คณะรัฐมนตรีเห็นชอบเกี่ยวกับการคำนวณสิทธิประโยชน์ที่เป็นเงินก้อนสำหรับข้าราชการครูและข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาที่ลาออกจากราชการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด) ตามมติคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อกำกับการดำเนินการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ ครั้งที่ 2/2550 วันที่ 12 กันยายน 2550 และครั้งที่ 3/2550 วันที่ 20 ธันวาคม 2550 ตามที่รองเลขาธิการ ก.พ. (นางเบญจวรรณ สร่างนิทร) กรรมการและเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบให้ข้าราชการครูผู้ลาออกจากราชการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการคำนวณเงินวิทยฐานะเช่นเดียวกับเงินประจำตำแหน่งในการคำนวณสิทธิประโยชน์ที่เป็นเงินก้อน
2. เห็นชอบให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา คำนวณเงินประจำตำแหน่งในอัตราสูงสุดเพียงอัตราเดียว
ฝ่ายเลขานุการ คปร. รายงานว่า
1. คปร. ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อกำกับการดำเนินการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการขึ้นโดยมีหน้าที่พิจารณารายละเอียดมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการและกำกับ ติดตามการดำเนินโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด
2. การกำหนดสิทธิประโยชน์ที่เป็นเงินก้อนสำหรับผู้ลาออกจากราชการตามมาตรการฯ พิจารณาจากเงินประจำตำแหน่งตามพระราชบัญญัติเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ. 2538 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และเนื่องจากการปฏิรูปการศึกษาส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงเงินประจำตำแหน่งสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กำหนดให้ข้าราชการครูได้รับเงินวิทยฐานะไม่ใช่เงินประจำตำแหน่ง ทำให้ข้าราชการครูผู้ลาออกจากราชการตามมาตรการฯ จะได้สิทธิประโยชน์ที่เป็นเงินก้อนซึ่งคำนวณจากเงินเดือนเท่านั้น ประกอบกับพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 26 กำหนดให้ข้าราชการผู้ได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทผู้บริหารได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทวิชาการตามตำแหน่งวิชาการที่ตนครองอยู่ด้วย กระทรวงศึกษาธิการจึงขอหารือว่าการคำนวณสิทธิประโยชน์ที่เป็นเงินก้อน (เงินเดือนรวมเงินประจำตำแหน่ง X อายุราชการที่เหลือ) จะคำนวณเงินประจำตำแหน่งทั้งสองทางหรือไม่
3. คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อกำกับการดำเนินการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของ ส่วนราชการในการประชุมครั้งที่ 2/2550 วันที่ 12 กันยายน 2550 และในการประชุมครั้งที่ 3/2550 วันที่ 20 ธันวาคม 2550 พิจารณาในประเด็นดังกล่าวแล้ว มีมติดังนี้
3.1 เนื่องจากสิทธิประโยชน์ตามมาตรการฯ ครอบคลุมเงินประจำตำแหน่งตามพระราชบัญญัติเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง
พ.ศ. 2538 และข้าราชการครูตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 จะได้รับเงินวิทยฐานะ ซึ่งกำหนดไว้ในลักษณะเดียวกับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการประเภทอื่น ดังนั้น เพื่อมิให้เกิดความเหลื่อมล้ำกับข้าราชการประเภทอื่น จึงเห็นควรให้คำนวณรวมเงินวิทยฐานะในสิทธิประโยชน์ที่เป็นเงินก้อน ทั้งนี้ จะต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป
3.2 เงินประจำตำแหน่งที่นำมาคำนวณเงินก้อนตามมติคณะรัฐมนตรีหมายถึง เงินประจำตำแหน่งตามพระราชบัญญัติเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ. 2538 ซึ่งพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการและผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารซึ่งไม่เป็นข้าราชการ
พ.ศ. 2538 กำหนดให้ข้าราชการได้รับเงินประจำตำแหน่งในอัตราสูงสุดเพียงอัตราเดียว อัตราเงินประจำตำแหน่งที่ใช้ในการคำนวณเงินก้อน จึงเป็นอัตราสูงสุดเพียงอัตราเดียว ในกรณีของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาจึงควรยึดหลักการเดียวกันกับพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งฯ โดยให้คำนวณเงินประจำตำแหน่งในอัตราสูงสุดเพียงอัตราเดียว และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดนายสมัคร สุนทรเวช (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 10 มิถุนายน 2551--จบ--
1. เห็นชอบให้ข้าราชการครูผู้ลาออกจากราชการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการคำนวณเงินวิทยฐานะเช่นเดียวกับเงินประจำตำแหน่งในการคำนวณสิทธิประโยชน์ที่เป็นเงินก้อน
2. เห็นชอบให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา คำนวณเงินประจำตำแหน่งในอัตราสูงสุดเพียงอัตราเดียว
ฝ่ายเลขานุการ คปร. รายงานว่า
1. คปร. ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อกำกับการดำเนินการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการขึ้นโดยมีหน้าที่พิจารณารายละเอียดมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการและกำกับ ติดตามการดำเนินโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด
2. การกำหนดสิทธิประโยชน์ที่เป็นเงินก้อนสำหรับผู้ลาออกจากราชการตามมาตรการฯ พิจารณาจากเงินประจำตำแหน่งตามพระราชบัญญัติเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ. 2538 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และเนื่องจากการปฏิรูปการศึกษาส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงเงินประจำตำแหน่งสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กำหนดให้ข้าราชการครูได้รับเงินวิทยฐานะไม่ใช่เงินประจำตำแหน่ง ทำให้ข้าราชการครูผู้ลาออกจากราชการตามมาตรการฯ จะได้สิทธิประโยชน์ที่เป็นเงินก้อนซึ่งคำนวณจากเงินเดือนเท่านั้น ประกอบกับพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 26 กำหนดให้ข้าราชการผู้ได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทผู้บริหารได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทวิชาการตามตำแหน่งวิชาการที่ตนครองอยู่ด้วย กระทรวงศึกษาธิการจึงขอหารือว่าการคำนวณสิทธิประโยชน์ที่เป็นเงินก้อน (เงินเดือนรวมเงินประจำตำแหน่ง X อายุราชการที่เหลือ) จะคำนวณเงินประจำตำแหน่งทั้งสองทางหรือไม่
3. คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อกำกับการดำเนินการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของ ส่วนราชการในการประชุมครั้งที่ 2/2550 วันที่ 12 กันยายน 2550 และในการประชุมครั้งที่ 3/2550 วันที่ 20 ธันวาคม 2550 พิจารณาในประเด็นดังกล่าวแล้ว มีมติดังนี้
3.1 เนื่องจากสิทธิประโยชน์ตามมาตรการฯ ครอบคลุมเงินประจำตำแหน่งตามพระราชบัญญัติเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง
พ.ศ. 2538 และข้าราชการครูตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 จะได้รับเงินวิทยฐานะ ซึ่งกำหนดไว้ในลักษณะเดียวกับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการประเภทอื่น ดังนั้น เพื่อมิให้เกิดความเหลื่อมล้ำกับข้าราชการประเภทอื่น จึงเห็นควรให้คำนวณรวมเงินวิทยฐานะในสิทธิประโยชน์ที่เป็นเงินก้อน ทั้งนี้ จะต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป
3.2 เงินประจำตำแหน่งที่นำมาคำนวณเงินก้อนตามมติคณะรัฐมนตรีหมายถึง เงินประจำตำแหน่งตามพระราชบัญญัติเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ. 2538 ซึ่งพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการและผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารซึ่งไม่เป็นข้าราชการ
พ.ศ. 2538 กำหนดให้ข้าราชการได้รับเงินประจำตำแหน่งในอัตราสูงสุดเพียงอัตราเดียว อัตราเงินประจำตำแหน่งที่ใช้ในการคำนวณเงินก้อน จึงเป็นอัตราสูงสุดเพียงอัตราเดียว ในกรณีของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาจึงควรยึดหลักการเดียวกันกับพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งฯ โดยให้คำนวณเงินประจำตำแหน่งในอัตราสูงสุดเพียงอัตราเดียว และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดนายสมัคร สุนทรเวช (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 10 มิถุนายน 2551--จบ--