คณะรัฐมนตรีอนุมัติขยายกรอบวงเงินค่าก่อสร้างงานโยธาและค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการ สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ตามที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2550 โดยขอขยายกรอบวงเงินค่าก่อสร้างงานโยธา (Civil Work) จากเดิม 31,217 ล้านบาท เป็นกรอบวงเงินใหม่ จำนวน 36,055 ล้านบาท และค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการสำหรับงานโยธา จากเดิม 1,248 ล้านบาท เป็นกรอบวงเงินใหม่ จำนวน 1,296 ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
กระทรวงคมนาคม (คค.) รายงานว่า
1. การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) มีหนังสือถึง คค. เพื่อขออนุมัติขยายกรอบ วงเงินค่าก่อสร้างงานโยธาและค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการ โดยเสนอขอขยายกรอบวงเงินค่าก่อสร้างงานโยธา (Civil Work) จากเดิม 31,217 ล้านบาท เป็นกรอบวงเงินใหม่ จำนวน 36,055 ล้านบาท และค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการสำหรับงานโยธา จากเดิม 1,248 ล้านบาท เป็นกรอบวงเงินใหม่ จำนวน 1,442 ล้านบาท โดยมีหลักการและเหตุผล ดังนี้
1.1 การขอขยายกรอบวงเงินงานโยธา เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้ราคาสินค้าและวัสดุต่าง ๆ ปรับราคาสูงขึ้นด้วย รฟม. จึงเห็นควรปรับประมาณการราคาค่าก่อสร้างใหม่ โดยใช้หลักเกณฑ์ของสำนักงบประมาณ สำหรับการปรับราคาค่าก่อสร้าง (ค่า K) และข้อมูลดัชนีราคาวัสดุเพื่อใช้ประกอบการคำนวณค่า K ของสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โดยเปรียบเทียบระหว่างดัชนีราคาวัสดุที่ใช้จัดทำประมาณการราคาเดิม (เดือนพฤษภาคม 2550) และดัชนีราคาวัสดุในปัจจุบัน (เดือนกุมภาพันธ์ 2551) และปรับเพิ่มวงเงิน Provision Sum ให้ครอบคลุมเงินชดเชยค่างานที่อาจเกิดขึ้นระหว่างก่อสร้าง โดยเปลี่ยนแปลงค่าปรับราคา (Price Adjustment) จากอัตราร้อยละ 2.5 ต่อปี เป็นร้อยละ 3.8 ต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงปัจจุบัน
รวมกับกรอบวงเงินสำรองเผื่อการใช้งานและการเปลี่ยนแปลงงาน (Contingencies and Changes of the works) ซึ่งกำหนดที่ร้อยละ 5 ของมูลค่างาน
1.2 การขอขยายกรอบวงเงินดังกล่าว เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจไม่มีผู้เสนอราคา หรือเสนอราคาที่สูงกว่ากรอบวงเงินทำให้ต้องยกเลิกการประกวดราคาและเริ่มดำเนินการใหม่ ซึ่งรวมถึงการพิจารณาขอทบทวนและขออนุมัติกรอบวงเงินใหม่ด้วย นอกจากนั้น ยังมีเงื่อนไขของสัญญาเงินกู้ที่กำหนดว่า หากไม่มีการใช้เงินตามแผนงานที่กำหนดไว้ รฟม. และรัฐบาลจะต้องเสียค่าธรรมเนียมของเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกจ่าย (Commitment Charge) ที่อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.1
1.3 รฟม. แจ้งว่าการขยายกรอบวงเงินค่าก่อสร้างงานโยธาและค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการ จะไม่กระทบกับผลการศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามพระราชบัญญัติร่วมทุนฯ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้พิจารณาและเห็นชอบกับผลการศึกษาตามกรอบวงเงินเดิมไปแล้ว เนื่องจากเป็นการขยายกรอบวงเงินเฉพาะค่าก่อสร้างงานโยธาเท่านั้น และจะไม่กระทบกับการพิจารณาจัดสรรเงินกู้กับธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่น (JBIC) เนื่องจากกระทรวงการคลังสามารถเจรจาต่อไปได้
1.4 คณะกรรมการ รฟม. ในคราวประชุม ครั้งที่ 3/2551 เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2551 ได้มีมติรับทราบเรื่องการขออนุมัติพิจารณาขยายกรอบวงเงินค่าก่อสร้างงานโยธาและค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการรถไฟฟ้าสาย สีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ตามที่ รฟม. ได้เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมพิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ และให้สัตยาบันการขยายกรอบวงเงินค่าก่อสร้างงานโยธาเป็นจำนวนเงิน 36,055 ล้านบาท และค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการฯ เป็นจำนวนเงิน 1,442 ล้านบาท
2. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (10 มิถุนายน 2551) กระทรวงคมนาคมได้เชิญผู้แทนกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรฟม. เข้าร่วมประชุม โดยมีนายชัยสวัสดิ์ กิตติพรไพบูลย์ ปลัดกระทรวงกระทรวงคมนาคมเป็นประธาน เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์การปรับกรอบวงเงินค่าก่อสร้างงานโยธาและค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงฯ โดยแบ่งเป็นการพิจารณาใน 2 ประเด็น ดังนี้
2.1 การขยายกรอบวงเงินค่าก่อสร้างงานโยธา
ที่ประชุมรับทราบข้อเสนอแนะของสำนักงบประมาณว่า โดยปกติวิธีการคำนวณราคา
ค่าก่อสร้างจะใช้เกณฑ์การคำนวณต่อหน่วยหรือ Unit Cost ที่ใช้ฐานราคาค่าวัสดุ ณ เวลานั้น ๆ ในการดำเนินการประมาณราคาค่าก่อสร้าง อย่างไรก็ดีการดำเนินการดังกล่าวได้รับทราบจาก รฟม. ว่าต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการ ประกอบกับในขณะนี้ รฟม.ได้ประกาศประกวดราคาไปแล้ว ดังนั้น เพื่อมิให้การดำเนินโครงการระบบขนส่งมวลชนเกิดปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงาน การปรับราคาของ รฟม. ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของสำนักงบประมาณ สำหรับการปรับราคาค่าก่อสร้าง (ค่า K) และข้อมูลดัชนีราคาวัสดุเพื่อใช้ประกอบการคำนวณค่า K ของสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โดยเปรียบเทียบระหว่างดัชนีราคาวัสดุที่ใช้จัดทำประมาณการราคาเดิม (เดือนพฤษภาคม 2550) และดัชนีราคาวัสดุในปัจจุบัน (เดือนกุมภาพันธ์ 2551) จึงเป็นหลักเกณฑ์ที่สำนักงบประมาณเห็นว่าสามารถใช้ในการดำเนินการได้ที่ประชุมจึงเห็นด้วยกับกรอบวงเงินของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงตามที่ รฟม. เสนอในกรอบวงเงิน 36,055 ล้านบาท
2.2 การขยายกรอบวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการ
ที่ประชุมรับทราบความเห็นของสำนักงบประมาณ กรณีหลักการคำนวณเพื่อขยายกรอบวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาว่าไม่ควรคิดเป็นอัตราร้อยละ 4 ตามกรอบวงเงินค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นที่ รฟม.นำเสนอ แต่ควรใช้หลักเกณฑ์ในการพิจารณาจากปริมาณงาน ขอบเขตของงาน ประกอบกับอัตราจ้าง และจำนวนคน — เดือนที่ต้องใช้ในการดำเนินงาน และเนื่องจากเดิมมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2550 ได้อนุมัติกรอบวงเงินตามฐานการพิจารณาที่สามารถดำเนินการได้ ณ เวลานั้น จึงควรใช้หลักเกณฑ์การปรับราคาให้เป็นปัจจุบันตามอัตราค่าปรับราคา (Price Adjustment) ที่ร้อยละ 3.8 ของกรอบวงเงินเดิม ที่ประชุมจึงเห็นด้วยกับความเห็นของสำนักงบประมาณโดยให้ปรับเพิ่มค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการฯ จากกรอบวงเงิน 1,248 ล้านบาท เป็นกรอบวงเงิน 1,296 ล้านบาท
กระทรวงคมนาคมจึงเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องดังกล่าว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดนายสมัคร สุนทรเวช (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 17 มิถุนายน 2551--จบ--
กระทรวงคมนาคม (คค.) รายงานว่า
1. การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) มีหนังสือถึง คค. เพื่อขออนุมัติขยายกรอบ วงเงินค่าก่อสร้างงานโยธาและค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการ โดยเสนอขอขยายกรอบวงเงินค่าก่อสร้างงานโยธา (Civil Work) จากเดิม 31,217 ล้านบาท เป็นกรอบวงเงินใหม่ จำนวน 36,055 ล้านบาท และค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการสำหรับงานโยธา จากเดิม 1,248 ล้านบาท เป็นกรอบวงเงินใหม่ จำนวน 1,442 ล้านบาท โดยมีหลักการและเหตุผล ดังนี้
1.1 การขอขยายกรอบวงเงินงานโยธา เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้ราคาสินค้าและวัสดุต่าง ๆ ปรับราคาสูงขึ้นด้วย รฟม. จึงเห็นควรปรับประมาณการราคาค่าก่อสร้างใหม่ โดยใช้หลักเกณฑ์ของสำนักงบประมาณ สำหรับการปรับราคาค่าก่อสร้าง (ค่า K) และข้อมูลดัชนีราคาวัสดุเพื่อใช้ประกอบการคำนวณค่า K ของสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โดยเปรียบเทียบระหว่างดัชนีราคาวัสดุที่ใช้จัดทำประมาณการราคาเดิม (เดือนพฤษภาคม 2550) และดัชนีราคาวัสดุในปัจจุบัน (เดือนกุมภาพันธ์ 2551) และปรับเพิ่มวงเงิน Provision Sum ให้ครอบคลุมเงินชดเชยค่างานที่อาจเกิดขึ้นระหว่างก่อสร้าง โดยเปลี่ยนแปลงค่าปรับราคา (Price Adjustment) จากอัตราร้อยละ 2.5 ต่อปี เป็นร้อยละ 3.8 ต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงปัจจุบัน
รวมกับกรอบวงเงินสำรองเผื่อการใช้งานและการเปลี่ยนแปลงงาน (Contingencies and Changes of the works) ซึ่งกำหนดที่ร้อยละ 5 ของมูลค่างาน
1.2 การขอขยายกรอบวงเงินดังกล่าว เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจไม่มีผู้เสนอราคา หรือเสนอราคาที่สูงกว่ากรอบวงเงินทำให้ต้องยกเลิกการประกวดราคาและเริ่มดำเนินการใหม่ ซึ่งรวมถึงการพิจารณาขอทบทวนและขออนุมัติกรอบวงเงินใหม่ด้วย นอกจากนั้น ยังมีเงื่อนไขของสัญญาเงินกู้ที่กำหนดว่า หากไม่มีการใช้เงินตามแผนงานที่กำหนดไว้ รฟม. และรัฐบาลจะต้องเสียค่าธรรมเนียมของเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกจ่าย (Commitment Charge) ที่อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.1
1.3 รฟม. แจ้งว่าการขยายกรอบวงเงินค่าก่อสร้างงานโยธาและค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการ จะไม่กระทบกับผลการศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามพระราชบัญญัติร่วมทุนฯ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้พิจารณาและเห็นชอบกับผลการศึกษาตามกรอบวงเงินเดิมไปแล้ว เนื่องจากเป็นการขยายกรอบวงเงินเฉพาะค่าก่อสร้างงานโยธาเท่านั้น และจะไม่กระทบกับการพิจารณาจัดสรรเงินกู้กับธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่น (JBIC) เนื่องจากกระทรวงการคลังสามารถเจรจาต่อไปได้
1.4 คณะกรรมการ รฟม. ในคราวประชุม ครั้งที่ 3/2551 เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2551 ได้มีมติรับทราบเรื่องการขออนุมัติพิจารณาขยายกรอบวงเงินค่าก่อสร้างงานโยธาและค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการรถไฟฟ้าสาย สีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ตามที่ รฟม. ได้เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมพิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ และให้สัตยาบันการขยายกรอบวงเงินค่าก่อสร้างงานโยธาเป็นจำนวนเงิน 36,055 ล้านบาท และค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการฯ เป็นจำนวนเงิน 1,442 ล้านบาท
2. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (10 มิถุนายน 2551) กระทรวงคมนาคมได้เชิญผู้แทนกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรฟม. เข้าร่วมประชุม โดยมีนายชัยสวัสดิ์ กิตติพรไพบูลย์ ปลัดกระทรวงกระทรวงคมนาคมเป็นประธาน เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์การปรับกรอบวงเงินค่าก่อสร้างงานโยธาและค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงฯ โดยแบ่งเป็นการพิจารณาใน 2 ประเด็น ดังนี้
2.1 การขยายกรอบวงเงินค่าก่อสร้างงานโยธา
ที่ประชุมรับทราบข้อเสนอแนะของสำนักงบประมาณว่า โดยปกติวิธีการคำนวณราคา
ค่าก่อสร้างจะใช้เกณฑ์การคำนวณต่อหน่วยหรือ Unit Cost ที่ใช้ฐานราคาค่าวัสดุ ณ เวลานั้น ๆ ในการดำเนินการประมาณราคาค่าก่อสร้าง อย่างไรก็ดีการดำเนินการดังกล่าวได้รับทราบจาก รฟม. ว่าต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการ ประกอบกับในขณะนี้ รฟม.ได้ประกาศประกวดราคาไปแล้ว ดังนั้น เพื่อมิให้การดำเนินโครงการระบบขนส่งมวลชนเกิดปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงาน การปรับราคาของ รฟม. ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของสำนักงบประมาณ สำหรับการปรับราคาค่าก่อสร้าง (ค่า K) และข้อมูลดัชนีราคาวัสดุเพื่อใช้ประกอบการคำนวณค่า K ของสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โดยเปรียบเทียบระหว่างดัชนีราคาวัสดุที่ใช้จัดทำประมาณการราคาเดิม (เดือนพฤษภาคม 2550) และดัชนีราคาวัสดุในปัจจุบัน (เดือนกุมภาพันธ์ 2551) จึงเป็นหลักเกณฑ์ที่สำนักงบประมาณเห็นว่าสามารถใช้ในการดำเนินการได้ที่ประชุมจึงเห็นด้วยกับกรอบวงเงินของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงตามที่ รฟม. เสนอในกรอบวงเงิน 36,055 ล้านบาท
2.2 การขยายกรอบวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการ
ที่ประชุมรับทราบความเห็นของสำนักงบประมาณ กรณีหลักการคำนวณเพื่อขยายกรอบวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาว่าไม่ควรคิดเป็นอัตราร้อยละ 4 ตามกรอบวงเงินค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นที่ รฟม.นำเสนอ แต่ควรใช้หลักเกณฑ์ในการพิจารณาจากปริมาณงาน ขอบเขตของงาน ประกอบกับอัตราจ้าง และจำนวนคน — เดือนที่ต้องใช้ในการดำเนินงาน และเนื่องจากเดิมมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2550 ได้อนุมัติกรอบวงเงินตามฐานการพิจารณาที่สามารถดำเนินการได้ ณ เวลานั้น จึงควรใช้หลักเกณฑ์การปรับราคาให้เป็นปัจจุบันตามอัตราค่าปรับราคา (Price Adjustment) ที่ร้อยละ 3.8 ของกรอบวงเงินเดิม ที่ประชุมจึงเห็นด้วยกับความเห็นของสำนักงบประมาณโดยให้ปรับเพิ่มค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการฯ จากกรอบวงเงิน 1,248 ล้านบาท เป็นกรอบวงเงิน 1,296 ล้านบาท
กระทรวงคมนาคมจึงเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องดังกล่าว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดนายสมัคร สุนทรเวช (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 17 มิถุนายน 2551--จบ--