คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตีเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2545 เรื่องการจัดตั้งวิทยาลัยชุมชน ในข้อ 3 เฉพาะประเด็นการจัดตั้งวิทยาลัยชุมชนที่ให้ใช้สถานศึกษาที่มีอยู่เดิมและมีศักยภาพเพียงพอยกฐานะขึ้นเป็นวิทยาลัยชุมชนโดยไม่สร้างสถานศึกษาใหม่ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
กระทรวงศึกษาธิการ รายงานว่า
1. วิทยาลัยชุมชน จัดตั้งขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ที่แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2545 ด้านการจัดการศึกษาข้อ 4 “จัดให้มีวิทยาลัยชุมชน โดยเฉพาะในจังหวัดที่ยังขาดแคลนสถาบันอุดมศึกษา”
2. เมื่อคณะรัฐมนตรี (19 กุมภาพันธ์ 2545) มีมติเห็นชอบในหลักการโครงการจัดตั้งวิทยาลัยชุมชนแล้ว กระทรวงศึกษาธิการ ได้ออกกฎกระทรวงว่าด้วยการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาต่ำกว่าปริญญารูปแบบวิทยาลัยชุมชน พ.ศ.2546 กำหนดให้วิทยาลัยชุมชนเป็นสถานศึกษาของรัฐที่จัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาต่ำกว่าปริญญาซึ่งบริหารจัดการโดยชุมชน ทั้งด้านวิชาการและวิชาชีพตามหลักสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน รวมทั้งทำหน้าที่ส่งเสริมให้มีการพัฒนาอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลในชุมชน โดยมีหลักการดำเนินงาน 3 ประการ คือ การจัดให้ผู้เรียนได้เข้าถึงการศึกษาโดยง่าย การมีหลักสูตรที่หลากหลาย และการจัดให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาในส่วนของสถานที่ดำเนินการแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ วิทยาลัยชุมชน เป็นสถานที่ดำเนินการหลัก และสถานที่จัดการเรียนการสอน เป็นห้องเรียนที่ขอใช้จากสถานศึกษา หน่วยงาน และองค์กรอื่น ๆ ตามความเหมาะสม ปัจจุบันมีวิทยาลัยชุมชนจำนวนทั้งสิ้น 19 จังหวัด โดยมุ่งเน้นจัดตั้งในจังหวัดที่ไม่มีสถาบันอุดมศึกษาหรือจังหวัดที่ประชากรขาดโอกาสการเข้าถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษา ตลอดจนจัดตั้งโดยความต้องการและเป็นการริเริ่มของชุมชน
3. การดำเนินงานของวิทยาลัยชุมชน แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ
3.1 ระยะที่ 1 พ.ศ. 2545 — มีนาคม 2547 กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายให้ใช้สถานศึกษาของส่วนราชการอื่นที่ชุมชนเลือกมาทำหน้าที่วิทยาลัยชุมชนอีกบทบาทหนึ่งควบคู่กับภารกิจเดิม โดยให้สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานกำกับดูแลวิทยาลัยชุมชน
3.2 ระยะที่ 2 พ.ศ.2547 — ปัจจุบัน มีพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการการ อุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2546 และกฎกระทรวงว่าด้วยการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาต่ำกว่าปริญญารูปแบบวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. 2546 ใช้ในการบริหารงาน วิทยาลัยชุมชนจึงย้ายไปอยู่ในการกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และได้ปรับเปลี่ยนระบบการดำเนินงานให้เป็นไปตามกฎกระทรวงดังกล่าว โดยแยกงานวิทยาลัยชุมชนออกมาเป็นเอกเทศจากสถานศึกษาเดิม ให้มีองค์กรการบริหารบุคลากรและทรัพยากรต่าง ๆ ของตนเอง ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2547
4. การให้บริการทางการศึกษา ตั้งแต่ พ.ศ. 2545 จนถึงปัจจุบันวิทยาลัยชุมชนได้ตอบสนองแก่ผู้ขาดโอกาสทางการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับอุดมศึกษาเป็นจำนวนมาก มีจำนวนผู้เรียนหลักสูตรอนุปริญญา ปวส. และปวช.เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยในปี 2545 มีจำนวน 3,628 คน และในปี 2551 มีจำนวน 18,030 คน มีผู้เรียนหลักสูตรประกาศนียบัตร 2,277 คน และผู้เข้ารับบริการหลักสูตรระยะสั้น 110,467 คน สำหรับหลักสูตรอนุปริญญามีผู้สำเร็จการศึกษาแล้ว 8,231 คน
5. สภาพปัญหา เป็นปัญหาทางกายภาพด้านอาคารสถานที่ของวิทยาลัยที่เป็นที่ตั้งสำนักงาน ศูนย์วิทยบริการ และห้องเรียนที่ยังขาดแคลน คือขาดอาคารสถานที่ที่เหมาะสมที่เป็นเอกลักษณ์ของวิทยาลัยชุมชน ไม่สามารถจัดหาครุภัณฑ์การเรียนการสอนไปติดตั้งในอาคารที่เป็นสมบัติของหน่วยงานอื่นได้ การใช้อาคารของสถานศึกษาอื่นจัดการเรียนการสอนกระทำได้เฉพาะวันหยุดราชการเนื่องจากวันจันทร์ถึงวันศุกร์อาคารไม่ว่าง บางครั้งเจ้าของสถานที่จำเป็นต้องใช้จึงต้องย้ายที่เรียนทำให้ขาดความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือของผู้เรียน และอาคารที่มีอยู่ไม่มีความพร้อมและสมบูรณ์เพียงพอที่จะรองรับการจัดการเรียนการสอนและการศึกษาค้นคว้า โดยเฉพาะวิทยาลัยชุมชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) ซึ่งมีผู้เรียนจำนวนมากมีปัญหามากที่สุด จึงส่งผลกระทบต่อคุณภาพและประสิทธิภาพการเรียนการสอนต่อชุมชนและกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างมาก ปัญหาทางด้านอาคารสถานที่ของวิทยาลัยชุมชนมีภาพรวม ดังนี้
5.1 วิทยาลัยชุมชนที่มีที่ดินและอาคารบางส่วนเป็นของตนเอง มีจำนวน 13 แห่ง คือ แม่ฮ่องสอน ตาก พิจิตร หนองบัวลำภู อุทัยธานี ระนอง ตราด สระแก้ว สตูล ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และพังงา
5.2 วิทยาลัยชุมชนที่มีที่ดินเป็นของตนเองแต่ไม่มีอาคาร มีจำนวน 2 แห่ง คือ บุรีรัมย์ และสมุทรสาคร
5.3 วิทยาลัยชุมชนที่ไม่มีที่ดินและไม่มีอาคารเป็นของตนเอง มีจำนวน 4 แห่ง คือ มุกดาหาร ยโสธร สงขลา และแพร่
6. การจัดตั้งวิทยาลัยชุมชนตามมติคณะรัฐมนตรี (19 กุมภาพันธ์ 2545) ในประเด็นที่ให้ใช้สถานศึกษาที่มีอยู่เดิมและมีศักยภาพเพียงพอยกฐานะขึ้นเป็นวิทยาลัยชุมชนโดยไม่สร้างสถานศึกษาใหม่ ประสบปัญหาตั้งแต่ระยะแรกและต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากไม่สามารถยกฐานะสถานศึกษาเหล่านั้นได้ กระทรวงศึกษาธิการ ได้พยายามแก้ไขปัญหา โดยการขอใช้ ขอแบ่งใช้อาคารเก่าของราชการที่ไม่ได้ใช้แล้วมาปรับปรุงเป็นที่ตั้งสำนักงานและขอใช้อาคารสถานที่ของสถานศึกษา หน่วยงานภาครัฐ เอกชน รวมทั้งวัดและชุมชน เพื่อเป็นที่ตั้งของวิทยาลัยชุมชน ซึ่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ได้เสนอการแก้ไขปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (16 มีนาคม 2547) ขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรับไปเร่งรัด กำกับติดตาม และดำเนินการเรื่องนี้ให้มีความคืบหน้าโดยเร็ว แต่ยังไม่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานราชการในการช่วยให้เกิดการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดตามที่คาดหวังไว้ วิทยาลัยชุมชนจึงประสบปัญหาด้านอาคารสถานที่มาโดยตลอด
7. กระทรวงศึกษาธิการได้จัดทำแผนเสนอของบประมาณ งบลงทุน โดยเฉพาะงบที่ดินสิ่งก่อสร้างสำหรับวิทยาลัยชุมชนตามความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วน ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ.2552 — 2554 โดยในปีงบประมาณ พ.ศ.2552 ได้เสนอของบประมาณ งบลงทุน ที่ดินสิ่งก่อสร้างสำหรับวิทยาลัยชุมชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 4 จังหวัด (สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) และวิทยาลัยชุมชนที่มีที่ดินแล้วแต่ไม่มีอาคาร จำนวน 2 แห่ง (บุรีรัมย์ และสมุทรสาคร) จำนวน 76.25 ล้านบาท (คณะรัฐมนตรีได้มีมติ 20 พฤษภาคม 2551 เห็นชอบแล้ว) และได้ของบประมาณเพิ่มเติม งบลงทุน ที่ดินสิ่งก่อสร้าง โดยผูกพันปีงบประมาณ พ.ศ.2552 อีกจำนวน 89.02 ล้านบาท (มติคณะรัฐมนตรี 3 มิถุนายน 2551) ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2552 และเอกสารประกอบ ในวันอังคารที่ 17 มิถุนายน 2551 ดังนั้น กระทรวงศึกษาธิการจึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2545 ตามข้อเสนอ ซึ่งหากไม่ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีในประเด็นดังกล่าวจะทำให้เกิดปัญหากับวิทยาลัยชุมชน คือจะไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณเป็นค่าก่อสร้างอาคารสถานที่ตามงบประมาณประจำปี พ.ศ.2552 ที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้ว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดนายสมัคร สุนทรเวช (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 17 มิถุนายน 2551--จบ--
กระทรวงศึกษาธิการ รายงานว่า
1. วิทยาลัยชุมชน จัดตั้งขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ที่แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2545 ด้านการจัดการศึกษาข้อ 4 “จัดให้มีวิทยาลัยชุมชน โดยเฉพาะในจังหวัดที่ยังขาดแคลนสถาบันอุดมศึกษา”
2. เมื่อคณะรัฐมนตรี (19 กุมภาพันธ์ 2545) มีมติเห็นชอบในหลักการโครงการจัดตั้งวิทยาลัยชุมชนแล้ว กระทรวงศึกษาธิการ ได้ออกกฎกระทรวงว่าด้วยการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาต่ำกว่าปริญญารูปแบบวิทยาลัยชุมชน พ.ศ.2546 กำหนดให้วิทยาลัยชุมชนเป็นสถานศึกษาของรัฐที่จัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาต่ำกว่าปริญญาซึ่งบริหารจัดการโดยชุมชน ทั้งด้านวิชาการและวิชาชีพตามหลักสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน รวมทั้งทำหน้าที่ส่งเสริมให้มีการพัฒนาอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลในชุมชน โดยมีหลักการดำเนินงาน 3 ประการ คือ การจัดให้ผู้เรียนได้เข้าถึงการศึกษาโดยง่าย การมีหลักสูตรที่หลากหลาย และการจัดให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาในส่วนของสถานที่ดำเนินการแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ วิทยาลัยชุมชน เป็นสถานที่ดำเนินการหลัก และสถานที่จัดการเรียนการสอน เป็นห้องเรียนที่ขอใช้จากสถานศึกษา หน่วยงาน และองค์กรอื่น ๆ ตามความเหมาะสม ปัจจุบันมีวิทยาลัยชุมชนจำนวนทั้งสิ้น 19 จังหวัด โดยมุ่งเน้นจัดตั้งในจังหวัดที่ไม่มีสถาบันอุดมศึกษาหรือจังหวัดที่ประชากรขาดโอกาสการเข้าถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษา ตลอดจนจัดตั้งโดยความต้องการและเป็นการริเริ่มของชุมชน
3. การดำเนินงานของวิทยาลัยชุมชน แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ
3.1 ระยะที่ 1 พ.ศ. 2545 — มีนาคม 2547 กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายให้ใช้สถานศึกษาของส่วนราชการอื่นที่ชุมชนเลือกมาทำหน้าที่วิทยาลัยชุมชนอีกบทบาทหนึ่งควบคู่กับภารกิจเดิม โดยให้สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานกำกับดูแลวิทยาลัยชุมชน
3.2 ระยะที่ 2 พ.ศ.2547 — ปัจจุบัน มีพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการการ อุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2546 และกฎกระทรวงว่าด้วยการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาต่ำกว่าปริญญารูปแบบวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. 2546 ใช้ในการบริหารงาน วิทยาลัยชุมชนจึงย้ายไปอยู่ในการกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และได้ปรับเปลี่ยนระบบการดำเนินงานให้เป็นไปตามกฎกระทรวงดังกล่าว โดยแยกงานวิทยาลัยชุมชนออกมาเป็นเอกเทศจากสถานศึกษาเดิม ให้มีองค์กรการบริหารบุคลากรและทรัพยากรต่าง ๆ ของตนเอง ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2547
4. การให้บริการทางการศึกษา ตั้งแต่ พ.ศ. 2545 จนถึงปัจจุบันวิทยาลัยชุมชนได้ตอบสนองแก่ผู้ขาดโอกาสทางการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับอุดมศึกษาเป็นจำนวนมาก มีจำนวนผู้เรียนหลักสูตรอนุปริญญา ปวส. และปวช.เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยในปี 2545 มีจำนวน 3,628 คน และในปี 2551 มีจำนวน 18,030 คน มีผู้เรียนหลักสูตรประกาศนียบัตร 2,277 คน และผู้เข้ารับบริการหลักสูตรระยะสั้น 110,467 คน สำหรับหลักสูตรอนุปริญญามีผู้สำเร็จการศึกษาแล้ว 8,231 คน
5. สภาพปัญหา เป็นปัญหาทางกายภาพด้านอาคารสถานที่ของวิทยาลัยที่เป็นที่ตั้งสำนักงาน ศูนย์วิทยบริการ และห้องเรียนที่ยังขาดแคลน คือขาดอาคารสถานที่ที่เหมาะสมที่เป็นเอกลักษณ์ของวิทยาลัยชุมชน ไม่สามารถจัดหาครุภัณฑ์การเรียนการสอนไปติดตั้งในอาคารที่เป็นสมบัติของหน่วยงานอื่นได้ การใช้อาคารของสถานศึกษาอื่นจัดการเรียนการสอนกระทำได้เฉพาะวันหยุดราชการเนื่องจากวันจันทร์ถึงวันศุกร์อาคารไม่ว่าง บางครั้งเจ้าของสถานที่จำเป็นต้องใช้จึงต้องย้ายที่เรียนทำให้ขาดความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือของผู้เรียน และอาคารที่มีอยู่ไม่มีความพร้อมและสมบูรณ์เพียงพอที่จะรองรับการจัดการเรียนการสอนและการศึกษาค้นคว้า โดยเฉพาะวิทยาลัยชุมชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) ซึ่งมีผู้เรียนจำนวนมากมีปัญหามากที่สุด จึงส่งผลกระทบต่อคุณภาพและประสิทธิภาพการเรียนการสอนต่อชุมชนและกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างมาก ปัญหาทางด้านอาคารสถานที่ของวิทยาลัยชุมชนมีภาพรวม ดังนี้
5.1 วิทยาลัยชุมชนที่มีที่ดินและอาคารบางส่วนเป็นของตนเอง มีจำนวน 13 แห่ง คือ แม่ฮ่องสอน ตาก พิจิตร หนองบัวลำภู อุทัยธานี ระนอง ตราด สระแก้ว สตูล ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และพังงา
5.2 วิทยาลัยชุมชนที่มีที่ดินเป็นของตนเองแต่ไม่มีอาคาร มีจำนวน 2 แห่ง คือ บุรีรัมย์ และสมุทรสาคร
5.3 วิทยาลัยชุมชนที่ไม่มีที่ดินและไม่มีอาคารเป็นของตนเอง มีจำนวน 4 แห่ง คือ มุกดาหาร ยโสธร สงขลา และแพร่
6. การจัดตั้งวิทยาลัยชุมชนตามมติคณะรัฐมนตรี (19 กุมภาพันธ์ 2545) ในประเด็นที่ให้ใช้สถานศึกษาที่มีอยู่เดิมและมีศักยภาพเพียงพอยกฐานะขึ้นเป็นวิทยาลัยชุมชนโดยไม่สร้างสถานศึกษาใหม่ ประสบปัญหาตั้งแต่ระยะแรกและต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากไม่สามารถยกฐานะสถานศึกษาเหล่านั้นได้ กระทรวงศึกษาธิการ ได้พยายามแก้ไขปัญหา โดยการขอใช้ ขอแบ่งใช้อาคารเก่าของราชการที่ไม่ได้ใช้แล้วมาปรับปรุงเป็นที่ตั้งสำนักงานและขอใช้อาคารสถานที่ของสถานศึกษา หน่วยงานภาครัฐ เอกชน รวมทั้งวัดและชุมชน เพื่อเป็นที่ตั้งของวิทยาลัยชุมชน ซึ่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ได้เสนอการแก้ไขปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (16 มีนาคม 2547) ขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรับไปเร่งรัด กำกับติดตาม และดำเนินการเรื่องนี้ให้มีความคืบหน้าโดยเร็ว แต่ยังไม่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานราชการในการช่วยให้เกิดการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดตามที่คาดหวังไว้ วิทยาลัยชุมชนจึงประสบปัญหาด้านอาคารสถานที่มาโดยตลอด
7. กระทรวงศึกษาธิการได้จัดทำแผนเสนอของบประมาณ งบลงทุน โดยเฉพาะงบที่ดินสิ่งก่อสร้างสำหรับวิทยาลัยชุมชนตามความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วน ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ.2552 — 2554 โดยในปีงบประมาณ พ.ศ.2552 ได้เสนอของบประมาณ งบลงทุน ที่ดินสิ่งก่อสร้างสำหรับวิทยาลัยชุมชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 4 จังหวัด (สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) และวิทยาลัยชุมชนที่มีที่ดินแล้วแต่ไม่มีอาคาร จำนวน 2 แห่ง (บุรีรัมย์ และสมุทรสาคร) จำนวน 76.25 ล้านบาท (คณะรัฐมนตรีได้มีมติ 20 พฤษภาคม 2551 เห็นชอบแล้ว) และได้ของบประมาณเพิ่มเติม งบลงทุน ที่ดินสิ่งก่อสร้าง โดยผูกพันปีงบประมาณ พ.ศ.2552 อีกจำนวน 89.02 ล้านบาท (มติคณะรัฐมนตรี 3 มิถุนายน 2551) ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2552 และเอกสารประกอบ ในวันอังคารที่ 17 มิถุนายน 2551 ดังนั้น กระทรวงศึกษาธิการจึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2545 ตามข้อเสนอ ซึ่งหากไม่ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีในประเด็นดังกล่าวจะทำให้เกิดปัญหากับวิทยาลัยชุมชน คือจะไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณเป็นค่าก่อสร้างอาคารสถานที่ตามงบประมาณประจำปี พ.ศ.2552 ที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้ว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดนายสมัคร สุนทรเวช (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 17 มิถุนายน 2551--จบ--