คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการโครงการลดภาระหนี้เกษตรกรรายย่อยและยากจนผ่านสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร ให้กับเกษตรกรสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่มีหนี้เงินกู้ไม่เกิน 100,000 บาท จำนวน 950,000 ราย วงเงินกู้รวมประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่เกษตรกรสมาชิกที่ชำระหนี้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2551 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2553 ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 รอบปีบัญชี และให้เกษตรกรที่ได้รับการลดภาระหนี้ต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูอาชีพ โดยจะอุดหนุนเงินทุนเพื่อตั้งเป็นกองทุนเพื่อการฟื้นฟูอาชีพสมาชิกที่ได้รับการลดภาระหนี้ให้กับสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรใช้ดำเนินการตามแผนฟื้นฟูอาชีพ รายละ 3,000 บาท ในกรอบวงเงินงบประมาณ 4,689 ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการด้วย สำหรับงบประมาณดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
1. ค่าใช้จ่ายปีงบประมาณ 2551 จำนวน 19 ล้านบาท ให้ใช้งบประมาณจากการปรับแผนการปฏิบัติราชการของกรมส่งเสริมสหกรณ์
2. ค่าใช้จ่ายปีงบประมาณ 2552 ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ที่สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว เป็นเงิน 885.6548 ล้านบาท หากไม่เพียงพอให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้รับไปสมทบเพิ่มเติมตามความจำเป็นเป็นอันดับแรกก่อน
3. ค่าใช้จ่ายปีงบประมาณ 2553 ให้กรมส่งเสริมสหกรณ์เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
ทั้งนี้ เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตรวจสอบรายละเอียดจำนวนเกษตรกร และวงเงินลดภาระหนี้ให้ถูกต้องครบถ้วนตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง แล้วจึงขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง โดยการให้ความช่วยเหลือจะต้องอยู่ในหลักเกณฑ์ที่กำหนดและไม่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่น
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานว่า
1. ตามที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะพักหนี้ของเกษตรกรรายย่อยและยากจนที่ผ่านกระบวนการจัดทำแผนฟื้นฟูอาชีพ เพื่อสร้างโอกาสให้เกษตรกรสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยการสร้างรายได้และอาชีพที่มั่นคง ซึ่งนโยบายดังกล่าวเป็นนโยบายสำคัญเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรก ตามคำแถลงนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินที่สำคัญต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2551 ประกอบกับคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (1 เมษายน 2551) เห็นชอบให้ดำเนินการตามมาตรการเงินทุนเพื่อประชาชนและเศรษฐกิจฐานรากตามโครงการฟื้นฟูและพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและยากจนให้แก่เกษตรกรลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
2. เนื่องจากยังมีเกษตรกรรายย่อยและยากจนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีเป็นจำนวนมาก และมีปัญหาด้านหนี้สิน เช่นเดียวกับลูกค้า ธ.ก.ส. ได้แก่เกษตรกรที่เป็นสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตามนโยบายของรัฐครอบคลุมถึงเกษตรกรทุกภาคส่วน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงเห็นสมควรดำเนินการในส่วนของสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรด้วย ซึ่งกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้สำรวจข้อมูลหนี้สินของเกษตรกร สมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่มีหนี้เงินกู้ไม่เกิน 100,000 บาท แล้วปรากฏว่ามีจำนวนประมาณ 950,000 ราย มูลหนี้ประมาณ 30,000 ล้านบาท
3. การดำเนินการในส่วนของเกษตรกรสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถใช้มาตรการพักหนี้ได้เช่นเดียวกับลูกค้า ธ.ก.ส. ทั้งนี้ เพราะจากการศึกษาข้อมูลโครงสร้างด้านการเงินของสหกรณ์ภาคการเกษตรและกลุ่มเกษตรกรในธุรกิจสินเชื่อ พบว่า ธุรกิจสินเชื่อให้บริการเงินกู้แก่เกษตรกรสมาชิกใช้เงินทุนจากเงินรับฝากจากเกษตรกรสมาชิกร้อยละ 39 เงินกู้ยืมจาก ธ.ก.ส. ร้อยละ 37 เงินทุนของสหกรณ์เองร้อยละ 16 กู้ยืมจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ หน่วยงานราชการ ธนาคารพาณิชย์ และกู้ยืมระหว่างสหกรณ์ด้วยกันร้อยละ 18 ซึ่งจากแหล่งเงินทุนของแต่ละสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรมีที่มาจากหลายแหล่ง ซึ่งแต่ละแหล่งมีภาระผูกพันที่จะต้องชำระคืนรวมทั้งสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรเป็นองค์กรธุรกิจขนาดเล็ก การดำเนินงานแต่ละแห่งเป็นอิสระต่อกันไม่สามารถเชื่อมโยงหรือถ่ายเทเงินทุนได้เหมือนสาขาธนาคารทำให้เป็นสาเหตุสำคัญที่เป็นข้อจำกัดในการใช้มาตรการพักชำระหนี้ ดังนั้น ในส่วนของสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรจะใช้มาตรการการลดภาระหนี้ให้แก่เกษตรกรรายย่อย โดยเกษตรกรสมาชิกสหกรณ์และเกษตรกรที่ส่งชำระหนี้ตามปกติจะได้รับการลดดอกเบี้ยเงินกู้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดนายสมัคร สุนทรเวช (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 29 กรกฎาคม 2551--จบ--
1. ค่าใช้จ่ายปีงบประมาณ 2551 จำนวน 19 ล้านบาท ให้ใช้งบประมาณจากการปรับแผนการปฏิบัติราชการของกรมส่งเสริมสหกรณ์
2. ค่าใช้จ่ายปีงบประมาณ 2552 ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ที่สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว เป็นเงิน 885.6548 ล้านบาท หากไม่เพียงพอให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้รับไปสมทบเพิ่มเติมตามความจำเป็นเป็นอันดับแรกก่อน
3. ค่าใช้จ่ายปีงบประมาณ 2553 ให้กรมส่งเสริมสหกรณ์เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
ทั้งนี้ เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตรวจสอบรายละเอียดจำนวนเกษตรกร และวงเงินลดภาระหนี้ให้ถูกต้องครบถ้วนตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง แล้วจึงขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง โดยการให้ความช่วยเหลือจะต้องอยู่ในหลักเกณฑ์ที่กำหนดและไม่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่น
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานว่า
1. ตามที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะพักหนี้ของเกษตรกรรายย่อยและยากจนที่ผ่านกระบวนการจัดทำแผนฟื้นฟูอาชีพ เพื่อสร้างโอกาสให้เกษตรกรสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยการสร้างรายได้และอาชีพที่มั่นคง ซึ่งนโยบายดังกล่าวเป็นนโยบายสำคัญเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรก ตามคำแถลงนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินที่สำคัญต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2551 ประกอบกับคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (1 เมษายน 2551) เห็นชอบให้ดำเนินการตามมาตรการเงินทุนเพื่อประชาชนและเศรษฐกิจฐานรากตามโครงการฟื้นฟูและพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและยากจนให้แก่เกษตรกรลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
2. เนื่องจากยังมีเกษตรกรรายย่อยและยากจนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีเป็นจำนวนมาก และมีปัญหาด้านหนี้สิน เช่นเดียวกับลูกค้า ธ.ก.ส. ได้แก่เกษตรกรที่เป็นสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตามนโยบายของรัฐครอบคลุมถึงเกษตรกรทุกภาคส่วน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงเห็นสมควรดำเนินการในส่วนของสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรด้วย ซึ่งกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้สำรวจข้อมูลหนี้สินของเกษตรกร สมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่มีหนี้เงินกู้ไม่เกิน 100,000 บาท แล้วปรากฏว่ามีจำนวนประมาณ 950,000 ราย มูลหนี้ประมาณ 30,000 ล้านบาท
3. การดำเนินการในส่วนของเกษตรกรสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถใช้มาตรการพักหนี้ได้เช่นเดียวกับลูกค้า ธ.ก.ส. ทั้งนี้ เพราะจากการศึกษาข้อมูลโครงสร้างด้านการเงินของสหกรณ์ภาคการเกษตรและกลุ่มเกษตรกรในธุรกิจสินเชื่อ พบว่า ธุรกิจสินเชื่อให้บริการเงินกู้แก่เกษตรกรสมาชิกใช้เงินทุนจากเงินรับฝากจากเกษตรกรสมาชิกร้อยละ 39 เงินกู้ยืมจาก ธ.ก.ส. ร้อยละ 37 เงินทุนของสหกรณ์เองร้อยละ 16 กู้ยืมจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ หน่วยงานราชการ ธนาคารพาณิชย์ และกู้ยืมระหว่างสหกรณ์ด้วยกันร้อยละ 18 ซึ่งจากแหล่งเงินทุนของแต่ละสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรมีที่มาจากหลายแหล่ง ซึ่งแต่ละแหล่งมีภาระผูกพันที่จะต้องชำระคืนรวมทั้งสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรเป็นองค์กรธุรกิจขนาดเล็ก การดำเนินงานแต่ละแห่งเป็นอิสระต่อกันไม่สามารถเชื่อมโยงหรือถ่ายเทเงินทุนได้เหมือนสาขาธนาคารทำให้เป็นสาเหตุสำคัญที่เป็นข้อจำกัดในการใช้มาตรการพักชำระหนี้ ดังนั้น ในส่วนของสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรจะใช้มาตรการการลดภาระหนี้ให้แก่เกษตรกรรายย่อย โดยเกษตรกรสมาชิกสหกรณ์และเกษตรกรที่ส่งชำระหนี้ตามปกติจะได้รับการลดดอกเบี้ยเงินกู้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดนายสมัคร สุนทรเวช (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 29 กรกฎาคม 2551--จบ--