คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการโครงการจัดตั้งบริษัท ส่งเสริมธุรกิจเกษตรกรไทย จำกัด ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. กระทรวงการคลังจะทำการจัดตั้งบริษัท ส่งเสริมธุรกิจเกษตรกรไทย จำกัด (สธท.) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการสำคัญด้านการเกษตรโดยการจัดหาทุนในรูปปัจจัยการผลิตให้แก่เกษตรกร และช่วยบริหารจัดการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้เกษตรกรมีเทคนิคในการผลิต การแปรรูป และการตลาดที่เหมาะสม รวมทั้งช่วยเหลือเกษตรกรในการบริหารความเสี่ยงด้านต่างๆ
2. รูปแบบของ สธท. สรุปดังนี้
2.1 สธท. มีฐานะเป็นบริษัท จำกัด ที่กระทรวงการคลังถือหุ้นทั้งหมดในระยะต้น จึงมีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ
2.2 ทุนจดทะเบียนของ สธท. มีจำนวน 1,000 ล้านบาท (ทั้งนี้ จะเรียกชำระค่าหุ้นครั้งแรก 250 ล้านบาท) โดยในระยะเริ่มต้นมีแหล่งที่มา ของทุนจากเงินงบประมาณทั้งหมด และในระยะต่อไป สธท. ระดมทุนผ่านนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อนำไปใช้จ่ายดำเนินโครงการเพื่อสนับสนุนธุรกิจการเกษตร
2.3 คณะกรรมการ สธท. ประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน การตลาด และการเกษตร จำนวนไม่ต่ำกว่า 7 คน โดยในช่วงแรกของการจัดตั้ง ให้ปลัดกระทรวงการคลัง (โดยตำแหน่ง) เป็นประธานชั่วคราว และเมื่อบริษัทเปิดดำเนินการไประยะหนึ่ง ให้สรรหาผู้ทรงคุณวุฒิที่เหมาะสมเป็นประธานต่อไป และมีผู้จัดการใหญ่เป็นกรรมการและเลขานุการ
2.4 โครงสร้างบริหารจัดการของ สธท. ให้มีการบริหารตามรายสินค้า โดยอาจจัดโครงสร้างเป็นรายธุรกรรมใน สธท. ก่อนในระยะแรกที่มีประเภทธุรกิจน้อย และอาจแบ่งเป็นบริษัทย่อย ซึ่งดำเนินการบริหารภายใต้นโยบายของบริษัทใหญ่ในโอกาสต่อไป
2.5 การดำเนินการจัดตั้งจะแล้วเสร็จภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 เดือน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบให้ดำเนินการ
3. การดำเนินธุรกิจโค ในระยะต้น สธท. จะดำเนินธุรกิจโค โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการให้เกษตรกรมีรายได้จากการเลี้ยงโคประมาณ 5 ล้านตัว ภายในระยะเวลา 5 ปี ทั้งนี้ในการดำเนินการ สธท. จะประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้กลไกที่มีอยู่แล้วอย่างมีประสิทธิภาพ และดำเนินการบริหารโครงการผ่านกลไกองค์กรของเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อก่อให้เกิดการประหยัดและมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี
4. ประโยชน์ที่คาดว่าเกษตรกรและประเทศจะได้รับจากการจัดตั้ง สธท. และการดำเนินการธุรกิจโค สรุปได้ดังนี้
4.1 เกษตรกรที่เลี้ยงแม่โคผลิตลูกขายจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 33,000-44,000 บาท/ครอบครัว/ปี
4.2 เกษตรกรที่เลี้ยงขุนโค 5 ตัว จะมีรายได้เพิ่ม 13,000-25,000 บาท/ครอบครัว/ปี
4.3 เกษตรกรที่รับจ้างผสมเทียมจะมีรายได้เพิ่ม 18,750 บาท/คน/ปี
4.4 ประเทศจะมีการผลิตโคเนื้อเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 1 ล้านตัว มูลค่า 12,500 ล้านบาท
4.5 ประเทศจะมีการผลิตปุ๋ยคอกเพิ่มขึ้นปีละ 4.4 ล้านตัน มูลค่า 4,400 ล้านบาท
4.6 ประเทศจะลดการนำเข้าเนื้อโคและโคมีชีวิตลง ปีละ 3,130 ล้านบาท
5. สำหรับการบริหารความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นของ สธท. สามารถแบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่
5.1 ความเสี่ยงจากโรคระบาด หรือภัยธรรมชาติ สธท. สามารถบริหารความเสี่ยงโดยให้กรมการประกันภัยประสานกับบริษัทประกันวินาศภัยเพื่อจัดระบบการประกันภัยผ่าน สธท.
5.2 ความเสี่ยงด้านราคา สธท. ทำการควบคุมคุณภาพของสินค้าให้ได้ราคาและบริหารจำนวนผลผลิตทางการเกษตรที่ส่งให้เกษตรกร เพื่อให้อุปทาน (Supply) ที่ออกสู่ตลาดสอดคล้องกับอุปสงค์ (Demand)
5.3 ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระคืนสินค้า สธท. กำหนดเกณฑ์การคัดเลือกเกษตรกรที่สามารถเข้าร่วมโครงการ เพื่อให้ได้เกษตรกรที่ได้มาตรฐานและมีศักยภาพในการเลี้ยงดูโคได้เป็นอย่างดี และให้สมาชิกทำการค้ำประกันกันเองภายในกลุ่ม
6. ในการจัดตั้ง สธท. มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการดังนี้
6.1 กระทรวงการคลังโดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการเกี่ยวกับการจัดตั้ง สธท.
6.2 สำนักงบประมาณ เป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับการเตรียมงบประมาณการจัดตั้ง สธท.
6.3 กระทรวงการคลังประสานกับธนาคารของรัฐ เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และ ธนาคารออมสิน เป็นต้น เพื่อให้เป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดหาเงินกู้ที่จะใช้ในการดำเนินงานของ สธท.
6.4 กรมการประกันภัยประสานกับสมาคมประกันวินาศภัยเพื่อรับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดเตรียมการประกันภัยความเสี่ยง
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 29 มีนาคม 2548--จบ--
1. กระทรวงการคลังจะทำการจัดตั้งบริษัท ส่งเสริมธุรกิจเกษตรกรไทย จำกัด (สธท.) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการสำคัญด้านการเกษตรโดยการจัดหาทุนในรูปปัจจัยการผลิตให้แก่เกษตรกร และช่วยบริหารจัดการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้เกษตรกรมีเทคนิคในการผลิต การแปรรูป และการตลาดที่เหมาะสม รวมทั้งช่วยเหลือเกษตรกรในการบริหารความเสี่ยงด้านต่างๆ
2. รูปแบบของ สธท. สรุปดังนี้
2.1 สธท. มีฐานะเป็นบริษัท จำกัด ที่กระทรวงการคลังถือหุ้นทั้งหมดในระยะต้น จึงมีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ
2.2 ทุนจดทะเบียนของ สธท. มีจำนวน 1,000 ล้านบาท (ทั้งนี้ จะเรียกชำระค่าหุ้นครั้งแรก 250 ล้านบาท) โดยในระยะเริ่มต้นมีแหล่งที่มา ของทุนจากเงินงบประมาณทั้งหมด และในระยะต่อไป สธท. ระดมทุนผ่านนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อนำไปใช้จ่ายดำเนินโครงการเพื่อสนับสนุนธุรกิจการเกษตร
2.3 คณะกรรมการ สธท. ประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน การตลาด และการเกษตร จำนวนไม่ต่ำกว่า 7 คน โดยในช่วงแรกของการจัดตั้ง ให้ปลัดกระทรวงการคลัง (โดยตำแหน่ง) เป็นประธานชั่วคราว และเมื่อบริษัทเปิดดำเนินการไประยะหนึ่ง ให้สรรหาผู้ทรงคุณวุฒิที่เหมาะสมเป็นประธานต่อไป และมีผู้จัดการใหญ่เป็นกรรมการและเลขานุการ
2.4 โครงสร้างบริหารจัดการของ สธท. ให้มีการบริหารตามรายสินค้า โดยอาจจัดโครงสร้างเป็นรายธุรกรรมใน สธท. ก่อนในระยะแรกที่มีประเภทธุรกิจน้อย และอาจแบ่งเป็นบริษัทย่อย ซึ่งดำเนินการบริหารภายใต้นโยบายของบริษัทใหญ่ในโอกาสต่อไป
2.5 การดำเนินการจัดตั้งจะแล้วเสร็จภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 เดือน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบให้ดำเนินการ
3. การดำเนินธุรกิจโค ในระยะต้น สธท. จะดำเนินธุรกิจโค โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการให้เกษตรกรมีรายได้จากการเลี้ยงโคประมาณ 5 ล้านตัว ภายในระยะเวลา 5 ปี ทั้งนี้ในการดำเนินการ สธท. จะประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้กลไกที่มีอยู่แล้วอย่างมีประสิทธิภาพ และดำเนินการบริหารโครงการผ่านกลไกองค์กรของเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อก่อให้เกิดการประหยัดและมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี
4. ประโยชน์ที่คาดว่าเกษตรกรและประเทศจะได้รับจากการจัดตั้ง สธท. และการดำเนินการธุรกิจโค สรุปได้ดังนี้
4.1 เกษตรกรที่เลี้ยงแม่โคผลิตลูกขายจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 33,000-44,000 บาท/ครอบครัว/ปี
4.2 เกษตรกรที่เลี้ยงขุนโค 5 ตัว จะมีรายได้เพิ่ม 13,000-25,000 บาท/ครอบครัว/ปี
4.3 เกษตรกรที่รับจ้างผสมเทียมจะมีรายได้เพิ่ม 18,750 บาท/คน/ปี
4.4 ประเทศจะมีการผลิตโคเนื้อเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 1 ล้านตัว มูลค่า 12,500 ล้านบาท
4.5 ประเทศจะมีการผลิตปุ๋ยคอกเพิ่มขึ้นปีละ 4.4 ล้านตัน มูลค่า 4,400 ล้านบาท
4.6 ประเทศจะลดการนำเข้าเนื้อโคและโคมีชีวิตลง ปีละ 3,130 ล้านบาท
5. สำหรับการบริหารความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นของ สธท. สามารถแบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่
5.1 ความเสี่ยงจากโรคระบาด หรือภัยธรรมชาติ สธท. สามารถบริหารความเสี่ยงโดยให้กรมการประกันภัยประสานกับบริษัทประกันวินาศภัยเพื่อจัดระบบการประกันภัยผ่าน สธท.
5.2 ความเสี่ยงด้านราคา สธท. ทำการควบคุมคุณภาพของสินค้าให้ได้ราคาและบริหารจำนวนผลผลิตทางการเกษตรที่ส่งให้เกษตรกร เพื่อให้อุปทาน (Supply) ที่ออกสู่ตลาดสอดคล้องกับอุปสงค์ (Demand)
5.3 ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระคืนสินค้า สธท. กำหนดเกณฑ์การคัดเลือกเกษตรกรที่สามารถเข้าร่วมโครงการ เพื่อให้ได้เกษตรกรที่ได้มาตรฐานและมีศักยภาพในการเลี้ยงดูโคได้เป็นอย่างดี และให้สมาชิกทำการค้ำประกันกันเองภายในกลุ่ม
6. ในการจัดตั้ง สธท. มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการดังนี้
6.1 กระทรวงการคลังโดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการเกี่ยวกับการจัดตั้ง สธท.
6.2 สำนักงบประมาณ เป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับการเตรียมงบประมาณการจัดตั้ง สธท.
6.3 กระทรวงการคลังประสานกับธนาคารของรัฐ เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และ ธนาคารออมสิน เป็นต้น เพื่อให้เป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดหาเงินกู้ที่จะใช้ในการดำเนินงานของ สธท.
6.4 กรมการประกันภัยประสานกับสมาคมประกันวินาศภัยเพื่อรับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดเตรียมการประกันภัยความเสี่ยง
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 29 มีนาคม 2548--จบ--