คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามมติผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและการชลประทาน ครั้งที่ 2/2551 ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและ เลขานุการ คณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและการชลประทาน เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการโครงการผันน้ำน้ำงึม-ห้วยหลวง-ลำปาว ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรอบวงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 76,760 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (ปี 2552-2556) โดยให้เสนอรายละเอียดโครงการต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติการดำเนินโครงการตามขั้นตอนต่อไป
2. สำหรับแนวผันน้ำอื่น ๆ มอบหมายให้คณะอนุกรรมการจัดทำแผนการผันน้ำเพื่อเพิ่มน้ำต้นทุนของประเทศที่คณะกรรมการฯ ได้ตั้งขึ้น โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสหัส บัณฑิตกุล) เป็นที่ปรึกษาอนุกรรมการฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นประธานอนุกรรมการฯ พิจารณาดำเนินการจัดลำดับความสำคัญของโครงการเพื่อเริ่มทำการศึกษาตามความเหมาะสมต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
แนวผันน้ำน้ำงึม-ห้วยหลวง-ลำปาว โดยการผันน้ำจากท้ายเขื่อนน้ำงึม ในเขตสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เข้าคลองผันน้ำความยาว 17 กิโลเมตร แล้วผ่านอุโมงค์ลอดใต้แม่น้ำโขงมายังอ่างเก็บน้ำห้วยหลวง จ.อุดรธานี และต่อไปยังหนองหานกุมภวาปี ได้ปริมาณน้ำ 2,580 ล้าน ลบ.ม. พื้นที่ชลประทาน 3.2 ล้านไร่ ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (2552-2556) วงเงินลงทุน 76,760 ล้านบาท แบ่งเป็นระยะที่ 1 การใช้น้ำในประเทศ ห้วยหลวง-หนองหานกุมภวาปี ระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี (2552-2555) ได้ปริมาณน้ำ 600 ล้าน ลบ.ม./ปี พื้นที่ชลประทาน 1 ล้านไร่ และระยะที่ 2 การใช้น้ำจากนอกประเทศ น้ำงึม-ท่อลอดแม่น้ำโขง-ห้วยหลวง ระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี (2553-2556) ได้ปริมาณน้ำ 1,980 ล้าน ลบ.ม./ปี พื้นที่ชลประทาน 2.2 ล้านไร่ โดยกรมทรัพยากรน้ำจะดำเนินการในส่วนก่อสร้างระบบผันน้ำและการปรับปรุงแหล่งน้ำธรรมชาติ และกรมชลประทานจะดำเนินการในส่วนการปรับปรุงและติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเขื่อนลำปาวและก่อสร้างระบบชลประทาน ซึ่งแนวผันน้ำนี้มีความคุ้มค่าในการลงทุน และมีความพร้อมในการดำเนินการจากการที่ได้มีเขื่อนห้วยหลวงและการพัฒนาพื้นที่ชลประทานในโครงการโขง-ชี-มูล อยู่แล้ว
สำหรับแนวผันน้ำอื่น ๆ เช่น ฝายปากชม (เขื่อนผามอง)-อ่างเก็บน้ำอุบลรัตน์ เลย-ชี-มูล อ่างเก็บน้ำน้ำยวมตอนล่าง-เขื่อนภูมิพล กก-อิง-น่าน อ่างเก็บน้ำแม่แตง-อ่างเก็บน้ำแม่งัด-อ่างเก็บน้ำแม่กวง เขื่อนศรีนครินทร์-สะแกกรังและท่าจีน เขื่อนท่าแซะ-บางสะพาน เขื่อนรัชชประภา-จังหวัดภูเก็ต
ทั้งนี้ ความจำเป็นในการเพิ่มน้ำต้นทุนโดยการผันน้ำ มีดังนี้
1. ในอีก 10 ปีข้างหน้า น้ำต้นทุนของประเทศจะสามารถสนองความต้องการได้ร้อยละ 66 ขณะที่การพัฒนาแหล่งเก็บกักน้ำเพิ่มขึ้นมีข้อจำกัด การพัฒนาแหล่งน้ำและระบบชลประทานของรัฐในช่วงปี 2551-2559 จะทำให้ปริมาณน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้นจาก 52,741 ล้าน ลบ.ม./ปี ในปี 2551 เป็น 58,256 ล้าน ลบ.ม./ปี ในปี 2559 ขณะที่ประมาณการว่าความต้องการใช้น้ำของประเทศโดยรวมจะเพิ่มขึ้นจาก 73,788 ล้าน ลบ.ม./ปี เป็น 88,521 ล้าน ลบ.ม./ปี ดังนั้น ในปี 2559 สภาพการขาดแคลนน้ำโดยรวมของประเทศจะมีประมาณ 30,265 ล้าน ลบ.ม./ปี หรือขาดแคลนร้อยละ 34 ของความต้องการใช้น้ำ
2. การจัดหาน้ำต้นทุนเพิ่มเติมโดยการก่อสร้างแหล่งเก็บกักน้ำขนาดใหญ่มีข้อจำกัดในด้านอุทกภูมิศาสตร์และปัญหาสิ่งแวดล้อม กล่าวคือ
2.1 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูง พื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการก่อสร้างแหล่งกักเก็บน้ำมีจำกัด ปริมาณฝนมีค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับภาคอื่น ๆ และยังมีปัญหาฝนทิ้งช่วงทุกปี
2.2 ภาคเหนือและภาคกลางตอนบน ภาคเหนือมีภูมิประเทศเป็นภูเขาและที่ลาดชันเป็นส่วนใหญ่ จึงมีพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการก่อสร้างแหล่งเก็บกักน้ำเพิ่มขึ้นได้อีก ขณะเดียวกัน ก็เป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของภาคกลางตอนบนซึ่งมีสภาพพื้นที่เป็นที่ราบลุ่มและเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวที่สำคัญของประเทศ การพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุนเพื่อสนองความต้องการใช้น้ำในสองพื้นที่นี้จึงต้องพิจารณาร่วมกัน
3. ภาคตะวันออกและภาคตะวันตก ภูมิประเทศมีภูเขาสูงซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำของลำน้ำที่ไหลลงสู่ทะเล จึงมีศักยภาพในการพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุนในพื้นที่ได้ อย่างไรก็ตาม การก่อสร้างแหล่งเก็บน้ำใหม่ก็มีข้อจำกัดในด้านสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะพื้นที่ป่าไม้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดนายสมัคร สุนทรเวช (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 15 กรกฎาคม 2551--จบ--
1. เห็นชอบในหลักการโครงการผันน้ำน้ำงึม-ห้วยหลวง-ลำปาว ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรอบวงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 76,760 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (ปี 2552-2556) โดยให้เสนอรายละเอียดโครงการต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติการดำเนินโครงการตามขั้นตอนต่อไป
2. สำหรับแนวผันน้ำอื่น ๆ มอบหมายให้คณะอนุกรรมการจัดทำแผนการผันน้ำเพื่อเพิ่มน้ำต้นทุนของประเทศที่คณะกรรมการฯ ได้ตั้งขึ้น โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสหัส บัณฑิตกุล) เป็นที่ปรึกษาอนุกรรมการฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นประธานอนุกรรมการฯ พิจารณาดำเนินการจัดลำดับความสำคัญของโครงการเพื่อเริ่มทำการศึกษาตามความเหมาะสมต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
แนวผันน้ำน้ำงึม-ห้วยหลวง-ลำปาว โดยการผันน้ำจากท้ายเขื่อนน้ำงึม ในเขตสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เข้าคลองผันน้ำความยาว 17 กิโลเมตร แล้วผ่านอุโมงค์ลอดใต้แม่น้ำโขงมายังอ่างเก็บน้ำห้วยหลวง จ.อุดรธานี และต่อไปยังหนองหานกุมภวาปี ได้ปริมาณน้ำ 2,580 ล้าน ลบ.ม. พื้นที่ชลประทาน 3.2 ล้านไร่ ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (2552-2556) วงเงินลงทุน 76,760 ล้านบาท แบ่งเป็นระยะที่ 1 การใช้น้ำในประเทศ ห้วยหลวง-หนองหานกุมภวาปี ระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี (2552-2555) ได้ปริมาณน้ำ 600 ล้าน ลบ.ม./ปี พื้นที่ชลประทาน 1 ล้านไร่ และระยะที่ 2 การใช้น้ำจากนอกประเทศ น้ำงึม-ท่อลอดแม่น้ำโขง-ห้วยหลวง ระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี (2553-2556) ได้ปริมาณน้ำ 1,980 ล้าน ลบ.ม./ปี พื้นที่ชลประทาน 2.2 ล้านไร่ โดยกรมทรัพยากรน้ำจะดำเนินการในส่วนก่อสร้างระบบผันน้ำและการปรับปรุงแหล่งน้ำธรรมชาติ และกรมชลประทานจะดำเนินการในส่วนการปรับปรุงและติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเขื่อนลำปาวและก่อสร้างระบบชลประทาน ซึ่งแนวผันน้ำนี้มีความคุ้มค่าในการลงทุน และมีความพร้อมในการดำเนินการจากการที่ได้มีเขื่อนห้วยหลวงและการพัฒนาพื้นที่ชลประทานในโครงการโขง-ชี-มูล อยู่แล้ว
สำหรับแนวผันน้ำอื่น ๆ เช่น ฝายปากชม (เขื่อนผามอง)-อ่างเก็บน้ำอุบลรัตน์ เลย-ชี-มูล อ่างเก็บน้ำน้ำยวมตอนล่าง-เขื่อนภูมิพล กก-อิง-น่าน อ่างเก็บน้ำแม่แตง-อ่างเก็บน้ำแม่งัด-อ่างเก็บน้ำแม่กวง เขื่อนศรีนครินทร์-สะแกกรังและท่าจีน เขื่อนท่าแซะ-บางสะพาน เขื่อนรัชชประภา-จังหวัดภูเก็ต
ทั้งนี้ ความจำเป็นในการเพิ่มน้ำต้นทุนโดยการผันน้ำ มีดังนี้
1. ในอีก 10 ปีข้างหน้า น้ำต้นทุนของประเทศจะสามารถสนองความต้องการได้ร้อยละ 66 ขณะที่การพัฒนาแหล่งเก็บกักน้ำเพิ่มขึ้นมีข้อจำกัด การพัฒนาแหล่งน้ำและระบบชลประทานของรัฐในช่วงปี 2551-2559 จะทำให้ปริมาณน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้นจาก 52,741 ล้าน ลบ.ม./ปี ในปี 2551 เป็น 58,256 ล้าน ลบ.ม./ปี ในปี 2559 ขณะที่ประมาณการว่าความต้องการใช้น้ำของประเทศโดยรวมจะเพิ่มขึ้นจาก 73,788 ล้าน ลบ.ม./ปี เป็น 88,521 ล้าน ลบ.ม./ปี ดังนั้น ในปี 2559 สภาพการขาดแคลนน้ำโดยรวมของประเทศจะมีประมาณ 30,265 ล้าน ลบ.ม./ปี หรือขาดแคลนร้อยละ 34 ของความต้องการใช้น้ำ
2. การจัดหาน้ำต้นทุนเพิ่มเติมโดยการก่อสร้างแหล่งเก็บกักน้ำขนาดใหญ่มีข้อจำกัดในด้านอุทกภูมิศาสตร์และปัญหาสิ่งแวดล้อม กล่าวคือ
2.1 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูง พื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการก่อสร้างแหล่งกักเก็บน้ำมีจำกัด ปริมาณฝนมีค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับภาคอื่น ๆ และยังมีปัญหาฝนทิ้งช่วงทุกปี
2.2 ภาคเหนือและภาคกลางตอนบน ภาคเหนือมีภูมิประเทศเป็นภูเขาและที่ลาดชันเป็นส่วนใหญ่ จึงมีพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการก่อสร้างแหล่งเก็บกักน้ำเพิ่มขึ้นได้อีก ขณะเดียวกัน ก็เป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของภาคกลางตอนบนซึ่งมีสภาพพื้นที่เป็นที่ราบลุ่มและเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวที่สำคัญของประเทศ การพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุนเพื่อสนองความต้องการใช้น้ำในสองพื้นที่นี้จึงต้องพิจารณาร่วมกัน
3. ภาคตะวันออกและภาคตะวันตก ภูมิประเทศมีภูเขาสูงซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำของลำน้ำที่ไหลลงสู่ทะเล จึงมีศักยภาพในการพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุนในพื้นที่ได้ อย่างไรก็ตาม การก่อสร้างแหล่งเก็บน้ำใหม่ก็มีข้อจำกัดในด้านสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะพื้นที่ป่าไม้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดนายสมัคร สุนทรเวช (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 15 กรกฎาคม 2551--จบ--