คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยสำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สรุปผลความก้าวหน้าการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยดินถล่มภาคเหนือ 5 จังหวัด และสถานการณ์อุทกภัยจากอิทธิพลลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทย (ข้อมูลถึงวันที่ 17 กรกฎาคม 2549) ดังนี้
1. สรุปผลความก้าวหน้าการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่มภาคเหนือของกระทรวงมหาดไทย (จนถึง 17 กรกฎาคม 2549)
1.1 ได้จัดสร้างเต้นท์พักอาศัยชั่วคราวเสร็จแล้ว จำนวน 209 หลัง ให้แก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่ ดังนี้ (1) เทศบาลตำบลหัวดง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 112 หลัง (2) ตำบลบ้านด่านนาขาม อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 23 หลัง (3) บ้านน้ำต๊ะ และบ้านน้ำลี ตำบลน้ำหมัน อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 44 หลัง (4) ตำบลบ้านตึก อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย จำนวน 30 หลัง
1.2 ได้จัดสร้างบ้านพักชั่วคราว (บ้านน็อคดาวน์) ของมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยากที่บ้านแม่คุ หมู่ที่ 8 ตำบลบ้านตึก อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย จำนวน 24 หลัง
1.3 การเตรียมพื้นที่รองรับการสร้างบ้านพักถาวรใน 3 จังหวัด
การก่อสร้างบ้านประกอบสำเร็จรูป (บ้านน็อคดาวน์) มูลนิธิไทยคมได้ดำเนินการในพื้นที่ที่มีความพร้อมแล้ว โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองร่วมกับกรมที่ดินจัดวางผังหมู่บ้าน/ชุมชนให้มีความเหมาะสมและมีพื้นที่ใช้สอยส่วนกลาง ดังนี้
(1) จังหวัดแพร่ ที่อำเภอสูงเม่น จำนวน 23 หลัง สำหรับอำเภอเมือง จำนวน 104 หลัง และอำเภอเด่นชัย จำนวน 8 หลัง โดยใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ
(2) จังหวัดอุตรดิตถ์ ได้จัดเตรียมที่ดินรองรับเบื้องต้นแล้ว ดังนี้ ในที่ดินที่ของนิคมสร้างตนเองลำน้ำน่าน อ.ท่าปลา 2 แปลง ที่ดินสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ อ.เมืองฯ (3 แปลง) และลับแล (2 แปลง) รวม 7 แปลง เนื้อที่ประมาณ 1,501 ไร่ โดยราษฎรประสงค์ให้จัดสร้างบ้านในที่ดินที่ราชการจัดให้ 216 หลัง สร้างในที่ดินตนเอง 268 หลัง
(3) จังหวัดสุโขทัย จำนวน 73 หลัง (อำเภอศรีสัชนาลัย) ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ต.บ้านตึก
1.4 การเสด็จเยี่ยมราษฎรผู้ประสบอุทกภัย
เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2549 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎรผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่บ้านน้ำลี ตำบลน้ำหมัน อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ ได้ทรงรับฟังรายงานสรุปความเสียหายและความคืบหน้าเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย พระราชทานเงินกองทุนพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ เป็นทุนประกอบอาหารกลางวันสำหรับนักเรียน จำนวน 100,000 บาท และอุปกรณ์การเรียน การสอน พระราชทาน และประทานถุงยังชีพพระราชทานแก่ผู้แทนราษฎรบ้านน้ำลี
จากนั้น ได้ทรงรับฟังการบรรยายสรุปการให้ความช่วยเหลือราษฎรของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทอดพระเนตรแผนงานโครงการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยและเครื่องมือสัญญาณเตือนภัย ทรงมีพระราชปฏิสันถารและพระปฏิสันถารกับคณะแพทย์และเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข ทรงเยี่ยมราษฎรพระราชทานเงินสงเคราะห์และถุงยังชีพพระราชทานแก่ราษฎรที่ประสบอุทกภัยบ้านเสียหายทั้งหลัง จำนวน 15 ครอบครัว
ในการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรผู้ประสบอุทกภัยในครั้งนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช) ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ หัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าฯ รับเสด็จ ฯ ด้วย
1.5 ความก้าวหน้าในการก่อสร้างบ้านถาวรของมูลนิธิไทยคม เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2549 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช)พร้อมคณะฯ ได้เดินทางไปเป็นประธานในพิธีส่งมอบบ้านน็อคดาวน์ ของมูลนิธิไทยคมช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ เฟสแรก รวม 62 หลัง ดังนี้
1) ที่บ้านน้ำพุ หมู่ที่ 3 ตำบลบ้านกวาง อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ จำนวน 23 หลัง
2) ที่นิคมลำน้ำน่าน บ้านปากทับ หมู่ที่ 7 ตำบลผาเลือด อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 46 หลัง
3) ที่บ้านห้วยกุ่มไทยคม หมู่ที่ 6 ตำบลบ้านตึก อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย จำนวน 19 หลัง
1.6) การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคเหนือ ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546 (ข้อมูล ณ 14 ก.ค.2549)
(1) ด้านการช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นเงิน 70,932,139 บาท แยกได้ดังนี้
-ค่าด้านการจัดการศพ จำนวน 88 ราย เป็นเงิน 1,920,000 บาท
-ค่าช่วยเหลือญาติผู้สูญหาย จำนวน 25 ราย เป็นเงิน 750,000 บาท
-ค่าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ จำนวน 1,045 ราย เป็นเงิน 2,196,000 บาท
-ค่าที่อยู่อาศัย จำนวน 2,417 ราย เป็นเงิน 32,700,371 บาท
-ค่าเครื่องมือ/ทุนประกอบอาชีพ จำนวน 30 ราย เป็นเงิน 265,800 บาท
-ค่าเครื่องนุ่งห่ม จำนวน 648 ราย เป็นเงิน 702,800 บาท
-ค่าอาหารจัดเลี้ยง จำนวน 237,491 ราย เป็นเงิน 18,602,498 บาท
-ค่าอื่น ๆ เป็นเงิน 13,794,670 บาท
(2) ด้านป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นเงิน 16,487,090 บาท
(3) ด้านการปฏิบัติงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นเงิน 6,497,970 บาท
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 93,917,199 บาท
1.7) การเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยและดินถล่มในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ
เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2549 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช) ได้ประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดภาคเหนือ 17 จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่โรงแรมเชียงใหม่ออคิด อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเตรียมการป้องกัน และแก้ไขปัญหาอุทกภัยและดินถล่ม ได้มีข้อสั่งการดังนี้
1. ให้ทุกจังหวัดให้ความสำคัญของการรายงานสถานการณ์อุทกภัย ความเสียหายและการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น ผ่านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการให้ข้อมูลระดับน้ำในแม่น้ำสายหลัก ระดับน้ำท่วมขัง การเพิ่มขึ้น-ลดลงของระดับน้ำ โดยให้รายงานอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น)
2. ให้จังหวัดตรวจสอบพื้นที่เสี่ยงภัยสูง (สีแดง) ที่ยังไม่มีไซเรนแบบมือหมุน โดยให้รีบดำเนินการปรับย้ายไซเรนแบบมือหมุนจากพื้นที่เสี่ยงภัยต่ำ ไปติดตั้งในพื้นที่เสี่ยงภัยสูงให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน พร้อมทั้งให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ประสานองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นให้จัดหาเครื่องวัดปริมาณน้ำฝน และไซเรนแบบมือหมุนเพื่อติดตั้งในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงภัยสูงให้ครบถ้วน (ในพื้นที่ภาคเหนือมีพื้นที่เสี่ยงภัย จำนวน 1,063 หมู่บ้าน ยังไม่ได้ติดตั้งไซเรนแบบมือหมุน จำนวน 775 เครื่อง และเครื่องวัดปริมาณน้ำฝน 631 เครื่อง)
3. ให้จังหวัดร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น และกรมทรัพยากรธรณี เร่งฝึกอบรมการให้ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่ม และคัดเลือกประชาชน ที่ผ่านการอบรม 2 คน/หมู่บ้าน เพื่อปฏิบัติหน้าที่อาสาสมัครแจ้งเตือนภัย ในการเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ ตรวจระดับน้ำปริมาณฝน โดยแจ้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อแจ้งเตือนภัยจากเครื่องไซเรนแบบมือหมุน หรือทางหอกระจายข่าวได้อย่างทันที เมื่อคาดว่าจะเกิดน้ำป่าไหลหลาก เพื่อให้ประชาชนในหมู่บ้านอพยพไปยังสถานที่ปลอดภัยตามแผนที่กำหนด
4. ให้จังหวัดเร่งรัดดำเนินการตามนโยบายของกระทรวงมหาดไทย ในการฝึกอบรมเพิ่มสมาชิกอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) ให้ครบตามเป้าหมายร้อยละสองของประชากร เพื่อเป็นกำลังหลักในหมู่บ้าน/ตำบลในการปฏิบัติช่วยเหลือประชาชนได้ทันทีเมื่อมีสาธารณภัยเกิดขึ้นในพื้นที่
5. ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด แบ่งมอบภารกิจให้รองผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด รับผิดชอบดูแลพื้นที่เสี่ยงภัยในแต่ละจุด เพื่อให้มีการติดตั้งเครื่องมือเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยในหมู่บ้าน การฝึกอบรมให้ความรู้แก่ชุมชน และการฝึกซ้อมแผน อพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยสูง เพื่อให้ประชาชนเกิดความตระหนักสามารถช่วยเหลือตนเองได้เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น
6. ปัจจุบันกรมทรัพยากรธรณี ได้จัดหาเครื่องวัดปริมาณน้ำฝนไว้แล้ว จำนวน 4,000 ชุด จึงขอให้จังหวัดแจ้งขอรับการสนับสนุนไปยังกรมทรัพยากรธรณี เพื่อนำมาติดตั้งในพื้นที่เสี่ยงภัยให้ครบถ้วนต่อไป
7. มอบให้กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กำหนดระเบียบ ค่าตอบแทนให้แก่ประชาชนที่ผ่านการฝึกอบรม และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอาสาสมัครแจ้งเตือนภัยประจำหมู่บ้านซึ่งทำหน้าที่ตรวจวัดและบันทึกข้อมูลปริมาณฝนประจำหมู่บ้าน เพื่อเป็นค่าตอบแทนในการปฏิบัติหน้าที่ด้วย
8. ดำเนินการตามนโยบาย มาตรการและแนวทางปฏิบัติ ที่กระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการไว้แล้วทั้งในระยะก่อนเกิดภัย ขณะเกิดภัย และภายหลังการเกิดภัยอย่างเคร่งครัด
2. สรุปสถานการณ์อุทกภัยจากอิทธิพลมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ (ระหว่างวันที่ 1-17 กรกฎาคม 2549)
ระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน — 17 กรกฎาคม 2549 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทยและอ่าวไทย เป็นเหตุให้มีฝนตกหนักมากตั้งแต่วันที่ 1 — 17 กรกฎาคม 2549 ในหลายพื้นที่ของภาคตะวันออก ภาคตะวันตกและภาคใต้ ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ต่าง ๆ เป็นเหตุให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน สิ่งสาธารณประโยชน์และทรัพย์สินของประชาชนเสียหายเป็นจำนวนมาก
2.1 พื้นที่ประสบอุทกภัย รวม 14 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี อุดรธานี นครพนม ตราด ตาก แม่ฮ่องสอน ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สตูล ตรัง กระบี่ และสุราษฎร์ธานี (ตั้งแต่วันที่ 30 มิ.ย.2549 — 17 ก.ค.2549) มีผู้เสียชีวิต 4 คน (แม่ฮ่องสอน 1 คน สตูล 2 คน ตรัง 1 คน)
2.2 สถานการณ์อุทกภัยปัจจุบัน (ณ วันที่ 17 ก.ค. 2549) สรุปได้ดังนี้
2.2.1 พื้นที่ที่สถานการณ์คลี่คลายแล้ว รวม 12 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด อุดรธานี นครพนม ตาก แม่ฮ่องสอน ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สตูล และกระบี่
2.2.2 พื้นที่ที่ยังคงมีสถานการณ์ รวม 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดตรัง และสุราษฎร์ธานี
1) จังหวัดตรัง ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่
1.1 อำเภอวังวิเศษ ในตำบลเขาวิเศษ (หมู่ที่ 1,2,4,8,11,16,18) ตำบลวังมะปราง (หมู่ที่ 1,5,9) ตำบลท่าสะบ้า (หมู่ที่ 2,3,4,5,8,9,10,11) ขณะนี้ระดับน้ำได้เริ่มลดลงเกือบเข้าสู่ภาวะปกติ โรงเรียนวังวิเศษ และโรงเรียนวัดเขาวิเศษ เปิดการเรียนการสอนได้ตามปกติแล้ว
1.2 อำเภอเมือง มีพื้นที่ประสบภัย รวม 4 ตำบล ได้แก่ ตำบลบางรัก (หมู่ที่ 1-6) ตำบลหนองตรุด (หมู่ที่ 1,3,7,8) ตำบลนาตาล่วง (หมู่ที่ 4) และตำบลนาโยงใต้ (หมู่ที่ 7) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20 เมตร
การให้ความช่วยเหลือ
- ผู้ว่าราชการจังหวัดตรังได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งให้การช่วยเหลือ พร้อมออกตรวจพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย และแจกจ่ายถุงยังชีพ 1,146 ชุด น้ำดื่ม จำนวน 12,000 ลิตร รวมทั้งจัดส่งสมาชิก อปพร. และสมาชิก อส. เข้าดำเนินการให้ความช่วยเหลือ
- อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (นายอนุชา โมกขะเวส) ได้มอบหมายให้ผู้ตรวจราชการกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 11-12 เดินทางไปประสานงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่จังหวัดตรัง
2) จังหวัดสุราษฎร์ธานี ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่
2.1) อำเภอพระแสง น้ำที่ท่วมขังบริเวณบ้านเรือนประชาชนและพื้นที่การเกษตรที่อยู่ริมน้ำในตำบลไทรขึง และตำบลไทรโสภา มีระดับลดลงเล็กน้อย ระดับน้ำสูงประมาณ 0.10 ม. โดยน้ำได้ไหลเข้าท่วมที่ตำบลสาคู (หมู่ที่ 2) ตำบลอิปัน (บ้านบางหยด หมู่ที่ 8) และตำบลสินปุน (หมู่ที่ 3) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.40-0.60 เมตร
2.2) อำเภอชัยบุรี มีน้ำท่วมขังในพื้นที่ 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลชัยบุรี สองแพรกและไทรทอง ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20 ม. ระดับน้ำลดลง และมีฝนตกเล็กน้อยเป็นบางแห่งในพื้นที่
การให้ความช่วยเหลือ
- ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 11 สุราษฎร์ธานี สนับสนุนเรือท้องแบบช่วยเหลือผู้ประสบภัยอำเภอพระแสง จำนวน 5 ลำ และอำเภอชัยบุรี จำนวน 4 ลำ และหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 46 สนับสนุนเรือท้องแบนช่วยเหลือผู้ประสบภัยอำเภอพระแสง จำนวน 2 ลำ นอกจากนี้จังหวัดได้แจกจ่ายถุงยังชีพ จำนวน 300 ชุด มอบให้กับราษฎรที่ประสบภัยที่อำเภอพระแสง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) (รักษาการนายกรัฐมนตรี) วันที่ 18 กรกฎาคม 2549--จบ--
1. สรุปผลความก้าวหน้าการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่มภาคเหนือของกระทรวงมหาดไทย (จนถึง 17 กรกฎาคม 2549)
1.1 ได้จัดสร้างเต้นท์พักอาศัยชั่วคราวเสร็จแล้ว จำนวน 209 หลัง ให้แก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่ ดังนี้ (1) เทศบาลตำบลหัวดง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 112 หลัง (2) ตำบลบ้านด่านนาขาม อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 23 หลัง (3) บ้านน้ำต๊ะ และบ้านน้ำลี ตำบลน้ำหมัน อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 44 หลัง (4) ตำบลบ้านตึก อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย จำนวน 30 หลัง
1.2 ได้จัดสร้างบ้านพักชั่วคราว (บ้านน็อคดาวน์) ของมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยากที่บ้านแม่คุ หมู่ที่ 8 ตำบลบ้านตึก อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย จำนวน 24 หลัง
1.3 การเตรียมพื้นที่รองรับการสร้างบ้านพักถาวรใน 3 จังหวัด
การก่อสร้างบ้านประกอบสำเร็จรูป (บ้านน็อคดาวน์) มูลนิธิไทยคมได้ดำเนินการในพื้นที่ที่มีความพร้อมแล้ว โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองร่วมกับกรมที่ดินจัดวางผังหมู่บ้าน/ชุมชนให้มีความเหมาะสมและมีพื้นที่ใช้สอยส่วนกลาง ดังนี้
(1) จังหวัดแพร่ ที่อำเภอสูงเม่น จำนวน 23 หลัง สำหรับอำเภอเมือง จำนวน 104 หลัง และอำเภอเด่นชัย จำนวน 8 หลัง โดยใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ
(2) จังหวัดอุตรดิตถ์ ได้จัดเตรียมที่ดินรองรับเบื้องต้นแล้ว ดังนี้ ในที่ดินที่ของนิคมสร้างตนเองลำน้ำน่าน อ.ท่าปลา 2 แปลง ที่ดินสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ อ.เมืองฯ (3 แปลง) และลับแล (2 แปลง) รวม 7 แปลง เนื้อที่ประมาณ 1,501 ไร่ โดยราษฎรประสงค์ให้จัดสร้างบ้านในที่ดินที่ราชการจัดให้ 216 หลัง สร้างในที่ดินตนเอง 268 หลัง
(3) จังหวัดสุโขทัย จำนวน 73 หลัง (อำเภอศรีสัชนาลัย) ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ต.บ้านตึก
1.4 การเสด็จเยี่ยมราษฎรผู้ประสบอุทกภัย
เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2549 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎรผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่บ้านน้ำลี ตำบลน้ำหมัน อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ ได้ทรงรับฟังรายงานสรุปความเสียหายและความคืบหน้าเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย พระราชทานเงินกองทุนพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ เป็นทุนประกอบอาหารกลางวันสำหรับนักเรียน จำนวน 100,000 บาท และอุปกรณ์การเรียน การสอน พระราชทาน และประทานถุงยังชีพพระราชทานแก่ผู้แทนราษฎรบ้านน้ำลี
จากนั้น ได้ทรงรับฟังการบรรยายสรุปการให้ความช่วยเหลือราษฎรของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทอดพระเนตรแผนงานโครงการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยและเครื่องมือสัญญาณเตือนภัย ทรงมีพระราชปฏิสันถารและพระปฏิสันถารกับคณะแพทย์และเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข ทรงเยี่ยมราษฎรพระราชทานเงินสงเคราะห์และถุงยังชีพพระราชทานแก่ราษฎรที่ประสบอุทกภัยบ้านเสียหายทั้งหลัง จำนวน 15 ครอบครัว
ในการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรผู้ประสบอุทกภัยในครั้งนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช) ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ หัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าฯ รับเสด็จ ฯ ด้วย
1.5 ความก้าวหน้าในการก่อสร้างบ้านถาวรของมูลนิธิไทยคม เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2549 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช)พร้อมคณะฯ ได้เดินทางไปเป็นประธานในพิธีส่งมอบบ้านน็อคดาวน์ ของมูลนิธิไทยคมช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ เฟสแรก รวม 62 หลัง ดังนี้
1) ที่บ้านน้ำพุ หมู่ที่ 3 ตำบลบ้านกวาง อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ จำนวน 23 หลัง
2) ที่นิคมลำน้ำน่าน บ้านปากทับ หมู่ที่ 7 ตำบลผาเลือด อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 46 หลัง
3) ที่บ้านห้วยกุ่มไทยคม หมู่ที่ 6 ตำบลบ้านตึก อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย จำนวน 19 หลัง
1.6) การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคเหนือ ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546 (ข้อมูล ณ 14 ก.ค.2549)
(1) ด้านการช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นเงิน 70,932,139 บาท แยกได้ดังนี้
-ค่าด้านการจัดการศพ จำนวน 88 ราย เป็นเงิน 1,920,000 บาท
-ค่าช่วยเหลือญาติผู้สูญหาย จำนวน 25 ราย เป็นเงิน 750,000 บาท
-ค่าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ จำนวน 1,045 ราย เป็นเงิน 2,196,000 บาท
-ค่าที่อยู่อาศัย จำนวน 2,417 ราย เป็นเงิน 32,700,371 บาท
-ค่าเครื่องมือ/ทุนประกอบอาชีพ จำนวน 30 ราย เป็นเงิน 265,800 บาท
-ค่าเครื่องนุ่งห่ม จำนวน 648 ราย เป็นเงิน 702,800 บาท
-ค่าอาหารจัดเลี้ยง จำนวน 237,491 ราย เป็นเงิน 18,602,498 บาท
-ค่าอื่น ๆ เป็นเงิน 13,794,670 บาท
(2) ด้านป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นเงิน 16,487,090 บาท
(3) ด้านการปฏิบัติงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นเงิน 6,497,970 บาท
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 93,917,199 บาท
1.7) การเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยและดินถล่มในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ
เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2549 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช) ได้ประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดภาคเหนือ 17 จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่โรงแรมเชียงใหม่ออคิด อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเตรียมการป้องกัน และแก้ไขปัญหาอุทกภัยและดินถล่ม ได้มีข้อสั่งการดังนี้
1. ให้ทุกจังหวัดให้ความสำคัญของการรายงานสถานการณ์อุทกภัย ความเสียหายและการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น ผ่านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการให้ข้อมูลระดับน้ำในแม่น้ำสายหลัก ระดับน้ำท่วมขัง การเพิ่มขึ้น-ลดลงของระดับน้ำ โดยให้รายงานอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น)
2. ให้จังหวัดตรวจสอบพื้นที่เสี่ยงภัยสูง (สีแดง) ที่ยังไม่มีไซเรนแบบมือหมุน โดยให้รีบดำเนินการปรับย้ายไซเรนแบบมือหมุนจากพื้นที่เสี่ยงภัยต่ำ ไปติดตั้งในพื้นที่เสี่ยงภัยสูงให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน พร้อมทั้งให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ประสานองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นให้จัดหาเครื่องวัดปริมาณน้ำฝน และไซเรนแบบมือหมุนเพื่อติดตั้งในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงภัยสูงให้ครบถ้วน (ในพื้นที่ภาคเหนือมีพื้นที่เสี่ยงภัย จำนวน 1,063 หมู่บ้าน ยังไม่ได้ติดตั้งไซเรนแบบมือหมุน จำนวน 775 เครื่อง และเครื่องวัดปริมาณน้ำฝน 631 เครื่อง)
3. ให้จังหวัดร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น และกรมทรัพยากรธรณี เร่งฝึกอบรมการให้ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่ม และคัดเลือกประชาชน ที่ผ่านการอบรม 2 คน/หมู่บ้าน เพื่อปฏิบัติหน้าที่อาสาสมัครแจ้งเตือนภัย ในการเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ ตรวจระดับน้ำปริมาณฝน โดยแจ้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อแจ้งเตือนภัยจากเครื่องไซเรนแบบมือหมุน หรือทางหอกระจายข่าวได้อย่างทันที เมื่อคาดว่าจะเกิดน้ำป่าไหลหลาก เพื่อให้ประชาชนในหมู่บ้านอพยพไปยังสถานที่ปลอดภัยตามแผนที่กำหนด
4. ให้จังหวัดเร่งรัดดำเนินการตามนโยบายของกระทรวงมหาดไทย ในการฝึกอบรมเพิ่มสมาชิกอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) ให้ครบตามเป้าหมายร้อยละสองของประชากร เพื่อเป็นกำลังหลักในหมู่บ้าน/ตำบลในการปฏิบัติช่วยเหลือประชาชนได้ทันทีเมื่อมีสาธารณภัยเกิดขึ้นในพื้นที่
5. ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด แบ่งมอบภารกิจให้รองผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด รับผิดชอบดูแลพื้นที่เสี่ยงภัยในแต่ละจุด เพื่อให้มีการติดตั้งเครื่องมือเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยในหมู่บ้าน การฝึกอบรมให้ความรู้แก่ชุมชน และการฝึกซ้อมแผน อพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยสูง เพื่อให้ประชาชนเกิดความตระหนักสามารถช่วยเหลือตนเองได้เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น
6. ปัจจุบันกรมทรัพยากรธรณี ได้จัดหาเครื่องวัดปริมาณน้ำฝนไว้แล้ว จำนวน 4,000 ชุด จึงขอให้จังหวัดแจ้งขอรับการสนับสนุนไปยังกรมทรัพยากรธรณี เพื่อนำมาติดตั้งในพื้นที่เสี่ยงภัยให้ครบถ้วนต่อไป
7. มอบให้กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กำหนดระเบียบ ค่าตอบแทนให้แก่ประชาชนที่ผ่านการฝึกอบรม และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอาสาสมัครแจ้งเตือนภัยประจำหมู่บ้านซึ่งทำหน้าที่ตรวจวัดและบันทึกข้อมูลปริมาณฝนประจำหมู่บ้าน เพื่อเป็นค่าตอบแทนในการปฏิบัติหน้าที่ด้วย
8. ดำเนินการตามนโยบาย มาตรการและแนวทางปฏิบัติ ที่กระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการไว้แล้วทั้งในระยะก่อนเกิดภัย ขณะเกิดภัย และภายหลังการเกิดภัยอย่างเคร่งครัด
2. สรุปสถานการณ์อุทกภัยจากอิทธิพลมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ (ระหว่างวันที่ 1-17 กรกฎาคม 2549)
ระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน — 17 กรกฎาคม 2549 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทยและอ่าวไทย เป็นเหตุให้มีฝนตกหนักมากตั้งแต่วันที่ 1 — 17 กรกฎาคม 2549 ในหลายพื้นที่ของภาคตะวันออก ภาคตะวันตกและภาคใต้ ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ต่าง ๆ เป็นเหตุให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน สิ่งสาธารณประโยชน์และทรัพย์สินของประชาชนเสียหายเป็นจำนวนมาก
2.1 พื้นที่ประสบอุทกภัย รวม 14 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี อุดรธานี นครพนม ตราด ตาก แม่ฮ่องสอน ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สตูล ตรัง กระบี่ และสุราษฎร์ธานี (ตั้งแต่วันที่ 30 มิ.ย.2549 — 17 ก.ค.2549) มีผู้เสียชีวิต 4 คน (แม่ฮ่องสอน 1 คน สตูล 2 คน ตรัง 1 คน)
2.2 สถานการณ์อุทกภัยปัจจุบัน (ณ วันที่ 17 ก.ค. 2549) สรุปได้ดังนี้
2.2.1 พื้นที่ที่สถานการณ์คลี่คลายแล้ว รวม 12 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด อุดรธานี นครพนม ตาก แม่ฮ่องสอน ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สตูล และกระบี่
2.2.2 พื้นที่ที่ยังคงมีสถานการณ์ รวม 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดตรัง และสุราษฎร์ธานี
1) จังหวัดตรัง ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่
1.1 อำเภอวังวิเศษ ในตำบลเขาวิเศษ (หมู่ที่ 1,2,4,8,11,16,18) ตำบลวังมะปราง (หมู่ที่ 1,5,9) ตำบลท่าสะบ้า (หมู่ที่ 2,3,4,5,8,9,10,11) ขณะนี้ระดับน้ำได้เริ่มลดลงเกือบเข้าสู่ภาวะปกติ โรงเรียนวังวิเศษ และโรงเรียนวัดเขาวิเศษ เปิดการเรียนการสอนได้ตามปกติแล้ว
1.2 อำเภอเมือง มีพื้นที่ประสบภัย รวม 4 ตำบล ได้แก่ ตำบลบางรัก (หมู่ที่ 1-6) ตำบลหนองตรุด (หมู่ที่ 1,3,7,8) ตำบลนาตาล่วง (หมู่ที่ 4) และตำบลนาโยงใต้ (หมู่ที่ 7) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20 เมตร
การให้ความช่วยเหลือ
- ผู้ว่าราชการจังหวัดตรังได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งให้การช่วยเหลือ พร้อมออกตรวจพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย และแจกจ่ายถุงยังชีพ 1,146 ชุด น้ำดื่ม จำนวน 12,000 ลิตร รวมทั้งจัดส่งสมาชิก อปพร. และสมาชิก อส. เข้าดำเนินการให้ความช่วยเหลือ
- อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (นายอนุชา โมกขะเวส) ได้มอบหมายให้ผู้ตรวจราชการกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 11-12 เดินทางไปประสานงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่จังหวัดตรัง
2) จังหวัดสุราษฎร์ธานี ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่
2.1) อำเภอพระแสง น้ำที่ท่วมขังบริเวณบ้านเรือนประชาชนและพื้นที่การเกษตรที่อยู่ริมน้ำในตำบลไทรขึง และตำบลไทรโสภา มีระดับลดลงเล็กน้อย ระดับน้ำสูงประมาณ 0.10 ม. โดยน้ำได้ไหลเข้าท่วมที่ตำบลสาคู (หมู่ที่ 2) ตำบลอิปัน (บ้านบางหยด หมู่ที่ 8) และตำบลสินปุน (หมู่ที่ 3) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.40-0.60 เมตร
2.2) อำเภอชัยบุรี มีน้ำท่วมขังในพื้นที่ 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลชัยบุรี สองแพรกและไทรทอง ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20 ม. ระดับน้ำลดลง และมีฝนตกเล็กน้อยเป็นบางแห่งในพื้นที่
การให้ความช่วยเหลือ
- ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 11 สุราษฎร์ธานี สนับสนุนเรือท้องแบบช่วยเหลือผู้ประสบภัยอำเภอพระแสง จำนวน 5 ลำ และอำเภอชัยบุรี จำนวน 4 ลำ และหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 46 สนับสนุนเรือท้องแบนช่วยเหลือผู้ประสบภัยอำเภอพระแสง จำนวน 2 ลำ นอกจากนี้จังหวัดได้แจกจ่ายถุงยังชีพ จำนวน 300 ชุด มอบให้กับราษฎรที่ประสบภัยที่อำเภอพระแสง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) (รักษาการนายกรัฐมนตรี) วันที่ 18 กรกฎาคม 2549--จบ--