คณะรัฐมนตรีรับทราบมาตรการระยะสั้นเพื่อลดความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามที่คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติเสนอ โดยแบ่งได้ 5 ด้านคือ
มาตรการรูปธรรมเหล่านี้แบ่งได้เป็น 5 ด้านคือ
ด้านหลักรัฐประศาสโนบาย
1. อาศัยพระบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่เคยทรงกำหนดไว้สำหรับมณฑลปัตตานีเป็นการเฉพาะเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2466 เป็นแนวทางกำกับการปฏิบัติราชการแผ่นดินในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับทุกข์สุขของราษฎรส่วนใหญ่ผู้มีวัฒนธรรมแตกต่างออกไป ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยข้าราชการที่มี "นิสัยสัตย์ซื่อ สุจริต สงบเสงี่ยมเยือกเย็น" ไม่เบียดเบียนราษฎร ไม่ทำการใดให้ประชาชนในท้องที่เห็นว่าพวกเขาถูกกดขี่ ไม่มีสุขเปรียบเทียบกับผู้อื่นในบ้านเมืองอื่นได้ ในทางปฏิบัติที่ผ่านมาได้มีการย้ายคนดี คนสุจริต และรู้ปัญหาออกจากพื้นที่ ในขณะเดียวกันกลับส่งเสริมและสนับสนุนข้าราชการที่มีพฤติกรรมใช้ความรุนแรง ไม่ให้เกียรติและรังแกผู้คน ซึ่งเป็นการดำเนินงานที่สวนทางกับหลักรัฐประศาสโนบายของล้นเกล้าฯ รัชการที่ 6 โดยตรง
ด้านมาตรการจัดการระบบยุติธรรมระดับชาติ
2. จัดตั้งคณะกรรมการระดับชาติในการดำเนินกระบวนการยุติธรรม มีหน้าที่ตรวจสอบคดีความและติดตามความคืบหน้าในการดำเนินคดีในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ 4 มกราคม 2547 เป็นต้นมา เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้ต้องหา เสริมความไว้วางใจของสาธารณชนต่อกระบวนการยุติธรรมไทย ผ่านหลักประกันการใช้อำนาจรัฐตามกฎหมาย
3. เปิดโอกาสให้ประชาชนผู้ถูกจับกุมและควบคุมตัวตามมาตรา 11 (1) ของพระราชกำหนดฯ ได้พบกับทนายของตนและได้รับความช่วยเหลือแนะนำจากทนายภายในเวลา 48 ชั่วโมง เพื่อธำรงรักษากระบวนการยุติธรรมไทยไว้ให้ได้ท่ามกลางสถานการณ์รุนแรง
4. นำกระบวนการนิติวิทยาศาสตร์มาใช้ในการสืบสวน สอบสวน ตรวจพิสูจน์ข้อเท็จจริงและ พยานหลักฐาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ขีดความสามารถในการดำเนินคดีของรัฐ สร้างความโปร่งใสและเป็นธรรมให้เกิดกับประชาชนทุกหมู่เหล่า
ด้านมาตรการลดความรุนแรงในพื้นที่โดยตรง
5. ในคณะกรรมการของรัฐบาลซึ่งทำหน้าที่กำหนดมาตรการลดความรุนแรงเฉพาะหน้า ให้ผู้แทนของผู้นำท้องถิ่นและผู้นำศาสนาทั้งอิสลามและพุทธเข้าร่วมเป็นกรรมการร่วมกำหนดนโยบายและทิศทาง เพื่อให้ฝ่ายรัฐได้รับความรู้ที่จำเป็นว่าผู้คนในท้องถิ่นคิดเห็นอย่างไร อีกทั้งยังจะได้เป็นสื่อกลางระหว่างผู้บังคับใช้พระราชกำหนดฯ และประชาชนด้วย
6. ให้ถือว่าปืนทุกชนิดเป็นอาวุธผิดกฎหมายในบริเวณสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และไม่ให้อยู่ในครอบครองของสาธารณชน เว้นแต่จะอยู่ในมือของเจ้าหน้าที่ซึ่งมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยตามกฎหมายคือทหารและตำรวจของรัฐเท่านั้น อันน่าจะลดความรุนแรงในพื้นที่ได้บ้าง อีกทั้งยังจะทำให้อาวุธอยู่แต่เฉพาะในมือของผู้ที่ต้องใช้อาวุธในกำกับของความรับผิดชอบตามกฎหมายเท่านั้น
7. ให้มีการติดตั้งโทรทัศน์วงจรปิดในที่สาธารณะให้ทั่วเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้ง 3 จังหวัด เพื่อให้ได้หลักฐานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้ก่อการร้ายแรงเอาชีวิตผู้บริสุทธิ์ในขณะนี้
8. จัดระบบแบ่งเขตพื้นที่ (zoning) ให้แหล่งอบายมุขอยู่ห่างจากเขตชุมชน ศาสนาสถาน สถานศึกษา และแหล่งหย่อนใจของเยาวชน เพราะแหล่งอบายมุขเหล่านี้กลายเป็นเป้าของความรุนแรงตลอดมา โดยควรเปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนสำคัญในการกำหนดเขตดังกล่าวร่วมกับภาครัฐ
มาตรการระดับชุมชน
9. จัดกลุ่มชุมชนแถลงข่าวในพื้นที่ แสดงความจริงและการรับรู้ของชุมชนให้ประจักษ์ในกรณีที่เกิดความรุนแรงขึ้น โดยอาศัยสถาบันธรรมชาติเป็นเวทีเช่น ร้านน้ำชาประจำหมู่บ้านเพื่อลดภัยที่เกิดจากข่าวลือ
10. จัดตั้งชุดคุ้มครองหมู่บ้านเป็นหน่วยรากแก้ว ประกอบด้วย ฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ และอาสาสมัครรักษาดินแดนเพื่อสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของหน่วยงานรัฐระดับพื้นที่ เป็นชุดพัฒนาออกพบปะเยี่ยมเยียนชาวบ้าน ลาดตระเวนรักษาความสงบเรียบร้อยภายในหมู่บ้านเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ความไว้วางใจ ระหว่างรัฐกับประชาชนซึ่งจะส่งผลต่องานการข่าว การรักษาความสงบเรียบร้อย และลดเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ระดับหมู่บ้าน
11. จัดให้มีคณะกรรมการสันติสุขชุมชน อันประกอบด้วย ผู้นำชุมชนเช่น อิหม่ามประจำมัสยิด โต๊ะครู กำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน นายก อบต./สมาชิก อบต. ปลัดประจำตำบล/ครู/เจ้าหน้าที่สถานีอนามัยตำบล ตลอดจนทหารและตำรวจ
12. ให้ความสำคัญกับนักศึกษา ในการรณรงค์เผยแพร่แนวคิดสันติวิธี พยายามส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหมู่พวกเข้าโดยปราศจากการบีบบังคับคุกคาม พึงหลีกเหลี่ยงการปฏิบัตินักศึกษาในทางลบ คือไม่เข้าสอบสวน จับกุมนักศึกษาในสถาบันการศึกษาโดยไม่มีคณาจารย์ของสถาบันการศึกษาเหล่านั้นเป็นพยานอยู่ด้วย
มาตรการรักษาความปลอดภัยสำหรับครู
13. ทุกโรงเรียนทั้งที่เป็นโรงเรียนสอนศาสนาและโรงเรียนของรัฐควรมีระบบเตือนภัย ระบบป้องกันภัย เปิดไฟส่องสว่างตลอดเวลากลางคืนและเครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัย สามารถประสานงานกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ทันทีที่เกิดเหตุร้ายขึ้น
14. เปิดโอกาสให้ครูในพื้นที่มีส่วนสำคัญในการกำหนดระบบรักษาความปลอดภัยให้แก่โรงเรียนและครู การตัดสินใจเปิดหรือปิดโรงเรียน หรือการเคลื่อนย้ายเด็กนักเรียน ให้เป็นผลของการปรึกษาหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานความมั่นคง ฝ่ายปกครองและโรงเรียน ขอให้ฝ่ายบ้านเมืองเห็นความสำคัญของครู ให้เกียรติครูตามที่สมควร
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 26 กรกฎาคม 2548--จบ--
มาตรการรูปธรรมเหล่านี้แบ่งได้เป็น 5 ด้านคือ
ด้านหลักรัฐประศาสโนบาย
1. อาศัยพระบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่เคยทรงกำหนดไว้สำหรับมณฑลปัตตานีเป็นการเฉพาะเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2466 เป็นแนวทางกำกับการปฏิบัติราชการแผ่นดินในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับทุกข์สุขของราษฎรส่วนใหญ่ผู้มีวัฒนธรรมแตกต่างออกไป ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยข้าราชการที่มี "นิสัยสัตย์ซื่อ สุจริต สงบเสงี่ยมเยือกเย็น" ไม่เบียดเบียนราษฎร ไม่ทำการใดให้ประชาชนในท้องที่เห็นว่าพวกเขาถูกกดขี่ ไม่มีสุขเปรียบเทียบกับผู้อื่นในบ้านเมืองอื่นได้ ในทางปฏิบัติที่ผ่านมาได้มีการย้ายคนดี คนสุจริต และรู้ปัญหาออกจากพื้นที่ ในขณะเดียวกันกลับส่งเสริมและสนับสนุนข้าราชการที่มีพฤติกรรมใช้ความรุนแรง ไม่ให้เกียรติและรังแกผู้คน ซึ่งเป็นการดำเนินงานที่สวนทางกับหลักรัฐประศาสโนบายของล้นเกล้าฯ รัชการที่ 6 โดยตรง
ด้านมาตรการจัดการระบบยุติธรรมระดับชาติ
2. จัดตั้งคณะกรรมการระดับชาติในการดำเนินกระบวนการยุติธรรม มีหน้าที่ตรวจสอบคดีความและติดตามความคืบหน้าในการดำเนินคดีในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ 4 มกราคม 2547 เป็นต้นมา เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้ต้องหา เสริมความไว้วางใจของสาธารณชนต่อกระบวนการยุติธรรมไทย ผ่านหลักประกันการใช้อำนาจรัฐตามกฎหมาย
3. เปิดโอกาสให้ประชาชนผู้ถูกจับกุมและควบคุมตัวตามมาตรา 11 (1) ของพระราชกำหนดฯ ได้พบกับทนายของตนและได้รับความช่วยเหลือแนะนำจากทนายภายในเวลา 48 ชั่วโมง เพื่อธำรงรักษากระบวนการยุติธรรมไทยไว้ให้ได้ท่ามกลางสถานการณ์รุนแรง
4. นำกระบวนการนิติวิทยาศาสตร์มาใช้ในการสืบสวน สอบสวน ตรวจพิสูจน์ข้อเท็จจริงและ พยานหลักฐาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ขีดความสามารถในการดำเนินคดีของรัฐ สร้างความโปร่งใสและเป็นธรรมให้เกิดกับประชาชนทุกหมู่เหล่า
ด้านมาตรการลดความรุนแรงในพื้นที่โดยตรง
5. ในคณะกรรมการของรัฐบาลซึ่งทำหน้าที่กำหนดมาตรการลดความรุนแรงเฉพาะหน้า ให้ผู้แทนของผู้นำท้องถิ่นและผู้นำศาสนาทั้งอิสลามและพุทธเข้าร่วมเป็นกรรมการร่วมกำหนดนโยบายและทิศทาง เพื่อให้ฝ่ายรัฐได้รับความรู้ที่จำเป็นว่าผู้คนในท้องถิ่นคิดเห็นอย่างไร อีกทั้งยังจะได้เป็นสื่อกลางระหว่างผู้บังคับใช้พระราชกำหนดฯ และประชาชนด้วย
6. ให้ถือว่าปืนทุกชนิดเป็นอาวุธผิดกฎหมายในบริเวณสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และไม่ให้อยู่ในครอบครองของสาธารณชน เว้นแต่จะอยู่ในมือของเจ้าหน้าที่ซึ่งมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยตามกฎหมายคือทหารและตำรวจของรัฐเท่านั้น อันน่าจะลดความรุนแรงในพื้นที่ได้บ้าง อีกทั้งยังจะทำให้อาวุธอยู่แต่เฉพาะในมือของผู้ที่ต้องใช้อาวุธในกำกับของความรับผิดชอบตามกฎหมายเท่านั้น
7. ให้มีการติดตั้งโทรทัศน์วงจรปิดในที่สาธารณะให้ทั่วเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้ง 3 จังหวัด เพื่อให้ได้หลักฐานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้ก่อการร้ายแรงเอาชีวิตผู้บริสุทธิ์ในขณะนี้
8. จัดระบบแบ่งเขตพื้นที่ (zoning) ให้แหล่งอบายมุขอยู่ห่างจากเขตชุมชน ศาสนาสถาน สถานศึกษา และแหล่งหย่อนใจของเยาวชน เพราะแหล่งอบายมุขเหล่านี้กลายเป็นเป้าของความรุนแรงตลอดมา โดยควรเปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนสำคัญในการกำหนดเขตดังกล่าวร่วมกับภาครัฐ
มาตรการระดับชุมชน
9. จัดกลุ่มชุมชนแถลงข่าวในพื้นที่ แสดงความจริงและการรับรู้ของชุมชนให้ประจักษ์ในกรณีที่เกิดความรุนแรงขึ้น โดยอาศัยสถาบันธรรมชาติเป็นเวทีเช่น ร้านน้ำชาประจำหมู่บ้านเพื่อลดภัยที่เกิดจากข่าวลือ
10. จัดตั้งชุดคุ้มครองหมู่บ้านเป็นหน่วยรากแก้ว ประกอบด้วย ฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ และอาสาสมัครรักษาดินแดนเพื่อสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของหน่วยงานรัฐระดับพื้นที่ เป็นชุดพัฒนาออกพบปะเยี่ยมเยียนชาวบ้าน ลาดตระเวนรักษาความสงบเรียบร้อยภายในหมู่บ้านเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ความไว้วางใจ ระหว่างรัฐกับประชาชนซึ่งจะส่งผลต่องานการข่าว การรักษาความสงบเรียบร้อย และลดเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ระดับหมู่บ้าน
11. จัดให้มีคณะกรรมการสันติสุขชุมชน อันประกอบด้วย ผู้นำชุมชนเช่น อิหม่ามประจำมัสยิด โต๊ะครู กำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน นายก อบต./สมาชิก อบต. ปลัดประจำตำบล/ครู/เจ้าหน้าที่สถานีอนามัยตำบล ตลอดจนทหารและตำรวจ
12. ให้ความสำคัญกับนักศึกษา ในการรณรงค์เผยแพร่แนวคิดสันติวิธี พยายามส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหมู่พวกเข้าโดยปราศจากการบีบบังคับคุกคาม พึงหลีกเหลี่ยงการปฏิบัตินักศึกษาในทางลบ คือไม่เข้าสอบสวน จับกุมนักศึกษาในสถาบันการศึกษาโดยไม่มีคณาจารย์ของสถาบันการศึกษาเหล่านั้นเป็นพยานอยู่ด้วย
มาตรการรักษาความปลอดภัยสำหรับครู
13. ทุกโรงเรียนทั้งที่เป็นโรงเรียนสอนศาสนาและโรงเรียนของรัฐควรมีระบบเตือนภัย ระบบป้องกันภัย เปิดไฟส่องสว่างตลอดเวลากลางคืนและเครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัย สามารถประสานงานกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ทันทีที่เกิดเหตุร้ายขึ้น
14. เปิดโอกาสให้ครูในพื้นที่มีส่วนสำคัญในการกำหนดระบบรักษาความปลอดภัยให้แก่โรงเรียนและครู การตัดสินใจเปิดหรือปิดโรงเรียน หรือการเคลื่อนย้ายเด็กนักเรียน ให้เป็นผลของการปรึกษาหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานความมั่นคง ฝ่ายปกครองและโรงเรียน ขอให้ฝ่ายบ้านเมืองเห็นความสำคัญของครู ให้เกียรติครูตามที่สมควร
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 26 กรกฎาคม 2548--จบ--