คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2551 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 สรุปได้ดังนี้
1. สถานะหนี้สาธารณะของประเทศ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 หนี้สาธารณะคงค้างของประเทศ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 มีจำนวนทั้งสิ้น 3,374,966.08 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 36.85 ของ GDP ประกอบด้วย หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 2,140,502.53 ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 951,525.96 ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินซึ่งรัฐบาลค้ำประกัน 95,596.37 ล้านบาท หนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 166,371.79 ล้านบาท และหนี้องค์การของรัฐอื่น 20,969.43 ล้านบาท
เมื่อเปรียบเทียบกับต้นปีงบประมาณ 2551 หนี้สาธารณะคงค้างเพิ่มขึ้น 85,886.55 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น ร้อยละ 2.61 โดยเกิดจากการที่หนี้รัฐบาลกู้โดยตรงเพิ่มขึ้น 98,087.20 ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินเพิ่มขึ้น 17,323.38 ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินซึ่งรัฐบาลค้ำประกันลดลง 6,131.17 ล้านบาท หนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ลดลง 17,569.01 ล้านบาท และหนี้องค์การของรัฐอื่นลดลง 5,823.85 ล้านบาท ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะในส่วนที่รัฐบาลกู้โดยตรงเกิดจากการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ และการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้
ส่วนหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นจากการกู้เงินเพื่อลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ต่าง ๆ ของภาครัฐ เช่น โครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Airport Link) และโครงการบ้านเอื้ออาทร เป็นต้น ส่วนการลดลงของหนี้ในรายการอื่นๆ เกิดจากการชำระหนี้ การเบิกจ่ายเงินกู้ต่ำกว่าการชำระหนี้ รวมทั้งผลจากการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น
2. ภาพรวมของผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 กระทรวงการคลังสามารถดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะได้ทั้งสิ้น 517,746.24 ล้านบาท ประกอบด้วยการก่อหนี้ใหม่ของรัฐบาล เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 91,719.73 ล้านบาท การบริหารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศของรัฐบาล จำนวน 201,980.74 ล้านบาท ได้แก่ การ Roll-over ตั๋วเงินคลังและพันธบัตรรัฐบาล รวมทั้งการกู้เงินและการบริหารหนี้เงินกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายให้ FIDF ส่วนที่เหลือเป็นการบริหารหนี้และการก่อหนี้ใหม่ของรัฐวิสาหกิจจำนวน 224,045.77 ล้านบาท ซึ่งผลจากการดำเนินงานดังกล่าวสามารถลดยอดหนี้คงค้างลงจำนวน 5,785.66 ล้านบาท และประหยัดดอกเบี้ยได้ 112 ล้านบาท
นอกจากผลการดำเนินงานตามแผนฯ ที่กล่าวมาแล้ว ยังมีการกู้เงินและบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่อยู่ภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะอีกจำนวน 27,949.90 ล้านบาท โดยเป็นการกู้เงินและบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นบริษัทมหาชนจำกัดจำนวน 20,335.33 ล้านบาท การกู้เงินระยะสั้นเพื่อเสริมสภาพคล่องในรูป Credit Line จำนวน 3,000 ล้านบาท และการ Roll-over เงินกู้ตามนโยบายรัฐบาลอีกจำนวน 4,614.57 ล้านบาท ซึ่งผลจากการดำเนินงานดังกล่าวสามารถลดยอดหนี้คงค้างลงจำนวน 7,119.91 ล้านบาท และประหยัดดอกเบี้ยได้ 146.00 ล้านบาท
3. รายละเอียดของผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551
3.1 การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ กระทรวงการคลังดำเนินการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณจำนวน 91,719.73 ล้านบาท ด้วยวิธีการดังนี้
(1) ออกพันธบัตรรัฐบาล จำนวน 6 รุ่น วงเงินรวม 46,000 ล้านบาท อายุ 5-20 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.25-5.67 ต่อปี ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2550-มกราคม 2551
(2) ออกพันธบัตรออมทรัพย์ จำนวน 6 รุ่น วงเงินรวม 2,769.73 ล้านบาท อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.40-4.40 ต่อปี เดือนละ 1 รุ่น
(3) ออกตั๋วสัญญาใช้เงินกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารแห่งโตเกียว-มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ จำกัด สาขากรุงเทพฯ และธนาคารออมสิน วงเงินรวม 25,950 ล้านบาท อายุ 2.0-3.5 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.03 -3.045 ต่อปี ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2551
(4) ออกตั๋วเงินคลัง วงเงินรวม 17,000 ล้านบาท ในเดือนมีนาคม 2551 โดยมีแผนที่จะแปลงตั๋วเงินคลังนี้ให้เป็นพันธบัตรทั้งหมดในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2551
3.2 การบริหารหนี้ในประเทศของรัฐบาล
(1) การ Roll-over ตั๋วเงินคลัง
กระทรวงการคลังออกตั๋วเงินคลังเพื่อใช้ในการบริหารเงินสดเพื่อรองรับการทำธุรกรรมการใช้จ่ายของรัฐบาลซึ่ง ณ สิ้นปีงบประมาณ 2550 มียอดวงเงินตั๋วเงินคลังหมุนเวียนในตลาด จำนวน 147,000 ล้านบาท โดยภายใต้กรอบวงเงินดังกล่าวได้รวมการกู้เงินในรูปตั๋วเงินคลังเพื่อชดเชยการขาดดุลซึ่งสะสมมาในช่วงปี 2542-2547 จำนวน 67,000 ล้านบาท ด้วย ซึ่งในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 ยังไม่ได้มีการแปลงตั๋วเงินคลังเพื่อชดเชยการขาดดุลให้เป็นพันธบัตร ทำให้ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2551 ยังคงมีตั๋วเงินคลังเพื่อการดังกล่าวหมุนเวียนอยู่ในตลาดจำนวน 147,000 ล้านบาท
(2) การ Roll-over ตั๋วสัญญาใช้เงินและพันธบัตรรัฐบาลที่ครบกำหนดชำระ
กระทรวงการคลังดำเนินการ Roll-over ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ครบกำหนดชำระเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2550 วงเงิน 5,000 ล้านบาท โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้กับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) วงเงิน 2,500 ล้านบาท และธนาคารออมสิน วงเงิน 2,500 ล้านบาท อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.05 และ 3.11 ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้กระทรวงการคลังยังได้ Roll-over พันธบัตรรัฐบาลที่ครบกำหนดชำระเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2551 วงเงิน 34,950 ล้านบาท โดยการกู้เงินระยะสั้นจากสถาบันการเงิน 5 แห่ง เพื่อชำระหนี้ในวันครบกำหนด และทยอยออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ จำนวน 4 รุ่น อายุ 5-20 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.25-5.67 ต่อปี ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2551 เพื่อนำเงินที่ได้ไปชำระคืนหนี้เงินกู้ระยะสั้นจนครบจำนวน
3.3 การบริหารและจัดการเงินกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายให้ FIDF1
กระทรวงการคลังดำเนินการ Roll-over ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ จำนวน 2 รุ่น วงเงินรุ่นละ 5,000 ล้านบาท ที่ครบกำหนดชำระในวันที่ 17 และ 24 ตุลาคม 2550 โดยกู้เงินระยะสั้นจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) วงเงิน 6,000 ล้านบาท และยืมเงินจากบัญชีเงินฝากจากเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ จำนวน 4,000 ล้านบาท รวม 10,000 ล้านบาท เพื่อนำไปชำระคืนหนี้ในวันครบกำหนด และทยอยออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ จำนวน 2 รุ่น วงเงินรุ่นละ 5,000 ล้านบาท อายุ 7.07 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5.00 ต่อปี ในเดือนพฤศจิกายน 2550 เพื่อนำเงินที่ได้ไปชำระคืนหนี้เงินกู้ระยะสั้นและเงินที่ยืมมาจากบัญชีเงินฝากจากเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้
3.4 การกู้เงินในประเทศของรัฐวิสาหกิจ
(1) เงินกู้เพื่อลงทุนในโครงการต่างๆ : รัฐวิสาหกิจ 4 แห่ง ได้ทำสัญญาเพื่อกู้เงินและออกพันธบัตรวงเงินรวม 36,987.28 ได้แก่
1) การเคหะแห่งชาติ ทำสัญญาเพื่อกู้เงินกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) วงเงิน 11,500 ล้านบาท
2) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ทำสัญญาเพื่อกู้เงินกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) วงเงิน 1,000 ล้านบาท และออกพันธบัตรวงเงิน 2,000 ล้านบาท
3) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ออกพันธบัตรวงเงิน 1,500 ล้านบาท
4) การรถไฟแห่งประเทศไทย ทำสัญญาเพื่อกู้เงินกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) วงเงิน 18,987.28 ล้านบาท และออกพันธบัตรวงเงิน 2,000 ล้านบาท
(2) เงินกู้เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน : รัฐวิสาหกิจ 2 แห่ง ได้ทำสัญญาเพื่อกู้เงินและออกพันธบัตรวงเงินรวม 4,115.94 ล้านบาท ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ทำสัญญาเพื่อกู้เงินกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) วงเงิน 3,115.94 ล้านบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ออกพันธบัตรวงเงิน 1,000 ล้านบาท
3.5 การปรับโครงสร้างหนี้ในประเทศของรัฐวิสาหกิจ
(1) รัฐวิสาหกิจ 5 แห่ง ดำเนินการ Roll-over หนี้ที่ครบกำหนดชำระให้สอดคล้องกับระยะคืนทุนของโครงการ โดยการทำสัญญาเพื่อกู้เงิน การออกตั๋วสัญญาใช้เงิน FRN (Floating Rate Note) และการออกพันธบัตรวงเงินรวม 31,787.50 ล้านบาท ได้แก่
1) การเคหะแห่งชาติ ออกพันธบัตรวงเงิน 9,300 ล้านบาท
2) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ทำสัญญาเพื่อกู้เงินกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) 1,200 ล้านบาท และออกพันธบัตรวงเงิน 5,000 ล้านบาท
3) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ทำสัญญาเพื่อกู้เงินกับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) 687.50 ล้านบาท และออกพันธบัตรวงเงิน 3,000 ล้านบาท
4) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน วงเงิน 3,000 ล้านบาท และออก FRN 3,600 ล้านบาท
5) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ออกพันธบัตรวงเงิน 6,000 ล้านบาท
(2) รัฐวิสาหกิจ 2 แห่ง ดำเนินการ Refinance โดยการปรับโครงสร้างหนี้ด้วยการออกพันธบัตรใหม่เพื่อชำระคืนหนี้เดิมวงเงินรวม 128,794.60 ล้านบาท ได้แก่
1) กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ออกพันธบัตร วงเงิน 116,794.60 ล้านบาท
2) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ออกพันธบัตรวงเงิน 12,000 ล้านบาท
3.6 การก่อหนี้จากต่างประเทศของรัฐวิสาหกิจ
(1) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยลงนามในสัญญาเงินกู้กับ JBIC เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2551 โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน วงเงิน 628.56 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า 19,876.79 ล้านบาท เพื่อใช้จ่ายในการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง บางใหญ่-ราษฎร์บูรณะ ช่วงบางใหญ่—บางซื่อ
(2) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยกู้เงินโดยการออก FRN เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2551 วงเงิน 50.00 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า 1,800.00 ล้านบาท เพื่อใช้จ่ายในโครงการระบบการชำระเงินแบบ ทวิภาคี โครงการสนับสนุนการขายสินค้าเกษตร โครงการสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนเพื่อเตรียมการส่งออกเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ โครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศเพื่อนบ้านและประเทศเป้าหมาย โครงการสนับสนุนการลงทุนในต่างประเทศและการส่งออกสินค้าทุนและบริการ และโครงการสนับสนุนกิจการพาณิชยนาวี
3.7 การบริหารหนี้ต่างประเทศของรัฐบาล
กระทรวงการคลังดำเนินการทำ Cross Currency Swap กับธนาคาร Calyon เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2551 เพื่อแปลงหนี้เงินกู้ JBIC จากหนี้สกุลเงินเยนที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ เป็นหนี้สกุลเงินบาทที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัว วงเงิน 16,426.90 ล้านเยน หรือเทียบเท่า 5,030.74 ล้านบาท
3.8 การบริหารหนี้ต่างประเทศของรัฐวิสาหกิจ
(1) การไฟฟ้านครหลวง ชำระหนี้คืนเงินกู้ธนาคาร Nordic Investment Bank ก่อนครบกำหนด เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2551 วงเงิน 750 ล้านเยน หรือเทียบเท่า 230.03 ล้านบาท
(2) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ชำระหนี้คืนเงินกู้ธนาคาร Nordic Investment Bank ก่อนครบกำหนด เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2550 วงเงิน 13.28 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า 453.63 ล้านบาท
3.9 การกู้เงินและการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นบริษัทมหาชนจำกัด
(1) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ดำเนินการกู้เงินจากธนาคาร HSH Nordbank เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2550 จำนวน 81.28 ล้านยูโร หรือเทียบเท่า 3,820.33 ล้านบาท เพื่อนำไปชำระค่าเครื่องบินโบอิ้ง B777-200 ER ลำที่ 6 และ Roll-over หนี้เงินกู้ ECP โดยการออกหุ้นกู้ในประเทศ เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2550 วงเงินรวม 7,500.00 ล้านบาท รวมทั้งชำระคืนหนี้เงินกู้ ECP โดยใช้เงินรายได้เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2551 อีกจำนวน 4,904.91 ล้านบาท
(2) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ดำเนินการออกหุ้นกู้ในประเทศ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2550 วงเงิน 8,000 ล้านบาท
(3) บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ชำระหนี้คืนเงินกู้ JBIC ก่อนครบกำหนด เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2551 วงเงิน 3,276.08 ล้านเยน หรือเทียบเท่า 1,015.00 ล้านบาท
3.10 การกู้เงินระยะสั้นเพื่อเสริมสภาพคล่องในรูป Credit Line ของรัฐวิสาหกิจ
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ดำเนินการกู้เงินระยะสั้นในรูป Credit Line จากธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2550 จำนวน 3,000 ล้านบาท
3.11 การบริหารหนี้เงินกู้เพื่อดำเนินงานตามโครงการเฉพาะกิจตามนโยบายของรัฐบาล
องค์การตลาดเพื่อเกษตรกรได้ขยายระยะเวลาการชำระหนี้เงินกู้กับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จากวันที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2550 ไปถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2551 วงเงิน 4,614.57 ล้านบาท โดยเงินกู้ดังกล่าวเป็นเงินกู้ตามโครงการรับซื้อลำไยเพื่อแปรรูปและการตลาดลำไยอบแห้ง ปี 2547
3.12 การชำระหนี้เงินกู้ผ่อนปรนจากธนาคารแห่งประเทศไทย
(1) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ชำระคืนหนี้ตามโครงการสนับสนุนทางการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการใน 6 จังหวัดภาคใต้ ที่ประสบธรณีพิบัติภัยที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 วงเงิน 1,000 ล้านบาท โดยใช้เงินรายได้
(2) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยชำระคืนหนี้ตามโครงการสนับสนุนทางการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการใน 6 จังหวัดภาคใต้ ที่ประสบธรณีพิบัติภัยที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 วงเงิน 200 ล้านบาท โดยใช้เงินรายได้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดนายสมัคร สุนทรเวช (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 10 มิถุนายน 2551--จบ--
1. สถานะหนี้สาธารณะของประเทศ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 หนี้สาธารณะคงค้างของประเทศ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 มีจำนวนทั้งสิ้น 3,374,966.08 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 36.85 ของ GDP ประกอบด้วย หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 2,140,502.53 ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 951,525.96 ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินซึ่งรัฐบาลค้ำประกัน 95,596.37 ล้านบาท หนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 166,371.79 ล้านบาท และหนี้องค์การของรัฐอื่น 20,969.43 ล้านบาท
เมื่อเปรียบเทียบกับต้นปีงบประมาณ 2551 หนี้สาธารณะคงค้างเพิ่มขึ้น 85,886.55 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น ร้อยละ 2.61 โดยเกิดจากการที่หนี้รัฐบาลกู้โดยตรงเพิ่มขึ้น 98,087.20 ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินเพิ่มขึ้น 17,323.38 ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินซึ่งรัฐบาลค้ำประกันลดลง 6,131.17 ล้านบาท หนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ลดลง 17,569.01 ล้านบาท และหนี้องค์การของรัฐอื่นลดลง 5,823.85 ล้านบาท ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะในส่วนที่รัฐบาลกู้โดยตรงเกิดจากการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ และการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้
ส่วนหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นจากการกู้เงินเพื่อลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ต่าง ๆ ของภาครัฐ เช่น โครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Airport Link) และโครงการบ้านเอื้ออาทร เป็นต้น ส่วนการลดลงของหนี้ในรายการอื่นๆ เกิดจากการชำระหนี้ การเบิกจ่ายเงินกู้ต่ำกว่าการชำระหนี้ รวมทั้งผลจากการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น
2. ภาพรวมของผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 กระทรวงการคลังสามารถดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะได้ทั้งสิ้น 517,746.24 ล้านบาท ประกอบด้วยการก่อหนี้ใหม่ของรัฐบาล เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 91,719.73 ล้านบาท การบริหารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศของรัฐบาล จำนวน 201,980.74 ล้านบาท ได้แก่ การ Roll-over ตั๋วเงินคลังและพันธบัตรรัฐบาล รวมทั้งการกู้เงินและการบริหารหนี้เงินกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายให้ FIDF ส่วนที่เหลือเป็นการบริหารหนี้และการก่อหนี้ใหม่ของรัฐวิสาหกิจจำนวน 224,045.77 ล้านบาท ซึ่งผลจากการดำเนินงานดังกล่าวสามารถลดยอดหนี้คงค้างลงจำนวน 5,785.66 ล้านบาท และประหยัดดอกเบี้ยได้ 112 ล้านบาท
นอกจากผลการดำเนินงานตามแผนฯ ที่กล่าวมาแล้ว ยังมีการกู้เงินและบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่อยู่ภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะอีกจำนวน 27,949.90 ล้านบาท โดยเป็นการกู้เงินและบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นบริษัทมหาชนจำกัดจำนวน 20,335.33 ล้านบาท การกู้เงินระยะสั้นเพื่อเสริมสภาพคล่องในรูป Credit Line จำนวน 3,000 ล้านบาท และการ Roll-over เงินกู้ตามนโยบายรัฐบาลอีกจำนวน 4,614.57 ล้านบาท ซึ่งผลจากการดำเนินงานดังกล่าวสามารถลดยอดหนี้คงค้างลงจำนวน 7,119.91 ล้านบาท และประหยัดดอกเบี้ยได้ 146.00 ล้านบาท
3. รายละเอียดของผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551
3.1 การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ กระทรวงการคลังดำเนินการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณจำนวน 91,719.73 ล้านบาท ด้วยวิธีการดังนี้
(1) ออกพันธบัตรรัฐบาล จำนวน 6 รุ่น วงเงินรวม 46,000 ล้านบาท อายุ 5-20 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.25-5.67 ต่อปี ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2550-มกราคม 2551
(2) ออกพันธบัตรออมทรัพย์ จำนวน 6 รุ่น วงเงินรวม 2,769.73 ล้านบาท อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.40-4.40 ต่อปี เดือนละ 1 รุ่น
(3) ออกตั๋วสัญญาใช้เงินกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารแห่งโตเกียว-มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ จำกัด สาขากรุงเทพฯ และธนาคารออมสิน วงเงินรวม 25,950 ล้านบาท อายุ 2.0-3.5 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.03 -3.045 ต่อปี ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2551
(4) ออกตั๋วเงินคลัง วงเงินรวม 17,000 ล้านบาท ในเดือนมีนาคม 2551 โดยมีแผนที่จะแปลงตั๋วเงินคลังนี้ให้เป็นพันธบัตรทั้งหมดในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2551
3.2 การบริหารหนี้ในประเทศของรัฐบาล
(1) การ Roll-over ตั๋วเงินคลัง
กระทรวงการคลังออกตั๋วเงินคลังเพื่อใช้ในการบริหารเงินสดเพื่อรองรับการทำธุรกรรมการใช้จ่ายของรัฐบาลซึ่ง ณ สิ้นปีงบประมาณ 2550 มียอดวงเงินตั๋วเงินคลังหมุนเวียนในตลาด จำนวน 147,000 ล้านบาท โดยภายใต้กรอบวงเงินดังกล่าวได้รวมการกู้เงินในรูปตั๋วเงินคลังเพื่อชดเชยการขาดดุลซึ่งสะสมมาในช่วงปี 2542-2547 จำนวน 67,000 ล้านบาท ด้วย ซึ่งในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 ยังไม่ได้มีการแปลงตั๋วเงินคลังเพื่อชดเชยการขาดดุลให้เป็นพันธบัตร ทำให้ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2551 ยังคงมีตั๋วเงินคลังเพื่อการดังกล่าวหมุนเวียนอยู่ในตลาดจำนวน 147,000 ล้านบาท
(2) การ Roll-over ตั๋วสัญญาใช้เงินและพันธบัตรรัฐบาลที่ครบกำหนดชำระ
กระทรวงการคลังดำเนินการ Roll-over ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ครบกำหนดชำระเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2550 วงเงิน 5,000 ล้านบาท โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้กับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) วงเงิน 2,500 ล้านบาท และธนาคารออมสิน วงเงิน 2,500 ล้านบาท อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.05 และ 3.11 ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้กระทรวงการคลังยังได้ Roll-over พันธบัตรรัฐบาลที่ครบกำหนดชำระเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2551 วงเงิน 34,950 ล้านบาท โดยการกู้เงินระยะสั้นจากสถาบันการเงิน 5 แห่ง เพื่อชำระหนี้ในวันครบกำหนด และทยอยออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ จำนวน 4 รุ่น อายุ 5-20 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.25-5.67 ต่อปี ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2551 เพื่อนำเงินที่ได้ไปชำระคืนหนี้เงินกู้ระยะสั้นจนครบจำนวน
3.3 การบริหารและจัดการเงินกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายให้ FIDF1
กระทรวงการคลังดำเนินการ Roll-over ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ จำนวน 2 รุ่น วงเงินรุ่นละ 5,000 ล้านบาท ที่ครบกำหนดชำระในวันที่ 17 และ 24 ตุลาคม 2550 โดยกู้เงินระยะสั้นจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) วงเงิน 6,000 ล้านบาท และยืมเงินจากบัญชีเงินฝากจากเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ จำนวน 4,000 ล้านบาท รวม 10,000 ล้านบาท เพื่อนำไปชำระคืนหนี้ในวันครบกำหนด และทยอยออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ จำนวน 2 รุ่น วงเงินรุ่นละ 5,000 ล้านบาท อายุ 7.07 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5.00 ต่อปี ในเดือนพฤศจิกายน 2550 เพื่อนำเงินที่ได้ไปชำระคืนหนี้เงินกู้ระยะสั้นและเงินที่ยืมมาจากบัญชีเงินฝากจากเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้
3.4 การกู้เงินในประเทศของรัฐวิสาหกิจ
(1) เงินกู้เพื่อลงทุนในโครงการต่างๆ : รัฐวิสาหกิจ 4 แห่ง ได้ทำสัญญาเพื่อกู้เงินและออกพันธบัตรวงเงินรวม 36,987.28 ได้แก่
1) การเคหะแห่งชาติ ทำสัญญาเพื่อกู้เงินกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) วงเงิน 11,500 ล้านบาท
2) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ทำสัญญาเพื่อกู้เงินกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) วงเงิน 1,000 ล้านบาท และออกพันธบัตรวงเงิน 2,000 ล้านบาท
3) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ออกพันธบัตรวงเงิน 1,500 ล้านบาท
4) การรถไฟแห่งประเทศไทย ทำสัญญาเพื่อกู้เงินกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) วงเงิน 18,987.28 ล้านบาท และออกพันธบัตรวงเงิน 2,000 ล้านบาท
(2) เงินกู้เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน : รัฐวิสาหกิจ 2 แห่ง ได้ทำสัญญาเพื่อกู้เงินและออกพันธบัตรวงเงินรวม 4,115.94 ล้านบาท ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ทำสัญญาเพื่อกู้เงินกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) วงเงิน 3,115.94 ล้านบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ออกพันธบัตรวงเงิน 1,000 ล้านบาท
3.5 การปรับโครงสร้างหนี้ในประเทศของรัฐวิสาหกิจ
(1) รัฐวิสาหกิจ 5 แห่ง ดำเนินการ Roll-over หนี้ที่ครบกำหนดชำระให้สอดคล้องกับระยะคืนทุนของโครงการ โดยการทำสัญญาเพื่อกู้เงิน การออกตั๋วสัญญาใช้เงิน FRN (Floating Rate Note) และการออกพันธบัตรวงเงินรวม 31,787.50 ล้านบาท ได้แก่
1) การเคหะแห่งชาติ ออกพันธบัตรวงเงิน 9,300 ล้านบาท
2) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ทำสัญญาเพื่อกู้เงินกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) 1,200 ล้านบาท และออกพันธบัตรวงเงิน 5,000 ล้านบาท
3) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ทำสัญญาเพื่อกู้เงินกับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) 687.50 ล้านบาท และออกพันธบัตรวงเงิน 3,000 ล้านบาท
4) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน วงเงิน 3,000 ล้านบาท และออก FRN 3,600 ล้านบาท
5) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ออกพันธบัตรวงเงิน 6,000 ล้านบาท
(2) รัฐวิสาหกิจ 2 แห่ง ดำเนินการ Refinance โดยการปรับโครงสร้างหนี้ด้วยการออกพันธบัตรใหม่เพื่อชำระคืนหนี้เดิมวงเงินรวม 128,794.60 ล้านบาท ได้แก่
1) กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ออกพันธบัตร วงเงิน 116,794.60 ล้านบาท
2) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ออกพันธบัตรวงเงิน 12,000 ล้านบาท
3.6 การก่อหนี้จากต่างประเทศของรัฐวิสาหกิจ
(1) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยลงนามในสัญญาเงินกู้กับ JBIC เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2551 โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน วงเงิน 628.56 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า 19,876.79 ล้านบาท เพื่อใช้จ่ายในการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง บางใหญ่-ราษฎร์บูรณะ ช่วงบางใหญ่—บางซื่อ
(2) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยกู้เงินโดยการออก FRN เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2551 วงเงิน 50.00 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า 1,800.00 ล้านบาท เพื่อใช้จ่ายในโครงการระบบการชำระเงินแบบ ทวิภาคี โครงการสนับสนุนการขายสินค้าเกษตร โครงการสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนเพื่อเตรียมการส่งออกเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ โครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศเพื่อนบ้านและประเทศเป้าหมาย โครงการสนับสนุนการลงทุนในต่างประเทศและการส่งออกสินค้าทุนและบริการ และโครงการสนับสนุนกิจการพาณิชยนาวี
3.7 การบริหารหนี้ต่างประเทศของรัฐบาล
กระทรวงการคลังดำเนินการทำ Cross Currency Swap กับธนาคาร Calyon เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2551 เพื่อแปลงหนี้เงินกู้ JBIC จากหนี้สกุลเงินเยนที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ เป็นหนี้สกุลเงินบาทที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัว วงเงิน 16,426.90 ล้านเยน หรือเทียบเท่า 5,030.74 ล้านบาท
3.8 การบริหารหนี้ต่างประเทศของรัฐวิสาหกิจ
(1) การไฟฟ้านครหลวง ชำระหนี้คืนเงินกู้ธนาคาร Nordic Investment Bank ก่อนครบกำหนด เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2551 วงเงิน 750 ล้านเยน หรือเทียบเท่า 230.03 ล้านบาท
(2) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ชำระหนี้คืนเงินกู้ธนาคาร Nordic Investment Bank ก่อนครบกำหนด เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2550 วงเงิน 13.28 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า 453.63 ล้านบาท
3.9 การกู้เงินและการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นบริษัทมหาชนจำกัด
(1) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ดำเนินการกู้เงินจากธนาคาร HSH Nordbank เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2550 จำนวน 81.28 ล้านยูโร หรือเทียบเท่า 3,820.33 ล้านบาท เพื่อนำไปชำระค่าเครื่องบินโบอิ้ง B777-200 ER ลำที่ 6 และ Roll-over หนี้เงินกู้ ECP โดยการออกหุ้นกู้ในประเทศ เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2550 วงเงินรวม 7,500.00 ล้านบาท รวมทั้งชำระคืนหนี้เงินกู้ ECP โดยใช้เงินรายได้เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2551 อีกจำนวน 4,904.91 ล้านบาท
(2) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ดำเนินการออกหุ้นกู้ในประเทศ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2550 วงเงิน 8,000 ล้านบาท
(3) บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ชำระหนี้คืนเงินกู้ JBIC ก่อนครบกำหนด เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2551 วงเงิน 3,276.08 ล้านเยน หรือเทียบเท่า 1,015.00 ล้านบาท
3.10 การกู้เงินระยะสั้นเพื่อเสริมสภาพคล่องในรูป Credit Line ของรัฐวิสาหกิจ
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ดำเนินการกู้เงินระยะสั้นในรูป Credit Line จากธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2550 จำนวน 3,000 ล้านบาท
3.11 การบริหารหนี้เงินกู้เพื่อดำเนินงานตามโครงการเฉพาะกิจตามนโยบายของรัฐบาล
องค์การตลาดเพื่อเกษตรกรได้ขยายระยะเวลาการชำระหนี้เงินกู้กับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จากวันที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2550 ไปถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2551 วงเงิน 4,614.57 ล้านบาท โดยเงินกู้ดังกล่าวเป็นเงินกู้ตามโครงการรับซื้อลำไยเพื่อแปรรูปและการตลาดลำไยอบแห้ง ปี 2547
3.12 การชำระหนี้เงินกู้ผ่อนปรนจากธนาคารแห่งประเทศไทย
(1) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ชำระคืนหนี้ตามโครงการสนับสนุนทางการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการใน 6 จังหวัดภาคใต้ ที่ประสบธรณีพิบัติภัยที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 วงเงิน 1,000 ล้านบาท โดยใช้เงินรายได้
(2) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยชำระคืนหนี้ตามโครงการสนับสนุนทางการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการใน 6 จังหวัดภาคใต้ ที่ประสบธรณีพิบัติภัยที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 วงเงิน 200 ล้านบาท โดยใช้เงินรายได้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดนายสมัคร สุนทรเวช (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 10 มิถุนายน 2551--จบ--