คณะรัฐมนตรีรับทราบแนวทางแก้ไขปัญหาปุ๋ยเคมีราคาแพงตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
1. ปริมาณปุ๋ยคงเหลือของผู้ประกอบการ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 จำนวน 660,900.66 ตัน ซึ่งคาดว่าจะมีเพียงพอแก่การจำหน่าย
2. ความต้องการใช้ปุ๋ยของเกษตรกรในช่วงฤดูกาลเพาะปลูกข้าวและพืชอื่น ๆ เดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2551 ซึ่งมีปริมาณการใช้ประมาณเดือนละ 300,000-400,000 ตัน
กระทรวงพาณิชย์รายงานว่า
1. คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ กำหนดให้ปุ๋ยเคมีเป็นสินค้าควบคุมและกำหนดมาตรการทางกฎหมายให้ผู้ผลิต ผู้ว่าจ้างผลิต ผู้นำเข้า แจ้งราคาและรายละเอียดล่วงหน้า และห้ามเปลี่ยนแปลงก่อนได้รับอนุญาต
2. จากสถานการณ์ที่ราคาปุ๋ยเคมีในตลาดโลกสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาจำหน่ายในประเทศสูงขึ้นตามไปด้วย แม้ว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นแต่เป็นอัตราที่น้อยกว่าและเป็นที่เกรงว่าจะเกิดการขาดแคลนปุ๋ยในช่วงฤดูการผลิตที่จะถึงนี้ ในชั้นนี้กระทรวงพาณิชย์จึงได้กำหนดมาตรการดูแลราคาสินค้าปุ๋ยเคมีเพิ่มเติม โดย
(1) ได้ออกประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ กำหนดให้ผู้ผลิต ผู้ว่าจ้างผลิต ผู้นำเข้า หรือผู้จำหน่ายที่มีปริมาณจำหน่ายปุ๋ยเคมีเดือนละ 100 ตันขึ้นไป แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บสินค้าทุกวันสิ้นเดือนภายในวันที่ 10 ของเดือนถัดไป เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 เป็นต้นไป เพื่อให้ทราบปริมาณปุ๋ยที่มีอยู่แต่ละเดือน ซึ่งได้ประสานกับกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขอทราบทำเนียบผู้ประกอบการปุ๋ยเคมีที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้เพื่อให้แจ้งปริมาณปุ๋ยเคมี ปรากฏว่า มีผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้จำหน่ายที่อยู่ในหลักเกณฑ์ตามประกาศแจ้งปริมาณปุ๋ยเคมีในเดือนมีนาคม 2551 โดยมีปริมาณคงเหลือ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 จำนวน 660,900.66 ตัน ซึ่งเป็นปริมาณที่เพียงพอใช้ในช่วงเดือนต่อไป
(2) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาราคาปุ๋ยเคมี มีอธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นประธาน และอนุกรรมการประกอบด้วยหน่วยงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และภาคเกษตรกร มีหน้าที่ติดตามภาวะการค้า สถานการณ์วัตถุดิบ ต้นทุนและราคาจำหน่ายปุ๋ยเคมี รวมทั้งปริมาณและความต้องการใช้ เพื่อให้ปุ๋ยเคมีที่จำหน่ายให้แก่เกษตรกรมีราคาที่เหมาะสม เป็นธรรม และมีปริมาณเพียงพอ
(3) ขอความร่วมมือผู้ประกอบการให้ลดราคาจำหน่ายปุ๋ยเคมี มีผู้ประกอบการ 9 ราย ให้ความร่วมมือลดราคา ณ โรงงานปุ๋ยเคมี 200-1,000 บาท/ตัน ปริมาณรวม 153,500 ตัน คิดเป็นร้อยละ 9.03 ของความต้องการใช้ปุ๋ยเคมี 1.7 ล้านตัน ในช่วงฤดูการผลิตนี้ (เมษายน-มิถุนายน 2551) หรือคิดเป็นร้อยละ 38.38 เมื่อเทียบกับความต้องการใช้ในเดือนเมษายน 2551 ที่มีปริมาณ 300,000-400,000 ตัน คิดเป็นมูลค่าที่ลดจำนวน 79.50 ล้านบาท และได้ประสานกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้รวบรวมความต้องการใช้ปุ๋ย คัดเลือกและจัดสรรให้สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่จะเข้าร่วมโครงการลดราคาปุ๋ยเคมี โดยได้กำหนดหลักเกณฑ์การจัดจำหน่ายปุ๋ยเคมีตามโครงการ คือ จัดสรรให้เกษตรกรรายย่อยที่มีพื้นที่เพาะปลูกไม่เกิน 10 ไร่ ก่อนเป็นลำดับแรก ปุ๋ยเคมีตามโครงการนี้จะมีสัญลักษณ์แตกต่าง
ทั้งนี้ ปริมาณปุ๋ยเคมีที่จัดสรรแล้วทั้งสิ้น 110,258.40 ตัน คงเหลือที่อยู่ระหว่างดำเนินการ 43,241.60 ตัน และผู้ประกอบการได้เริ่มจำหน่ายปุ๋ยเคมีแก่สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรตามโครงการ ตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน 2551
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดนายสมัคร สุนทรเวช (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 10 มิถุนายน 2551--จบ--
1. ปริมาณปุ๋ยคงเหลือของผู้ประกอบการ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 จำนวน 660,900.66 ตัน ซึ่งคาดว่าจะมีเพียงพอแก่การจำหน่าย
2. ความต้องการใช้ปุ๋ยของเกษตรกรในช่วงฤดูกาลเพาะปลูกข้าวและพืชอื่น ๆ เดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2551 ซึ่งมีปริมาณการใช้ประมาณเดือนละ 300,000-400,000 ตัน
กระทรวงพาณิชย์รายงานว่า
1. คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ กำหนดให้ปุ๋ยเคมีเป็นสินค้าควบคุมและกำหนดมาตรการทางกฎหมายให้ผู้ผลิต ผู้ว่าจ้างผลิต ผู้นำเข้า แจ้งราคาและรายละเอียดล่วงหน้า และห้ามเปลี่ยนแปลงก่อนได้รับอนุญาต
2. จากสถานการณ์ที่ราคาปุ๋ยเคมีในตลาดโลกสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาจำหน่ายในประเทศสูงขึ้นตามไปด้วย แม้ว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นแต่เป็นอัตราที่น้อยกว่าและเป็นที่เกรงว่าจะเกิดการขาดแคลนปุ๋ยในช่วงฤดูการผลิตที่จะถึงนี้ ในชั้นนี้กระทรวงพาณิชย์จึงได้กำหนดมาตรการดูแลราคาสินค้าปุ๋ยเคมีเพิ่มเติม โดย
(1) ได้ออกประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ กำหนดให้ผู้ผลิต ผู้ว่าจ้างผลิต ผู้นำเข้า หรือผู้จำหน่ายที่มีปริมาณจำหน่ายปุ๋ยเคมีเดือนละ 100 ตันขึ้นไป แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บสินค้าทุกวันสิ้นเดือนภายในวันที่ 10 ของเดือนถัดไป เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 เป็นต้นไป เพื่อให้ทราบปริมาณปุ๋ยที่มีอยู่แต่ละเดือน ซึ่งได้ประสานกับกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขอทราบทำเนียบผู้ประกอบการปุ๋ยเคมีที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้เพื่อให้แจ้งปริมาณปุ๋ยเคมี ปรากฏว่า มีผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้จำหน่ายที่อยู่ในหลักเกณฑ์ตามประกาศแจ้งปริมาณปุ๋ยเคมีในเดือนมีนาคม 2551 โดยมีปริมาณคงเหลือ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 จำนวน 660,900.66 ตัน ซึ่งเป็นปริมาณที่เพียงพอใช้ในช่วงเดือนต่อไป
(2) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาราคาปุ๋ยเคมี มีอธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นประธาน และอนุกรรมการประกอบด้วยหน่วยงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และภาคเกษตรกร มีหน้าที่ติดตามภาวะการค้า สถานการณ์วัตถุดิบ ต้นทุนและราคาจำหน่ายปุ๋ยเคมี รวมทั้งปริมาณและความต้องการใช้ เพื่อให้ปุ๋ยเคมีที่จำหน่ายให้แก่เกษตรกรมีราคาที่เหมาะสม เป็นธรรม และมีปริมาณเพียงพอ
(3) ขอความร่วมมือผู้ประกอบการให้ลดราคาจำหน่ายปุ๋ยเคมี มีผู้ประกอบการ 9 ราย ให้ความร่วมมือลดราคา ณ โรงงานปุ๋ยเคมี 200-1,000 บาท/ตัน ปริมาณรวม 153,500 ตัน คิดเป็นร้อยละ 9.03 ของความต้องการใช้ปุ๋ยเคมี 1.7 ล้านตัน ในช่วงฤดูการผลิตนี้ (เมษายน-มิถุนายน 2551) หรือคิดเป็นร้อยละ 38.38 เมื่อเทียบกับความต้องการใช้ในเดือนเมษายน 2551 ที่มีปริมาณ 300,000-400,000 ตัน คิดเป็นมูลค่าที่ลดจำนวน 79.50 ล้านบาท และได้ประสานกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้รวบรวมความต้องการใช้ปุ๋ย คัดเลือกและจัดสรรให้สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่จะเข้าร่วมโครงการลดราคาปุ๋ยเคมี โดยได้กำหนดหลักเกณฑ์การจัดจำหน่ายปุ๋ยเคมีตามโครงการ คือ จัดสรรให้เกษตรกรรายย่อยที่มีพื้นที่เพาะปลูกไม่เกิน 10 ไร่ ก่อนเป็นลำดับแรก ปุ๋ยเคมีตามโครงการนี้จะมีสัญลักษณ์แตกต่าง
ทั้งนี้ ปริมาณปุ๋ยเคมีที่จัดสรรแล้วทั้งสิ้น 110,258.40 ตัน คงเหลือที่อยู่ระหว่างดำเนินการ 43,241.60 ตัน และผู้ประกอบการได้เริ่มจำหน่ายปุ๋ยเคมีแก่สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรตามโครงการ ตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน 2551
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดนายสมัคร สุนทรเวช (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 10 มิถุนายน 2551--จบ--