คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามมติคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและการชลประทาน ครั้งที่ 1/2551 วันที่ 27 พฤษภาคม 2551 ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและการชลประทานเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างแผนการลงทุนพัฒนาและบริหารจัดการน้ำและการชลประทาน ซึ่งประกอบด้วย แผนการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำขนาดเล็ก แผนการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพระบบชลประทาน และแผนการบรรเทาอุทกภัย ระยะเวลา 12 ปี (ปี 2552-2563) กรอบวงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 322,703 ล้านบาท โดยมอบหมายให้หน่วยงานรับไปดำเนินการ ดังนี้
(1) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทย ดำเนินการตามแผนการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำขนาดเล็กนอกเขตชลประทาน แผนการขยายและเพิ่มประสิทธิภาพโครงการชลประทานขนาดเล็กและขนาดกลาง และแผนการบรรเทาอุทกภัย กรอบวงเงินลงทุนรวม 100,192 ล้านบาท (ปี 2552-2557) เป็นการลงทุนในปี 2552-2554 จำนวน 73,885 ล้านบาท และในปี 2555-2557 จำนวน 26,307 ล้านบาท โดยให้เร่งดำเนินการตั้งแต่ ต้นปีงบประมาณ 2552 เป็นต้นไป
(2) ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการตามแผนการขยายและเพิ่มประสิทธิภาพโครงการชลประทานขนาดใหญ่ วงเงินลงทุนรวม 222,511 ล้านบาท (ปี 2552-2563) ดังนี้
(2.1) ให้เริ่มดำเนินโครงการชลประทานขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมและดำเนินการครบถ้วนตามกฎระเบียบแล้วจำนวน 4 โครงการในปีงบประมาณ 2552 คือ โครงการพัฒนาลุ่มน้ำตาปี-พุมดวง จังหวัดสุราษฎร์ธานี โครงการผันน้ำจากพื้นที่จังหวัดจันทบุรีไปยังแหล่งเก็บกักน้ำจังหวัดระยอง โครงการผันน้ำจากพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก-อ่างเก็บน้ำบางพระ จังหวัดชลบุรี และโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองจันทบุรี (ระยะที่ 2) วงเงินลงทุนรวม 18,717 ล้านบาท (ปี 2552-2557) โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติการเริ่มดำเนินการเป็นรายโครงการต่อไป
(2.2) เร่งรัดการขอใช้พื้นที่อนุรักษ์ในโครงการชลประทานขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมจำนวน 4 โครงการเพื่อให้เริ่มโครงการได้ตามเป้าหมาย คือ โครงการคลองลำรูใหญ่ จังหวัดพังงา โครงการห้วยโสมง จังหวัดปราจีนบุรี โครงการอ่างเก็บน้ำคลองมะเดื่อ จังหวัดนครนายก และโครงการเขื่อนแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นรายโครงการต่อไป
(2.3) ให้เร่งเตรียมความพร้อมโครงการชลประทานขนาดใหญ่ที่เหลือ 16 โครงการ ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ตามกฎระเบียบและขั้นตอน แล้วให้นำเสนอคณะกรรมการฯ พิจารณาเป็นรายโครงการต่อไป
(3) เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาแหล่งเก็บกักน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำยมและโครงการอ่างเก็บน้ำโปร่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) เป็นประธาน อนุกรรมการประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวงมหาดไทย เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยการ สำนักงบประมาณ และอธิบดีกรมชลประทานเป็นอนุกรรมการและเลขานุการ เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาน้ำขาดแคลนในพื้นที่ ลุ่มน้ำยมและจังหวัดชัยภูมิให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป
(4) มอบหมายให้คณะกรรมการกำกับด้านการเงินและการลงทุนสำหรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี) เป็นประธาน รับไปพิจารณาจัดหาแหล่งเงินลงทุน/วิธีการระดมทุนที่เหมาะสม เพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามแผนการลงทุนพัฒนาและบริหารจัดการน้ำและการชลประทานได้ตามเป้าหมายและระยะเวลาที่กำหนด
2. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการจัดทำโครงการจัดระบบความปลอดภัยเขื่อน (Dam safety) โดยตรวจสอบและแก้ไขซ่อมแซมข้อบกพร่องของเขื่อนและอ่างเก็บน้ำที่มีความเสี่ยง รวมทั้งปรับปรุงการบริหารการปล่อยน้ำของอ่างเก็บน้ำต่าง ๆ ให้สามารถเก็บกักน้ำได้เต็มประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์ต่อการใช้น้ำและการป้องกันบรรเทาอุทกภัยพื้นที่ท้ายน้ำให้ได้มากที่สุด โดยให้นำเสนอคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
3. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเตรียมความพร้อมของโครงการบริหารจัดการน้ำในระยะยาว โดยทำการศึกษาออกแบบรายละเอียดของโครงการต่าง ๆ ไว้ให้พร้อมที่ จะดำเนินการได้ รวมถึงการจัดทำระบบพยากรณ์เตือนภัยในพื้นที่วิกฤตน้ำของประเทศให้ครบถ้วนต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
สถานการณ์น้ำ ปัจจุบันปริมาณน้ำต้นทุนของประเทศที่มีอยู่จำนวน 52,741 ล้าน ลบ.ม./ปี สามารถสนองความต้องการใช้น้ำที่มีจำนวน 73,788 ล้าน ลบ.ม./ปี ได้เพียง 2 ใน 3 หรือประมาณร้อยละ 70 ของความต้องการใช้น้ำ คิดเป็นปริมาณน้ำขาดแคลนประมาณ 21,047 ล้าน ลบ.ม./ปี ซึ่งหากไม่มีการลงทุนพัฒนาแหล่งน้ำเพิ่มขึ้น คาดว่าใน อีก 10 ปีข้างหน้า การขาดแคลนน้ำจะเพิ่มขึ้นเป็น 34,183 ล้าน ลบ.ม./ปี ในปี 2559 นอกจากนี้ ยังประสบปัญหาพื้นที่ป่าต้นน้ำเสื่อมโทรมและลดลงมาก ทั้งมีปัญหาการชะล้างพังทลายของดินและภัยจากโคลนถล่มที่รุนแรง ส่งผลกระทบให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำ ภัยแล้ง และน้ำท่วมในพื้นที่กลางน้ำซึ่งเป็นแหล่งชุมชนและพื้นที่เศรษฐกิจของประเทศที่รุนแรงมากขึ้น รวมทั้งพื้นที่ท้ายน้ำมีปัญหาคุณภาพน้ำเสื่อมโทรม ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเร่งรัดแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำและภัยแล้ง รวมทั้งการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยอันจะช่วยสนับสนุนการยกระดับความสามารถการแข่งขันของภาคเกษตรและการสร้างความมั่นคงทางอาหารและพลังงานของประเทศ
หลักการของร่างแผนการลงทุน
(1) ยึดนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลและแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2551-2554 ในการพัฒนาและบริหารจัดการน้ำและระบบชลประทาน โดยให้ความสำคัญกับการบูรณะฟื้นฟูและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์แหล่งน้ำขนาดเล็ก การขยายพื้นที่และเพิ่มประสิทธิภาพระบบชลประทาน และการป้องกันและบรรเทาอุทกภัย
(2) กำหนดเกณฑ์การพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของแผนงานโครงการ เพื่อให้การลงทุนพัฒนาและบริหารจัดการน้ำและระบบชลประทานเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ประกอบด้วย 1) ความจำเป็นของโครงการที่ต้องดำเนินการเพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำ ภัยแล้งและอุทกภัย 2) ความคุ้มค่าของโครงการทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและคุณภาพชีวิต โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และ 3) ความพร้อมของโครงการและการบริหารจัดการของหน่วยงานรับผิดชอบที่ได้จัดเตรียมไว้อย่างครบถ้วนเพื่อการดำเนินโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เป้าหมายหลัก
(1) ฟื้นฟูบูรณะแหล่งน้ำขนาดเล็กนอกเขตชลประทานทั่วประเทศ โดยกำหนดเป้าหมายจำนวน 6,677 แห่งที่ต้องเร่งรัดดำเนินการให้ครบถ้วน แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 3 ปี (ปี 2552-2554)
(2) เพิ่มประสิทธิภาพระบบชลประทานเดิมและขยายพื้นที่ชลประทานใหม่ในพื้นที่ขาดแคลนน้ำ
ตามศักยภาพทางอุทกภูมิศาสตร์ของพื้นที่ โดยกำหนดเป้าหมายให้สามารถเพิ่มน้ำต้นทุนให้ได้จำนวน 4,605 ล้าน ลบ.ม. และเพิ่มพื้นที่ชลประทานให้ได้ 6.42 ล้านไร่ ภายในปี 2563 แยกเป็นการเพิ่มพื้นที่ชลประทานจำนวน 1.29 ล้านไร่ภายในปี 2554 จำนวน 0.93 ล้านไร่ ภายในปี 2559 และจำนวน 4.20 ล้านไร่ ภายในปี 2563
(3) ป้องกันและบรรเทาอุทกภัย โดยกำหนดเป้าหมายภายในปี 2554 ให้สามารถฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ำที่เสื่อมโทรมให้ได้ 1.1 ล้านไร่ ป้องกันการสูญเสียหน้าดินและพื้นที่ดินถล่มได้ 1.1 ล้านไร่ และลดความเสียหายจากอุทกภัยของชุมชนเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจหลัก 38 แห่ง ใน
17 จังหวัด
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดนายสมัคร สุนทรเวช (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 10 มิถุนายน 2551--จบ--
1. เห็นชอบร่างแผนการลงทุนพัฒนาและบริหารจัดการน้ำและการชลประทาน ซึ่งประกอบด้วย แผนการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำขนาดเล็ก แผนการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพระบบชลประทาน และแผนการบรรเทาอุทกภัย ระยะเวลา 12 ปี (ปี 2552-2563) กรอบวงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 322,703 ล้านบาท โดยมอบหมายให้หน่วยงานรับไปดำเนินการ ดังนี้
(1) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทย ดำเนินการตามแผนการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำขนาดเล็กนอกเขตชลประทาน แผนการขยายและเพิ่มประสิทธิภาพโครงการชลประทานขนาดเล็กและขนาดกลาง และแผนการบรรเทาอุทกภัย กรอบวงเงินลงทุนรวม 100,192 ล้านบาท (ปี 2552-2557) เป็นการลงทุนในปี 2552-2554 จำนวน 73,885 ล้านบาท และในปี 2555-2557 จำนวน 26,307 ล้านบาท โดยให้เร่งดำเนินการตั้งแต่ ต้นปีงบประมาณ 2552 เป็นต้นไป
(2) ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการตามแผนการขยายและเพิ่มประสิทธิภาพโครงการชลประทานขนาดใหญ่ วงเงินลงทุนรวม 222,511 ล้านบาท (ปี 2552-2563) ดังนี้
(2.1) ให้เริ่มดำเนินโครงการชลประทานขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมและดำเนินการครบถ้วนตามกฎระเบียบแล้วจำนวน 4 โครงการในปีงบประมาณ 2552 คือ โครงการพัฒนาลุ่มน้ำตาปี-พุมดวง จังหวัดสุราษฎร์ธานี โครงการผันน้ำจากพื้นที่จังหวัดจันทบุรีไปยังแหล่งเก็บกักน้ำจังหวัดระยอง โครงการผันน้ำจากพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก-อ่างเก็บน้ำบางพระ จังหวัดชลบุรี และโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองจันทบุรี (ระยะที่ 2) วงเงินลงทุนรวม 18,717 ล้านบาท (ปี 2552-2557) โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติการเริ่มดำเนินการเป็นรายโครงการต่อไป
(2.2) เร่งรัดการขอใช้พื้นที่อนุรักษ์ในโครงการชลประทานขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมจำนวน 4 โครงการเพื่อให้เริ่มโครงการได้ตามเป้าหมาย คือ โครงการคลองลำรูใหญ่ จังหวัดพังงา โครงการห้วยโสมง จังหวัดปราจีนบุรี โครงการอ่างเก็บน้ำคลองมะเดื่อ จังหวัดนครนายก และโครงการเขื่อนแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นรายโครงการต่อไป
(2.3) ให้เร่งเตรียมความพร้อมโครงการชลประทานขนาดใหญ่ที่เหลือ 16 โครงการ ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ตามกฎระเบียบและขั้นตอน แล้วให้นำเสนอคณะกรรมการฯ พิจารณาเป็นรายโครงการต่อไป
(3) เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาแหล่งเก็บกักน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำยมและโครงการอ่างเก็บน้ำโปร่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) เป็นประธาน อนุกรรมการประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวงมหาดไทย เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยการ สำนักงบประมาณ และอธิบดีกรมชลประทานเป็นอนุกรรมการและเลขานุการ เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาน้ำขาดแคลนในพื้นที่ ลุ่มน้ำยมและจังหวัดชัยภูมิให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป
(4) มอบหมายให้คณะกรรมการกำกับด้านการเงินและการลงทุนสำหรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี) เป็นประธาน รับไปพิจารณาจัดหาแหล่งเงินลงทุน/วิธีการระดมทุนที่เหมาะสม เพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามแผนการลงทุนพัฒนาและบริหารจัดการน้ำและการชลประทานได้ตามเป้าหมายและระยะเวลาที่กำหนด
2. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการจัดทำโครงการจัดระบบความปลอดภัยเขื่อน (Dam safety) โดยตรวจสอบและแก้ไขซ่อมแซมข้อบกพร่องของเขื่อนและอ่างเก็บน้ำที่มีความเสี่ยง รวมทั้งปรับปรุงการบริหารการปล่อยน้ำของอ่างเก็บน้ำต่าง ๆ ให้สามารถเก็บกักน้ำได้เต็มประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์ต่อการใช้น้ำและการป้องกันบรรเทาอุทกภัยพื้นที่ท้ายน้ำให้ได้มากที่สุด โดยให้นำเสนอคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
3. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเตรียมความพร้อมของโครงการบริหารจัดการน้ำในระยะยาว โดยทำการศึกษาออกแบบรายละเอียดของโครงการต่าง ๆ ไว้ให้พร้อมที่ จะดำเนินการได้ รวมถึงการจัดทำระบบพยากรณ์เตือนภัยในพื้นที่วิกฤตน้ำของประเทศให้ครบถ้วนต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
สถานการณ์น้ำ ปัจจุบันปริมาณน้ำต้นทุนของประเทศที่มีอยู่จำนวน 52,741 ล้าน ลบ.ม./ปี สามารถสนองความต้องการใช้น้ำที่มีจำนวน 73,788 ล้าน ลบ.ม./ปี ได้เพียง 2 ใน 3 หรือประมาณร้อยละ 70 ของความต้องการใช้น้ำ คิดเป็นปริมาณน้ำขาดแคลนประมาณ 21,047 ล้าน ลบ.ม./ปี ซึ่งหากไม่มีการลงทุนพัฒนาแหล่งน้ำเพิ่มขึ้น คาดว่าใน อีก 10 ปีข้างหน้า การขาดแคลนน้ำจะเพิ่มขึ้นเป็น 34,183 ล้าน ลบ.ม./ปี ในปี 2559 นอกจากนี้ ยังประสบปัญหาพื้นที่ป่าต้นน้ำเสื่อมโทรมและลดลงมาก ทั้งมีปัญหาการชะล้างพังทลายของดินและภัยจากโคลนถล่มที่รุนแรง ส่งผลกระทบให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำ ภัยแล้ง และน้ำท่วมในพื้นที่กลางน้ำซึ่งเป็นแหล่งชุมชนและพื้นที่เศรษฐกิจของประเทศที่รุนแรงมากขึ้น รวมทั้งพื้นที่ท้ายน้ำมีปัญหาคุณภาพน้ำเสื่อมโทรม ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเร่งรัดแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำและภัยแล้ง รวมทั้งการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยอันจะช่วยสนับสนุนการยกระดับความสามารถการแข่งขันของภาคเกษตรและการสร้างความมั่นคงทางอาหารและพลังงานของประเทศ
หลักการของร่างแผนการลงทุน
(1) ยึดนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลและแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2551-2554 ในการพัฒนาและบริหารจัดการน้ำและระบบชลประทาน โดยให้ความสำคัญกับการบูรณะฟื้นฟูและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์แหล่งน้ำขนาดเล็ก การขยายพื้นที่และเพิ่มประสิทธิภาพระบบชลประทาน และการป้องกันและบรรเทาอุทกภัย
(2) กำหนดเกณฑ์การพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของแผนงานโครงการ เพื่อให้การลงทุนพัฒนาและบริหารจัดการน้ำและระบบชลประทานเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ประกอบด้วย 1) ความจำเป็นของโครงการที่ต้องดำเนินการเพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำ ภัยแล้งและอุทกภัย 2) ความคุ้มค่าของโครงการทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและคุณภาพชีวิต โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และ 3) ความพร้อมของโครงการและการบริหารจัดการของหน่วยงานรับผิดชอบที่ได้จัดเตรียมไว้อย่างครบถ้วนเพื่อการดำเนินโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เป้าหมายหลัก
(1) ฟื้นฟูบูรณะแหล่งน้ำขนาดเล็กนอกเขตชลประทานทั่วประเทศ โดยกำหนดเป้าหมายจำนวน 6,677 แห่งที่ต้องเร่งรัดดำเนินการให้ครบถ้วน แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 3 ปี (ปี 2552-2554)
(2) เพิ่มประสิทธิภาพระบบชลประทานเดิมและขยายพื้นที่ชลประทานใหม่ในพื้นที่ขาดแคลนน้ำ
ตามศักยภาพทางอุทกภูมิศาสตร์ของพื้นที่ โดยกำหนดเป้าหมายให้สามารถเพิ่มน้ำต้นทุนให้ได้จำนวน 4,605 ล้าน ลบ.ม. และเพิ่มพื้นที่ชลประทานให้ได้ 6.42 ล้านไร่ ภายในปี 2563 แยกเป็นการเพิ่มพื้นที่ชลประทานจำนวน 1.29 ล้านไร่ภายในปี 2554 จำนวน 0.93 ล้านไร่ ภายในปี 2559 และจำนวน 4.20 ล้านไร่ ภายในปี 2563
(3) ป้องกันและบรรเทาอุทกภัย โดยกำหนดเป้าหมายภายในปี 2554 ให้สามารถฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ำที่เสื่อมโทรมให้ได้ 1.1 ล้านไร่ ป้องกันการสูญเสียหน้าดินและพื้นที่ดินถล่มได้ 1.1 ล้านไร่ และลดความเสียหายจากอุทกภัยของชุมชนเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจหลัก 38 แห่ง ใน
17 จังหวัด
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดนายสมัคร สุนทรเวช (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 10 มิถุนายน 2551--จบ--