แท็ก
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ร่างพระราชบัญญัติ
สภาผู้แทนราษฎร
คณะรัฐมนตรี
ครอบครัว
คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติป้องกันและแก้ไขการใช้ความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว เป็นการกำหนดลักษณะความผิดฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัว การฟ้องคดีและวิธีพิจารณาพิพากษาคดี อำนาจของพนักงาน เจ้าหน้าที่ มาตรการคุ้มครองชั่วคราว การคุ้มครอง ความรับผิด และบทกำหนดโทษ ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. กำหนดนิยามคำว่า “ความรุนแรงในครอบครัว” หมายความว่า การกระทำใด ๆ เพื่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจหรือสุขภาพ หรือกระทำในลักษณะที่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพของบุคคลในครอบครัว หรือบังคับให้บุคคลในครอบครัวต้องกระทำการ ละเว้นกระทำ การหรือยอมรับการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยมิชอบ แต่ไม่รวมถึงการกระทำโดยประมาท
2. กำหนดนิยามคำว่า “บุคคลในครอบครัว” หมายความว่า คู่สมรส คู่สมรสเดิม ผู้ที่อยู่กินหรือเคยอยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส บุตร บุตรบุญธรรม สมาชิกในครอบครัว รวมทั้งบุคคลใด ๆ ที่อาศัยอยู่ในครัวเรือนเดียวกัน แต่ไม่รวมถึงบุคคลที่อยู่ในฐานะผู้เช่า
3. กำหนดให้ความผิดฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัวเป็นความผิดอันยอมความได้ แต่ไม่ลบล้างความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา และให้มีอำนาจยกคดีขึ้นใหม่ได้ หากมีการฝ่าฝืนเงื่อนไขในการยอมความหรือการถอนคำร้องทุกข์
4. กำหนดให้ศาลมีอำนาจกำหนดวิธีการฟื้นฟู บำบัดรักษา คุมความประพฤติ ผู้กระทำความผิด ให้ผู้กระทำผิดชดใช้เงินช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ ทำงานบริการสาธารณะ ละเว้นการกระทำอันเป็นเหตุให้เกิดการใช้ความรุนแรงหรือทำทัณฑ์บนไว้ ตามวิธีการและระยะเวลาที่กำหนดแทนการลงโทษ
5. กำหนดให้บุคคลที่ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว หรือบุคคลอื่นใดที่พบเห็นหรือทราบการกระทำรุนแรงในครอบครัว มีหน้าที่แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยจะแจ้งด้วยวาจา เป็นหนังสือ หรือทางอิเล็กทรอนิกส์ และการแจ้งโดยสุจริตย่อมได้รับความคุ้มครองและไม่ต้องรับผิดในทางแพ่ง ทางอาญา และทางปกครอง
6. กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในเคหสถานที่เกิดเหตุเพื่อสอบถามรวมทั้งมีอำนาจจัดให้ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงได้รับการตรวจรักษา หรือได้รับคำปรึกษาแนะนำตลอดจนการร้องทุกข์ โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนด
7. กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องทำการสอบสวนโดยเร็วหลังจากได้มีการร้องทุกข์ และให้พนักงานอัยการต้องยื่นฟ้องต่อศาลเป็นหนังสือหรือด้วยวาจาภายในกำหนดเวลาสี่สิบแปดชั่วโมง หากมีเหตุจำเป็น ให้ขอผัดฟ้องต่อศาลได้ครั้งละเจ็ดสิบสองชั่วโมง แต่ไม่เกินหกครั้ง และในขณะสอบสวนพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องจัดให้มีจิตแพทย์ นักสังคมสงเคราะห์ หรือบุคคลที่ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงร้องขอร่วมด้วย เว้นแต่มีกรณีจำเป็นเร่งด่วน แต่ต้องบันทึกเหตุที่ไม่อาจรอบุคคลดังกล่าวไว้
8. กำหนดห้ามมิให้ลงพิมพ์โฆษณา หรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนด้วยวิธีการใด ๆ ซึ่งภาพ เรื่องราว หรือข้อมูลใด ๆ อันจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้กระทำหรือผู้ถูกระทำด้วยความรุนแรง หลังจากมีการแจ้งเหตุแล้ว หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษตามที่กำหนด
9. กำหนดให้ศาลหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจกำหนดมาตรการหรือวิธีการใด ๆ เพื่อบรรเทาทุกข์ให้แก่บุคคลผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงเป็นการชั่วคราว ซึ่งรวมถึงการชดใช้เงินช่วยเหลือ การห้ามผู้กระทำความรุนแรงเข้าไปในที่พำนักของครอบครัว ห้ามเข้าใกล้ตัวบุคคลใดในครอบครัว การดูแลบุตร และอาจแก้ไขเพิ่มเติมมาตรการได้ตามเหตุการณ์หรือพฤติการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และผู้มีส่วนได้เสียอาจอุทธรณ์ต่อศาลได้ โดยให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้เป็นที่สุด และหากมีการฝ่าฝืนต้องระวางโทษตามที่กำหนด และให้การกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
10. กำหนดให้นำกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวมาใช้บังคับกับวิธีพิจารณาและการยื่นการรับฟังพยานหลักฐานในกรณีที่พระราชบัญญัตินี้ไม่ได้บัญญัติไว้โดยอนุโลม
11. กำหนดให้การพิจารณาพิพากษาคดีให้ศาลพยายามเปรียบเทียบให้คู่ความได้ยอมกันในข้อพิพาท โดยอาจตั้งผู้ไกล่เกลี่ยซึ่งเป็นบุคคลหรือคณะบุคคล ซึ่งการเปรียบเทียบดังกล่าวต้องคำนึงถึงความสุขและการอยู่ร่วมกันในครอบครัว โดยให้คำนึงหลักการตามที่กำหนด
12. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีการจัดทำรายงานประจำปีเสนอต่อคณะรัฐมนตรี
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 12 กรกฎาคม 2548--จบ--
1. กำหนดนิยามคำว่า “ความรุนแรงในครอบครัว” หมายความว่า การกระทำใด ๆ เพื่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจหรือสุขภาพ หรือกระทำในลักษณะที่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพของบุคคลในครอบครัว หรือบังคับให้บุคคลในครอบครัวต้องกระทำการ ละเว้นกระทำ การหรือยอมรับการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยมิชอบ แต่ไม่รวมถึงการกระทำโดยประมาท
2. กำหนดนิยามคำว่า “บุคคลในครอบครัว” หมายความว่า คู่สมรส คู่สมรสเดิม ผู้ที่อยู่กินหรือเคยอยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส บุตร บุตรบุญธรรม สมาชิกในครอบครัว รวมทั้งบุคคลใด ๆ ที่อาศัยอยู่ในครัวเรือนเดียวกัน แต่ไม่รวมถึงบุคคลที่อยู่ในฐานะผู้เช่า
3. กำหนดให้ความผิดฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัวเป็นความผิดอันยอมความได้ แต่ไม่ลบล้างความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา และให้มีอำนาจยกคดีขึ้นใหม่ได้ หากมีการฝ่าฝืนเงื่อนไขในการยอมความหรือการถอนคำร้องทุกข์
4. กำหนดให้ศาลมีอำนาจกำหนดวิธีการฟื้นฟู บำบัดรักษา คุมความประพฤติ ผู้กระทำความผิด ให้ผู้กระทำผิดชดใช้เงินช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ ทำงานบริการสาธารณะ ละเว้นการกระทำอันเป็นเหตุให้เกิดการใช้ความรุนแรงหรือทำทัณฑ์บนไว้ ตามวิธีการและระยะเวลาที่กำหนดแทนการลงโทษ
5. กำหนดให้บุคคลที่ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว หรือบุคคลอื่นใดที่พบเห็นหรือทราบการกระทำรุนแรงในครอบครัว มีหน้าที่แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยจะแจ้งด้วยวาจา เป็นหนังสือ หรือทางอิเล็กทรอนิกส์ และการแจ้งโดยสุจริตย่อมได้รับความคุ้มครองและไม่ต้องรับผิดในทางแพ่ง ทางอาญา และทางปกครอง
6. กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในเคหสถานที่เกิดเหตุเพื่อสอบถามรวมทั้งมีอำนาจจัดให้ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงได้รับการตรวจรักษา หรือได้รับคำปรึกษาแนะนำตลอดจนการร้องทุกข์ โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนด
7. กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องทำการสอบสวนโดยเร็วหลังจากได้มีการร้องทุกข์ และให้พนักงานอัยการต้องยื่นฟ้องต่อศาลเป็นหนังสือหรือด้วยวาจาภายในกำหนดเวลาสี่สิบแปดชั่วโมง หากมีเหตุจำเป็น ให้ขอผัดฟ้องต่อศาลได้ครั้งละเจ็ดสิบสองชั่วโมง แต่ไม่เกินหกครั้ง และในขณะสอบสวนพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องจัดให้มีจิตแพทย์ นักสังคมสงเคราะห์ หรือบุคคลที่ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงร้องขอร่วมด้วย เว้นแต่มีกรณีจำเป็นเร่งด่วน แต่ต้องบันทึกเหตุที่ไม่อาจรอบุคคลดังกล่าวไว้
8. กำหนดห้ามมิให้ลงพิมพ์โฆษณา หรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนด้วยวิธีการใด ๆ ซึ่งภาพ เรื่องราว หรือข้อมูลใด ๆ อันจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้กระทำหรือผู้ถูกระทำด้วยความรุนแรง หลังจากมีการแจ้งเหตุแล้ว หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษตามที่กำหนด
9. กำหนดให้ศาลหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจกำหนดมาตรการหรือวิธีการใด ๆ เพื่อบรรเทาทุกข์ให้แก่บุคคลผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงเป็นการชั่วคราว ซึ่งรวมถึงการชดใช้เงินช่วยเหลือ การห้ามผู้กระทำความรุนแรงเข้าไปในที่พำนักของครอบครัว ห้ามเข้าใกล้ตัวบุคคลใดในครอบครัว การดูแลบุตร และอาจแก้ไขเพิ่มเติมมาตรการได้ตามเหตุการณ์หรือพฤติการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และผู้มีส่วนได้เสียอาจอุทธรณ์ต่อศาลได้ โดยให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้เป็นที่สุด และหากมีการฝ่าฝืนต้องระวางโทษตามที่กำหนด และให้การกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
10. กำหนดให้นำกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวมาใช้บังคับกับวิธีพิจารณาและการยื่นการรับฟังพยานหลักฐานในกรณีที่พระราชบัญญัตินี้ไม่ได้บัญญัติไว้โดยอนุโลม
11. กำหนดให้การพิจารณาพิพากษาคดีให้ศาลพยายามเปรียบเทียบให้คู่ความได้ยอมกันในข้อพิพาท โดยอาจตั้งผู้ไกล่เกลี่ยซึ่งเป็นบุคคลหรือคณะบุคคล ซึ่งการเปรียบเทียบดังกล่าวต้องคำนึงถึงความสุขและการอยู่ร่วมกันในครอบครัว โดยให้คำนึงหลักการตามที่กำหนด
12. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีการจัดทำรายงานประจำปีเสนอต่อคณะรัฐมนตรี
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 12 กรกฎาคม 2548--จบ--