาร นักลงทุน และผู้ค้าตราสาร
2.4 การเปิดเสรีบริการด้านการเงิน
ที่ประชุมฯ ได้ยืนยันให้มีการเปิดเสรีด้านการเงินภายในปี 2558 โดยมอบหมายให้คณะทำงานเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงินของอาเซียนดำเนินการกำหนดขอบเขตและแนวทางการดำเนินงานให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ผู้นำกำหนด นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียนได้ลงนามร่วมกันในพิธีสารเพื่อให้ข้อผูกพันการเปิดเสรีทางการเงินของสมาชิกอาเซียนในการเจรจารอบที่ 4 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการในอาเซียนมีผลบังคับใช้ และได้เห็นชอบให้เริ่มการเจรจาในรอบที่ 5 ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในปี 2553 รวมทั้งมอบหมายให้คณะทำงานเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงินของอาเซียนดำเนินการเพื่อสนับสนุนการเจรจาเปิดเสรีบริการด้านการเงินระหว่างอาเซียนกับคู่เจรจาด้วย
2.5 ความร่วมมือด้านศุลกากร
ที่ประชุมฯ รับทราบความคืบหน้าความร่วมมือด้านศุลกากรและการจัดตั้ง ASEAN Single Window เพื่ออำนวยความสะดวกด้านศุลกากรด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน และเห็นควรให้ประเทศอาเซียน 6 (บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย) เร่งดำเนินการจัดตั้ง National Single Window ภายในปี 2551 และประเทศอาเซียน 4 (กัมพูชา ลาว เวียดนาม และพม่า) ภายในปี 2555
2.6 กลไกเพื่อสนับสนุนการจัดหาแหล่งเงินทุนสำหรับพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
ที่ประชุมฯ เห็นความสำคัญของการหาเงินทุนสำหรับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคและเห็นชอบแนวทางในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย (Facilitative Environment) ต่อการลงทุนโครงสร้าง พื้นฐานของอาเซียน รวมทั้งจะเสริมสร้างขีดความสามารถของภาคเอกชนและส่งเสริมการรวมตัวของตลาดทุนเพื่อเอื้ออำนวยต่อการระดมทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
2.7 ความร่วมมือเพื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ที่ประชุมฯ มีความเห็นร่วมกันว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศมีผลกระทบต่อทุกประเทศ ทั้งทางด้านสภาพแวดล้อมและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีบทบาทสำคัญในการลดและบรรเทาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นโดยใช้นโยบายด้านการเงินและการคลัง และเห็นว่าประเทศสมาชิกอาเซียนควรมีการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและทรัพยากรระหว่างกัน เพื่อร่วมกันลดและบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
2.8 การยกระดับให้อาเซียนเป็นภูมิภาคของการลงทุน
ที่ประชุมฯ เห็นควรให้จัดการสัมมนา ASEAN Finance Minister’s Investor Seminar หรือ ASEAN Roadshow ครั้งที่ 5 ในเดือนตุลาคม 2551 ณ เมืองดูไบ สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงให้นักลงทุนต่างชาติเห็นถึงศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียนและความก้าวหน้าของตลาดทุนในภูมิภาค นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ เห็นชอบให้มีการจัดงานวัน ASEAN Investors Day ในช่วงระหว่างการประชุมประจำปี สภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย ในเดือนพฤษภาคม 2552 ณ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย
2.9 การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 13 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในปี 2552
ที่ประชุมฯ ได้รับทราบรายงานจากเลขาธิการอาเซียนเกี่ยวกับกฎบัตรใหม่ของอาเซียนที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในสิ้นปี 2551 โดยจะมีการนำหลักการ Single Chairmanship มาใช้ กล่าวคือ เมื่อประเทศไทยรับเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอด (ASEAN Summit) ในระหว่างช่วงเดือนกรกฎาคม 2551-เดือนธันวาคม 2552 ประเทศไทยจะมีพันธะในการรับเป็นประธานและเจ้าภาพการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ การประชุมรัฐมนตรีรายสาขาที่สำคัญ ได้แก่ การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอาเซียน การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อาเซียน การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ดังนั้น ที่ประชุมฯ จึงได้มีการหารือถึงการเปลี่ยนแปลงรอบการเวียนการเป็นประธานและเจ้าภาพการประชุมฯ เพื่อให้สอดคล้องกับรอบการเป็นประธานและเจ้าภาพการประชุมสุดยอด ทั้งนี้ ปัจจุบันใช้วิธีการเรียงลำดับตามชื่อประเทศสมาชิก และรอบที่ประเทศไทยรับเป็นเจ้าภาพการประชุมได้เวียนมาแล้ว 2 รอบ กล่าวคือ ในปี 2540 และปี 2550 แต่เพื่อเป็นการตอบสนองต่อหลักการที่กล่าว ซึ่งที่ประชุมสุดยอดได้มีมติรับรองแล้วนั้น ที่ประชุมฯ มีมติรับรองให้มีการเรียงลำดับรอบการเป็นประธานและเจ้าภาพใหม่ โดยเริ่มที่ประเทศไทยรับเป็นประธานและเจ้าภาพจัดการประชุมในระหว่างปี 2552 แทนประเทศบรูไน ดาลุสซาลาม ตามลำดับการเวียนเดิม ดังนั้น ประเทศไทย โดยกระทรวงการคลังจึงมีภาระในการรับเป็นประธานและเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 13 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในระหว่างปี 2552 โดยมีกำหนดการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 13 ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนเมษายน 2552
กระทรวงการคลังจึงเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องดังกล่าว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดนายสมัคร สุนทรเวช (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 3 มิถุนายน 2551--จบ--
กระทรวงการคลังรายงานว่า นายกรัฐมนตรีได้อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย เข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 12 ระหว่างวันที่ 3-4 เมษายน 2551 ณ เมืองดานัง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และสรุปผลการเข้าร่วมประชุมดังกล่าวได้ ดังนี้
1. การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (ASEAN Ministerial Retreat) จัดขึ้นเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2551 ซึ่งผู้เข้าร่วมการประชุมประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการคลังอาเซียน 10 ประเทศ และนายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน โดยที่ประชุมได้มีการหารือถึงภาวะเศรษฐกิจของโลกและของภูมิภาค รวมถึงการดำเนินนโยบายของประเทศในการกำกับดูแลภาวะเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในหลายประเทศ รวมทั้งแนวทางการส่งเสริมการลงทุนในตลาดทุน
2. การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 12 (12th ASEAN Finance Ministers’Meeting) จัดขึ้นเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2551 มีหัวข้อการประชุม ประกอบด้วย
2.1 การพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคในช่วงที่ผ่านมา
ที่ประชุมฯ ได้มีการหารือเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของภูมิภาคและความท้าทายทางด้านเศรษฐกิจและการเงินอันเนื่องมาจากความผันผวนของตลาดโลก การเคลื่อนย้ายเงินทุนและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นว่าในช่วงที่ผ่านมา อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียนในปี 2550 โดยรวมขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดีที่อัตราร้อยละ 6.7 โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักจากความต้องการในประเทศ การส่งออก และการขยายตัวของภาคเอกชน รวมทั้งเป็นผลมาจากการดำเนินมาตรการเพื่อพัฒนาตลาดการเงินในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียนเห็นควรให้มีการเฝ้าติดตามปัจจัยความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ และให้มีการดำเนินนโยบายด้านการเงินและการคลังอย่างรัดกุม พร้อมกับดำเนินนโยบายส่งเสริมการค้าและการลงทุนในภูมิภาค
2.2 ความร่วมมือทางการเงินภายใต้ Roadmap for Financial and Monetary Integration
ประเด็นการดำเนินการเพื่อนำไปสู่เป้าหมายการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ภายในปี 2558 (ค.ศ.2015) นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียนได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียนพิจารณาทบทวน Roadmap for Financial and Monetary Integration of ASEAN (RIA) ตามที่ที่ประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียนมีมติเห็นชอบเมื่อปี 2546 ซึ่งในขณะนั้นการจัดทำ RIA เป็นไปตามเป้าหมายในการจัดตั้งประชาคมอาเซียนภายในปี 2563 (ค.ศ.2020) ทั้งนี้ การทบทวน RIA ของคณะทำงานด้านการเงินภายใต้กรอบ ASEAN นี้ จะทำให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินงานมากยิ่งขึ้น และมีแผนงานที่สอดรับกับกำหนดเวลาที่เร็วขึ้น นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียนเห็นควรให้ความสำคัญต่อการเสริมสร้างศักยภาพของภาคการเงินเพื่อพัฒนาประเทศสมาชิกอาเซียนให้มีความเท่าเทียมกันมากขึ้น
2.3 การสร้างความเข็มแข็งแก่ตลาดทุน
ที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบแผนการดำเนินงานระยะกลาง (Medium Term Strategic Framework) เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ในการรวมตัวด้านตลาดทุนตามเป้าหมายการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนภายในปี 2558 ซึ่งประกอบด้วย 1) Market Linkages 2) Market Access และ 3) Market Liquidity เพื่อมุ่งหาแนวทางการอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนและการเชื่อมโยงตลาดทุนในภูมิภาค นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียนได้ตกลงที่จะเสริมสร้างกระบวนการหารือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในอาเซียนเพื่อช่วยการพัฒนาตลาดทุนให้มีความทันสมัยและตอบสนองต่อความต้องการของผู้ออกตราสาร นักลงทุน และผู้ค้าตราสาร
2.4 การเปิดเสรีบริการด้านการเงิน
ที่ประชุมฯ ได้ยืนยันให้มีการเปิดเสรีด้านการเงินภายในปี 2558 โดยมอบหมายให้คณะทำงานเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงินของอาเซียนดำเนินการกำหนดขอบเขตและแนวทางการดำเนินงานให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ผู้นำกำหนด นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียนได้ลงนามร่วมกันในพิธีสารเพื่อให้ข้อผูกพันการเปิดเสรีทางการเงินของสมาชิกอาเซียนในการเจรจารอบที่ 4 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการในอาเซียนมีผลบังคับใช้ และได้เห็นชอบให้เริ่มการเจรจาในรอบที่ 5 ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในปี 2553 รวมทั้งมอบหมายให้คณะทำงานเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงินของอาเซียนดำเนินการเพื่อสนับสนุนการเจรจาเปิดเสรีบริการด้านการเงินระหว่างอาเซียนกับคู่เจรจาด้วย
2.5 ความร่วมมือด้านศุลกากร
ที่ประชุมฯ รับทราบความคืบหน้าความร่วมมือด้านศุลกากรและการจัดตั้ง ASEAN Single Window เพื่ออำนวยความสะดวกด้านศุลกากรด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน และเห็นควรให้ประเทศอาเซียน 6 (บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย) เร่งดำเนินการจัดตั้ง National Single Window ภายในปี 2551 และประเทศอาเซียน 4 (กัมพูชา ลาว เวียดนาม และพม่า) ภายในปี 2555
2.6 กลไกเพื่อสนับสนุนการจัดหาแหล่งเงินทุนสำหรับพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
ที่ประชุมฯ เห็นความสำคัญของการหาเงินทุนสำหรับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคและเห็นชอบแนวทางในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย (Facilitative Environment) ต่อการลงทุนโครงสร้าง พื้นฐานของอาเซียน รวมทั้งจะเสริมสร้างขีดความสามารถของภาคเอกชนและส่งเสริมการรวมตัวของตลาดทุนเพื่อเอื้ออำนวยต่อการระดมทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
2.7 ความร่วมมือเพื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ที่ประชุมฯ มีความเห็นร่วมกันว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศมีผลกระทบต่อทุกประเทศ ทั้งทางด้านสภาพแวดล้อมและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีบทบาทสำคัญในการลดและบรรเทาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นโดยใช้นโยบายด้านการเงินและการคลัง และเห็นว่าประเทศสมาชิกอาเซียนควรมีการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและทรัพยากรระหว่างกัน เพื่อร่วมกันลดและบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
2.8 การยกระดับให้อาเซียนเป็นภูมิภาคของการลงทุน
ที่ประชุมฯ เห็นควรให้จัดการสัมมนา ASEAN Finance Minister’s Investor Seminar หรือ ASEAN Roadshow ครั้งที่ 5 ในเดือนตุลาคม 2551 ณ เมืองดูไบ สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงให้นักลงทุนต่างชาติเห็นถึงศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียนและความก้าวหน้าของตลาดทุนในภูมิภาค นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ เห็นชอบให้มีการจัดงานวัน ASEAN Investors Day ในช่วงระหว่างการประชุมประจำปี สภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย ในเดือนพฤษภาคม 2552 ณ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย
2.9 การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 13 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในปี 2552
ที่ประชุมฯ ได้รับทราบรายงานจากเลขาธิการอาเซียนเกี่ยวกับกฎบัตรใหม่ของอาเซียนที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในสิ้นปี 2551 โดยจะมีการนำหลักการ Single Chairmanship มาใช้ กล่าวคือ เมื่อประเทศไทยรับเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอด (ASEAN Summit) ในระหว่างช่วงเดือนกรกฎาคม 2551-เดือนธันวาคม 2552 ประเทศไทยจะมีพันธะในการรับเป็นประธานและเจ้าภาพการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ การประชุมรัฐมนตรีรายสาขาที่สำคัญ ได้แก่ การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอาเซียน การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อาเซียน การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ดังนั้น ที่ประชุมฯ จึงได้มีการหารือถึงการเปลี่ยนแปลงรอบการเวียนการเป็นประธานและเจ้าภาพการประชุมฯ เพื่อให้สอดคล้องกับรอบการเป็นประธานและเจ้าภาพการประชุมสุดยอด ทั้งนี้ ปัจจุบันใช้วิธีการเรียงลำดับตามชื่อประเทศสมาชิก และรอบที่ประเทศไทยรับเป็นเจ้าภาพการประชุมได้เวียนมาแล้ว 2 รอบ กล่าวคือ ในปี 2540 และปี 2550 แต่เพื่อเป็นการตอบสนองต่อหลักการที่กล่าว ซึ่งที่ประชุมสุดยอดได้มีมติรับรองแล้วนั้น ที่ประชุมฯ มีมติรับรองให้มีการเรียงลำดับรอบการเป็นประธานและเจ้าภาพใหม่ โดยเริ่มที่ประเทศไทยรับเป็นประธานและเจ้าภาพจัดการประชุมในระหว่างปี 2552 แทนประเทศบรูไน ดาลุสซาลาม ตามลำดับการเวียนเดิม ดังนั้น ประเทศไทย โดยกระทรวงการคลังจึงมีภาระในการรับเป็นประธานและเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 13 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในระหว่างปี 2552 โดยมีกำหนดการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 13 ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนเมษายน 2552
กระทรวงการคลังจึงเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องดังกล่าว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดนายสมัคร สุนทรเวช (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 3 มิถุนายน 2551--จบ--