คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยสำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้สรุปสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัย (วันที่ 27 สิงหาคม — 30 ตุลาคม 2549) ดังนี้
1. สรุปสถานการณ์อุทกภัย (ระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม — 30 ตุลาคม 2549)
1.1 พื้นที่ประสบภัย รวม 47 จังหวัด 337 อำเภอ 24 กิ่งอำเภอ 2,216 ตำบล 13,261 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 3,681,518 คน 1,065,436 ครัวเรือน ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง แพร่ พะเยา อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ พิษณุโลก สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร พิจิตร นครสวรรค์ ชัยนาท อุทัยธานี สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม นครนายก ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี จันทบุรี ตราด ชัยภูมิ ขอนแก่น อุดรธานี นครราชสีมา ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ สุรินทร์ อุบลราชธานี ยโสธร ร้อยเอ็ด ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พังงา และกรุงเทพมหานคร
1.2 ความเสียหาย
1) ผู้เสียชีวิต 159 คน (เชียงใหม่ 8 คน แม่ฮ่องสอน 3 คน ลำปาง 3 คน สุโขทัย 9 คน พิษณุโลก 12 คน นครสวรรค์ 12 คน เพชรบูรณ์ 1 คน ชัยนาท 2 คน สิงห์บุรี 15 คน อ่างทอง 12 คน พิจิตร 12 คน ปราจีนบุรี 11 คน จันทบุรี 3 คน ปทุมธานี 4 คน พระนครศรีอยุธยา 18 คน สุพรรณบุรี 4 คน ชัยภูมิ 7 คน ยโสธร 9 คน ร้อยเอ็ด 2 คน ลพบุรี 2 คน อุทัยธานี 7 คน พังงา 1 คน และ กรุงเทพมหานคร 2 คน)
2) ด้านทรัพย์สิน บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 54 หลัง เสียหายบางส่วน 9,137 หลัง ถนน 5,241 สาย สะพาน 326 แห่ง ท่อระบายน้ำ 396 แห่ง ทำนบ/ฝาย/เหมือง 508 แห่ง พื้นที่ทางการเกษตร 3,007,431 ไร่ บ่อปลา/กุ้ง 35,152 บ่อ วัด/โรงเรียน 1,132 แห่ง ความเสียหายอื่น ๆ อยู่ระหว่างการสำรวจ
3) มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นเท่าที่สำรวจได้ ประมาณ 377,675,751 บาท (ไม่รวมทรัพย์สิน บ้านเรือน และความเสียหายด้านการเกษตร)
2. สถานการณ์ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ต.ค.2549)
2.1 พื้นที่สถานการณ์อุทกภัยคลี่คลายแล้ว 32 จังหวัด
2.2 ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย 15 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก สุโขทัย พิจิตร นครสวรรค์ ชัยนาท อุทัยธานี สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพฯ
- ใน 74 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอ 16 เขต (คิดเป็นร้อยละ 50.28 ของอำเภอ/กิ่งอำเภอและเขตทั้งหมดใน 15 จังหวัดที่ยังประสบอุทกภัย) 612 ตำบล 4,205 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 1,170,291 คน 367,512 ครัวเรือน แยกเป็น
ที่ จังหวัด จำนวน จำนวนอำเภอ/ จำนวนราษฎรที่ยังได้รับ หมายเหตุ
อำเภอ/กิ่งฯ กิ่งฯที่ยังมี ความเดือดร้อน
ทั้งหมด สถานการณ์ ครัวเรือน คน
อุทกภัย
1 พิษณุโลก 9 2 5,389 12,500 ระดับน้ำสูง 0.20-0.40 เมตร
2 สุโขทัย 9 1 4,593 15,865 ระดับน้ำสูง 0.20-0.30 เมตร
3 พิจิตร 11/2 7/1 36,489 132,694 ระดับน้ำสูง 0.30-0.60 เมตร
4 นครสวรรค์ 10/2 6 35,755 90,328 ระดับน้ำสูง 0.30-0.60 เมตร
5 อุทัยธานี 8 1 4,967 21,200 ระดับน้ำสูง 0.20-0.40 เมตร
6 ชัยนาท 6/2 3 12,064 38,409 ระดับน้ำสูง0.50-0.80 เมตร
7 สิงห์บุรี 6 6 28,685 98,903 ระดับน้ำสูง 0.40-1.95 เมตร
8 อ่างทอง 7 7 27,290 94,492 ระดับน้ำสูง 0.40-1.45 เมตร
9 พระนครศรีอยุธยา 16 16 32,560 120,654 ระดับน้ำสูง 0.20-1.75 เมตร
10 ลพบุรี 8 3 14,153 49,341 ระดับน้ำสูง 0.20-0.40 เมตร
11 สระบุรี 12 3 3,684 11,846 ระดับน้ำสูง 0.50-1.30 เมตร
12 สุพรรณบุรี 10 7 39,661 141,195 ระดับน้ำสูง 0.50-1.60 เมตร
13 ปทุมธานี 7 6 46,420 120,682 ระดับน้ำสูง 0.30-1.00 เมตร
14 นนทบุรี 6 6 67,832 194,442 ระดับน้ำสูง 0.40-1.70 เมตร
15 กรุงเทพมหานคร 50 เขต 16 เขต 7,970 27,740 ระดับน้ำสูง 0.30-0.70 เมตร
รวม 15 จังหวัด 125 อำเภอ 6 74 อำเภอ 1 367,512 1,170,291
กิ่งฯ 50 เขต กิ่ง 16 เขต
3. สถานการณ์น้ำท่วมปัจจุบันใน 15 จังหวัดและการให้ความช่วยเหลือ
3.1 จังหวัดสุโขทัย ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่อำเภอกงไกรลาศ 2 ตำบล ได้แก่ ตำบลท่าฉนวน และตำบลกง ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20-0.30 ม.
3.2 จังหวัดพิษณุโลก น้ำท่วมพื้นที่การเกษตรในพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อำเภอบางระกำ และอำเภอพรหมพิราม ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20-0.40 ม.
3.3 จังหวัดพิจิตร น้ำท่วมพื้นที่การเกษตรและที่ลุ่มในพื้นที่ 7 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ วชิรบารมี สามง่าม โพธิ์ประทับช้าง โพทะเล ตะพานหิน บางมูลนาก และกิ่งอำเภอบึงนาราง ระดับน้ำสูงประมาณ 0.30-0.60 ม.
3.4 จังหวัดนครสวรรค์ น้ำท่วมในพื้นที่ริมน้ำและพื้นที่การเกษตรในพื้นที่ 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ ชุมแสง เก้าเลี้ยว โกรกพระ พยุหะคีรี และอำเภอท่าตะโก ระดับน้ำสูงประมาณ 0.30-0.60 ม.
3.5 จังหวัดอุทัยธานี ยังคงมีน้ำท่วมบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตรในพื้นที่ลุ่มในอำเภอเมืองฯ ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20-0.40 ม. ส่วนในเขตเทศบาลเมืองฯ เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว
3.6 จังหวัดชัยนาท มีน้ำท่วมใน 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ สรรพยา และอำเภอหันคา ระดับน้ำสูงประมาณ 0.50-0.80 ม.
3.7 จังหวัดลพบุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังพื้นที่การเกษตร 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ บ้านหมี่ และอำเภอท่าวุ้ง ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20-0.40 เมตร ระดับน้ำเริ่มลดลง
3.8 จังหวัดสระบุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอดอนพุด บ้านหมอ และอำเภอหนองแซง ระดับน้ำสูงประมาณ 0.50-1.30 ม.
3.9 จังหวัดสิงห์บุรี มีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตรใน 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ อินทร์บุรี พรหมบุรี ท่าช้าง บางระจัน และอำเภอค่ายบางระจัน ระดับน้ำสูงประมาณ 0.40-1.95 ม.
3.10 จังหวัดอ่างทอง น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน้อย ล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มริมแม่น้ำใน 7 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ ป่าโมก ไชโย แสวงหา วิเศษชัยชาญ สามโก้ และอำเภอโพธิ์ทอง ระดับน้ำสูงประมาณ 0.40-1.45 ม.
3.11 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำน้อยมีระดับสูงเอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนและพื้นที่การเกษตร ซึ่งเป็นที่ลุ่มริมแม่น้ำในพื้นที่ 16 อำเภอ ได้แก่ อำเภอพระนครศรีอยุธยา บางบาล บางไทร ผักไห่ เสนา มหาราช ท่าเรือ นครหลวง บางประหัน บางปะอิน บ้านแพรก ภาชี ลาดบัวหลวง วังน้อย อุทัย และอำเภอบางซ้าย มีระดับน้ำสูงประมาณ 0.20-1.75 ม.
3.12 จังหวัดสุพรรณบุรี น้ำในแม่น้ำท่าจีนและลำคลองสายหลักยังคงมีระดับสูงเนื่องจากน้ำที่ท่วม จ.สิงห์บุรี อ่างทอง ไหลหลากเข้าทุ่ง จึงทำให้น้ำที่ท่วมในพื้นที่ อำเภอเมืองฯ บางปลาม้า และอำเภอสองพี่น้อง มีระดับสูงขึ้น ระดับน้ำสูงประมาณ 0.50-1.60 ม.
3.13 จังหวัดปทุมธานี น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรในพื้นที่ 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ สามโคก คลองหลวง ธัญบุรี ลำลูกกา และอำเภอลาดหลุมแก้ว ระดับน้ำสูงประมาณ 0.30-1.00 ม.
3.14 จังหวัดนนทบุรี น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามีระดับเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่การเกษตรใน 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอปากเกร็ด บางบัวทอง บางกรวย เมืองฯ บางใหญ่ และอำเภอไทรน้อย ประกอบกับกรมชลประทานระบายน้ำจากทุ่งเจ้าเจ็ดผ่านคลองพระยาบันลือ ทำให้มีระดับน้ำสูงขึ้นประมาณ 0.40-1.70 ม.
3.15 กรุงเทพมหานคร ปริมาณน้ำในเขตทุ่งฝั่งตะวันออกมีมาก ทำให้มีน้ำท่วมขัง 5 เขต ได้แก่ เขตลาดกระบัง เขตมีนบุรี เขตหนองจอก เขตสายไหม และเขตคลองสามวา ระดับน้ำเฉลี่ยสูงประมาณ 0.30-0.70 ม. ระดับน้ำลดลง และพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางกอกน้อย คลองมหาสวัสดิ์ นอกแนวคันกั้นน้ำมีราษฎรเดือดร้อนใน 11 เขต 33 ชุมชน 2,111 ครัวเรือน
4. สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำ (ข้อมูลวันที่ 30 ต.ค. 2549) โดยกรมชลประทาน
- เขื่อนภูมิพล จ.ตาก มีปริมาตรน้ำ 13,294 ล้าน ลบ.ม.(99%) ปริมาณน้ำไหลลงอ่าง 204 ลบ.ม./วินาที ระบายน้ำ 194 ลบ.ม./วินาที การระบายน้ำลดลงจากวันก่อน
- เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ มีปริมาตรน้ำ 9,466 ล้านลบ.ม. ( 100 % ) ปริมาณน้ำไหลลงอ่างฯ 148 ลบ.ม./วินาที ระบายน้ำ 138 ลบ.ม./วินาที ระบายน้ำในปริมาณเท่ากับเมื่อวาน
- เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี มีปริมาตรน้ำ 932 ล้าน ลบ.ม.(97%) ปริมาณน้ำไหลลงอ่างฯ 291 ลบ.ม./วินาที ระบายน้ำ 407 ลบ.ม./วินาที เร่งระบายน้ำในช่วงนี้เนื่องจากเป็นช่วงที่น้ำทะเลหนุนต่ำ และจะลดการระบายลงโดยระบายน้ำน้อยที่สุดในช่วงวันที่ 6-10 พ.ย. 2549 ซึ่งเป็นช่วงที่น้ำทะเลหนุนสูงอีกครั้ง ประกอบกับขณะนี้มีพายุ “ซิมารอน” อยู่ที่ประเทศฟิลิปปินส์ และอาจจะมีผลกระทบต่อประเทศไทย
5. ปริมาณน้ำเจ้าพระยาที่ทำให้เกิดอุทกภัยเปรียบเทียบปี 2538, 2545 และ 2549
ที่ ปริมาณน้ำไหลผ่าน ปี 2538 ปี 2545 ปี 2549
ลบ.ม./วาที ลบ.ม./วาที ลบ.ม./วาที
(30 ต.ค.49) หมายเหตุ
1 นครสวรรค์ 4,820 3,886 3,517 จังหวัดนครสวรรค์สูงสุดเมื่อ
2 เขื่อนเจ้าพระยา 4,557 3,930 3,450 วันที่ 18 ตุลาคม 2549
(5 ต.ค.2538) (10 ต.ค.2545) (30 ต.ค.2549) 5,960 ลบ.ม./วินาที และ
3 เขื่อนพระรามหก 1,473 1,216 290 ลดลงอย่างต่อเนื่อง
4 อำเภอบางไทร 5,451 4,288 3,115
หมายเหตุ ปริมาณน้ำที่ผ่านอำเภอบางไทร เมื่อ 30 ต.ค.49 จำนวน 3,115 ลบ.ม./วินาที เป็นตัวเลขการตรวจวัดจริง
6. สภาพน้ำท่าในลุ่มน้ำเจ้าพระยาและแนวโน้มสถานการณ์น้ำ (ณ วันที่ 30 ต.ค.2549 โดยกรมชลประทาน)
6.1 ปริมาณน้ำไหลผ่านจังหวัดนครสวรรค์ มีปริมาณน้ำสูงสุด 5,960 ลบ.ม./วินาที เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2549 เวลา 06.00 น. ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราลดลงแต่ละวันมากขึ้นตามลำดับ จนถึง วันที่ 30 ตุลาคม 2549 มีปริมาณน้ำไหลผ่านจังหวัดนครสวรรค์ 3,517 ลบ.ม./วินาที เมื่อเวลา 06.00 น.
6.2 ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท มีปริมาณน้ำสูงสุด 4,188 ลบ.ม./วินาที เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2549 เวลา 06.00 น. เริ่มลดลงเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2549 อย่างต่อเนื่อง โดยจนถึงวันที่ 30 ตุลาคม 2549 มีปริมาณน้ำไหลผ่านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา 3,450 ลบ.ม./วินาที เมื่อเวลา 06.00 น.
6.3 ปริมาณน้ำไหลผ่านอำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีปริมาณน้ำสูงสุด 3,719 ลบ.ม./วินาที เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2549 ปริมาณน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2549 ปริมาณน้ำไหลผ่านอำเภอบางไทร 3,115 ลบ.ม./วินาที
จากสถานการณ์น้ำดังกล่าว คาดการณ์ว่าที่ สถานีวัดน้ำอำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ ในวันที่ 31 ตุลาคม 2549 มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 3,360 ลบ.ม./วินาที และคาดว่าระดับน้ำจะอยู่ที่ระดับตลิ่งแม่น้ำเจ้าพระยาไม่เกินวันที่ 5 พฤศจิกายน 2549
สำหรับที่สถานีวัดน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท คาดว่าในวันที่ 31 ตุลาคม 2549 มีปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา ประมาณ 3,300 ลบ.ม./วินาที และคาดว่าระดับน้ำที่จะอยู่ในระดับตลิ่งแม่น้ำเจ้าพระยา ประมาณ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2549
7. การบริหารจัดการน้ำหลากในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง
(1) เร่งระบายน้ำในพื้นที่ทุ่งเจ้าพระยาฝั่งตะวันตกตอนล่างลงแม่น้ำท่าจีน ลงคลองมหาชัย ลงทะเล เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2549 ระบายน้ำและสูบรวมทั้งหมด 22.06 ล้านลูกบาศก์เมตร ดังนี้ ระบายและสูบน้ำออกสู่แม่น้ำท่าจีนวันละ 17.75 ล้านลูกบาศก์เมตร และคลองมหาชัยได้ วันละ 4.31 ล้านลูกบาศก์เมตร
(2) เร่งระบายน้ำในพื้นที่ทุ่งเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่างลงแม่น้ำนครนายก แม่น้ำบางปะกง และลงทะเลอ่าวไทย เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2549 ระบายน้ำและสูบน้ำรวมทั้งหมด 23.54 ล้านลูกบาศก์เมตร ดังนี้
- ระบายและสูบน้ำลงแม่น้ำนครนายกวันละ 2.13 ล้านลูกบาศก์เมตร แม่น้ำบางปะกงวันละ 5.39 ล้านลูกบาศก์เมตร และจากคลองชายทะเลลงอ่าวไทยวันละ 16.02 ล้านลูกบาศก์เมตร
(3) เร่งระบายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ ซึ่งเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ย่นระยะเดินทางของน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาจาก 18 กิโลเมตร เหลือ 600 เมตร ให้ระบายลงทะเลได้เร็วขึ้น สามารถระบายน้ำได้สูงสุด 500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ทุกวัน เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2549 ระบายน้ำผ่านประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ลงแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง 49.52 ล้านลูกบาศก์เมตร
(4) บริหารจัดการระบายน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ลงแม่น้ำป่าสัก เพื่อควบคุมปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนพระรามหกลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ให้อยู่ในเกณฑ์น้อยที่สุด ทั้งนี้เพื่อช่วยลดปริมาณน้ำลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาให้ลดลงก่อนไหลผ่าน อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ในช่วงน้ำทะเลหนุนสูงอีกครั้ง ระหว่างวันที่ 6-10 พฤศจิกายน 2549
(5) ดำเนินการตรวจวัดปริมาณน้ำที่จุดควบคุมและติดตามน้ำ เช่น อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครสวรรค์ เขื่อนเจ้าพระยา เขื่อนพระรามหก อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และสะพานพุทธยอดฟ้าฯ เป็นต้น เพื่อส่งข้อมูลและประชาสัมพันธ์ให้กับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมีเจ้าหน้าปฎิบัติงานที่ศูนย์ประสานและติดตามสถานการณ์น้ำ กรมชลประทาน เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง
อนึ่ง กรมชลประทาน ได้ส่งเครื่องสูบน้ำเข้าช่วยเหลือพื้นที่ประสบอุทกภัย ( ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2549) ทั้งประเทศรวม จำนวน 519 เครื่อง ภาคเหนือ จำนวน 211 เครื่อง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1 เครื่อง ภาคตะวันออก 9 เครื่อง ภาคกลาง จำนวน 279 เครื่อง และภาคใต้ 19 เครื่อง ส่วนในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำแล้ว จำนวน 234 เครื่อง (จังหวัดนนทบุรี 87 เครื่อง จังหวัดปทุมธานี 78 เครื่อง กรุงเทพมหานคร 22 เครื่อง จังหวัดสมุทรปราการ 36 เครื่อง จังหวัดสมุทรสาคร 11 เครื่อง) และเครื่องผลักดันน้ำ 29 เครื่อง ( จังหวัดสมุทรสาคร 6 เครื่อง กรุงเทพมหานคร 23 เครื่อง)
8. การให้ความช่วยเหลือแก่จังหวัดที่ประสบอุทกภัยของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้ดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยดังนี้
8.1) ได้ระดมกำลัง เครื่องจักรกล 149 คัน/เครื่อง เรือท้องแบน 184 ลำ รถผลิตน้ำดื่ม 2 คัน เต็นท์ยกพื้นพักอาศัยชั่วคราว 555 หลัง (อ่างทอง 177 หลัง พระนครศรีอยุธยา 88 หลัง สุโขทัย 20 หลัง นครสวรรค์ 50 หลัง อุตรดิตถ์ 124 หลัง น่าน 39 หลัง ชัยนาท 35 หลัง และ สิงห์บุรี 22 หลัง) พร้อมเจ้าหน้าที่ 614 คน และสนับสนุนถุงยังชีพ 78,498 ชุด ไปปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย
8.2) จ่ายเงินค่าจัดการศพ 79 ราย รายละ 15,000 บาท กรณีเป็นหัวหน้าครอบครัว รายละ 40,000 บาท เป็นเงิน 2,060,000 บาท (คงเหลือ 80 ราย อยู่ระหว่างดำเนินการ)
8.3) จัดส่งถุงยังชีพ ข้าวสารอาหารแห้ง ผ้าขาวม้า ผ้าถุง รองเท้ายาง ไปสนับสนุนจังหวัดที่ประสบภัย คิดเป็นมูลค่า 41,649,800 บาท
8.4) จังหวัดที่ประสบภัย ได้จ่ายเงินช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ไปแล้ว เป็นเงิน 314,762,324 บาท
8.5) การช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนจากอุทกภัยในเขตกรุงเทพมหานคร ได้กำหนดขั้นตอนและแนวทางปฏิบัติ โดยให้สำนักเขตสำรวจจำนวนครัวเรือนที่ประสบภัย พร้อมกับรับรองความถูกต้องให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือครอบครัวละ 2,000 บาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น สำหรับบ้านเรือนที่เสียหายจะให้ความช่วยเหลือตามความเสียหายจริงภายหลังน้ำลดต่อไป (เสียหายบางส่วนไม่เกิน 20,000 บาท/หลัง เสียหายทั้งหลังไม่เกิน 30,000 บาท/หลัง)
8.6) ได้ขออนุมัติกระทรวงการคลัง ให้หน่วยทหารทุกเหล่าทัพที่ปฏิบัติงานช่วยเหลือจากเงินทดรองราชการ (งบ 50 ล้านบาท) ในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด ได้เป็นกรณีพิเศษ (กระทรวงการคลังอนุมัติแล้ว)
8.7) ได้ขออนุมัติกระทรวงการคลังให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก สุโขทัย พิจิตร ชัยนาท นครสวรรค์ สิงห์บุรี ลพบุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี สระบุรี ปทุมธานี นนทบุรี และสมุทรปราการ สามารถใช้จ่ายเงินทดรองราชการ (งบ 50 ล้านบาท) ได้นอกเหนือหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการตามที่กระทรวงการคลังกำหนด โดยให้อยู่ในดุลยพินิจของผู้ว่าราชการจังหวัด (กระทรวงการคลังได้อนุมัติแล้ว)
8.8) ได้ขอขยายวงเงินทดรองราชการให้แก่จังหวัดพิจิตร นครสวรรค์ พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ที่ประสบอุทกภัยรุนแรง จาก 50 ล้านบาท เป็น 100 ล้านบาท (ขณะนี้รอการอนุมัติจากกระทรวงการคลัง)
8.9) ให้จังหวัดที่ประสบอุทกภัย ประสานกับวิทยาลัยอาชีวะ วิทยาลัยเทคนิค ให้จัดหน่วยบริการเคลื่อนที่ นำนักศึกษาออกช่วยเหลือ ซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเรือน เครื่องมืออุปกรณ์การเกษตร เช่น รถไถนา เครื่องสูบน้ำ รถจักรยานยนต์ รถยนต์ รวมทั้งบ้านเรือนราษฎรที่ได้รับความเสียหาย
8.10) ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี 2550 ให้แก่ราษฎรในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย ตามกฎหมายภาษีบำรุงท้องที่
8.11) ได้กำชับผู้ว่าราชการจังหวัดที่ประสบอุทกภัย ให้เร่งช่วยเหลือประชาชนในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะเครื่องอุปโภค บริโภค น้ำดื่ม และต้องไม่มีพื้นที่ใดที่ประชาชนยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ สำหรับการใช้จ่ายงบประมาณต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส
9. การดำเนินการให้ความช่วยเหลือขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ได้พิจารณาเห็นว่ามีความจำเป็นต้องระดมทรัพยากรเข้าไปช่วยเหลือพื้นที่ประสบอุทกภัย จึงได้แจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดแจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย สามารถเบิกจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงสำหรับข้าราชการเพิ่มขึ้นจากอัตราปกติอีก 1 เท่า และค่าอาหารประกอบเลี้ยงเหมาจ่ายคนละ 100 บาทต่อ 1 มื้อ และกรณีออกคำสั่งให้ อปพร. เข้าปฏิบัติงานในพื้นที่ประสบอุทกภัยให้เบิกเบี้ยเลี้ยงในอัตราวันละ 120 บาท และเพิ่มอีก 1 เท่า ส่วนค่าประกอบเลี้ยงให้เหมาจ่ายคนละ 100 บาท ต่อ 1 มื้อ
10. สิ่งของพระราชทาน (ระหว่างวันที่ 24-30 ตุลาคม 2549)
10.1 มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ นำสิ่งของพระราชทานไปมอบให้แก่ผู้ประสบภัย ระหว่างวันที่ 25-27 ตุลาคม 2549 ดังนี้ วัดอาน อำเภอบางปลาม้า และวัดท่าไชย ตำบลหัวโพธิ์ อำเภอสองพี่น้อง จำนวน 1,000 ชุด ที่ตำบลเดิมบาง ตำบลหัวเขา อำเภอเดิมบางนางบวช ที่เทศบาลเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ที่ว่าการอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม รวมทั้งหมดจำนวน 2,500 ชุด ตำบลมดแดง อำเภอศรีประจันต์ และตำบลย่านยาว อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 1,000 ชุด
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 21 ส.ค.49 เป็นต้นมามูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยแล้ว 59,400 ครอบครัว คิดเป็นมูลค่าสิ่งของพระราชทาน จำนวน 40,392,000 บาท
10.2 เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2549 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จไปทรงเยี่ยมราษฎรที่ประสบอุทกภัยน้ำท่วม พร้อมประทานถุงยังชีพพระราชทานแก่ผู้ประสบภัยที่อำเภอโพธิ์ทอง และอำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง
10.3 เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2549 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีอุปนายิกา ผู้อำนวยการสภากาชาดไทย พระราชทานไส้กรอก จำนวน 100 กิโลกรัม และกุนเชียง จำนวน 60 กิโลกรัม ให้ครัวเคลื่อนที่สภากาชาดไทย นำไปประกอบอาหารเพื่อแจกจ่ายให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยในเขตจังหวัดอ่างทอง
10.4 เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2549 สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย นำอาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน จำนวน 500 ชุด ไปมอบให้ผู้ประสบอุทกภัย ที่วัดวันอุทิศ ตำบลไผ่ดำพัฒนา อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง และร่วมกับเหล่ากาชาดจังหวัดสิงห์บุรี จัดถุงยังชีพ จำนวน 1,500 ชุด ไปมอบให้ผู้ประสบอุทกภัย ในเขตอำเภอบางระจัน และเมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2549 ร่วมกับเหล่ากาชาดจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จัดถุงยังชีพ จำนวน 1,500 ชุด ไปมอบให้ผู้ประสบอุทกภัยในเขตอำเภเสนา
10.5 มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก ได้จัดตั้งคลังอาหารและน้ำดื่ม หน่วยแพทย์ตรวจรักษาโรคเบื้องต้น หน่วยแพทย์เคลื่อนที่เร็วป้องกันโรคระบาดที่เกิดจากอุทกภัย และมอบอาหารเสริมพระราชทานในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ จังหวัดชัยนาท (อำเภอสรรพยา) จังหวัดสิงห์บุรี (อำเภออินทร์บุรี) จังหวัดอ่างทอง (อำเภอป่าโมก) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (อำเภอบางไทร) อำเภอละ 10 จุด แต่ละจุดประกอบด้วย ข้าว 11,000 กิโลกรัม อาหารกระป๋อง 2,200 กระป๋อง น้ำดื่ม 11,000 ขวด/จุด โดยทำการสำรวจความขาดแคลนในวันจันทร์และส่งมอบสิ่งของในวันพุธของสัปดาห์ ซึ่งการมอบสิ่งของ ฯ จะกำหนดให้มีคณะกรรมการชุมชน ฯ เป็นผู้ดำเนินการมอบให้แก่ผู้ประสบภัย จนกว่าสถานการณ์อุทกภัยจะสิ้นสุด
11. การตรวจเยี่ยมราษฎรผู้ประสบภัย
11.1) เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2549 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายอารีย์ วงศ์อารยะ) พร้อมด้วยอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (นายอนุชา โมกขะเวส) อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น พร้อมคณะเดินทางไปมอบถุงยังชีพ 1,000 ชุด และกล่าวให้กำลังใจแก่ผู้ประสบภัยที่ มัสยิดท่าอิฐ ตำบลท่าอิฐ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และในวันเดียวกันได้มอบถุงยังชีพ 500 ชุด ให้แก่ผู้ประสบภัยที่วัดแจ้ง อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี
11.2) สมาคมแม่บ้านมหาดไทย โดยการนำของนางวรรณา จันทน์เสนะ ภริยาของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เดินทางไปมอบถุงยังชีพให้แก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่างๆ ดังนี้
- เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2549 ที่วัดโคกโพธิ์ อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 2,000 ชุด
- เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2549 ที่อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี จำนวน 2,000 ชุด และที่ตำบลบางพลับ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี จำนวน 2,000 ชุด
- เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2549 ที่อำเภอเสนา และอำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 2,160ชุด
12. การเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์จากพายุไต้ฝุ่น “ซิมารอน”
12.1) กรมอุตุนิยมวิทยา ได้ออกประกาศแจ้งเตือน เรื่อง พายุไต้ฝุ่น “ซิมารอน”เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2549 ว่าพายุไต้ฝุ่น “ซิมารอน” มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เคลื่อนตัวทางตะวันตกด้วยความเร็ว 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่า พายุนี้จะเคลื่อนขึ้นฝั่งเมืองดานัง ประเทศเวียดนาม ประมาณวันที่ 3 พฤศจิกายน 2549 และจะอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากได้รับลมหนาวจากประเทศจีน และจะทำให้มีฝนเล็กน้อยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ส่วนภาคเหนือและภาคกลาง จะไม่ได้รับผลกระทบจากพายุนี้ อนึ่ง มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้นในช่วงวันที่ 1-3 พฤศจิกายน 2549 ทำให้ภาคใต้ บริเวณจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล มีฝนตกชุกหนาแน่นและมีฝนตกหนักบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัย ระวังภัยจากฝนตกหนักในช่วงดังกล่าว
12.2) สำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้แจ้งเตือนให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 4,11,12 และรวมทั้งจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ ที่คาดว่าจะเกิดภัยให้เตรียมพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย วาตภัย ดินถล่ม และคลื่นลมแรง ที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ โดยจัดเจ้าหน้าที่อยู่เวรเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง เตรียมพร้อมช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามแผนป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนที่กำหนด หากเกิดสถานการณ์รุนแรงขึ้นในจังหวัดใด ให้ประสานงานหน่วยทหารในพื้นที่และศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตพื้นที่ดังกล่าวจัดเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องจักรกลเข้าสนับสนุนทันที
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 31 ตุลาคม 2549--จบ--
1. สรุปสถานการณ์อุทกภัย (ระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม — 30 ตุลาคม 2549)
1.1 พื้นที่ประสบภัย รวม 47 จังหวัด 337 อำเภอ 24 กิ่งอำเภอ 2,216 ตำบล 13,261 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 3,681,518 คน 1,065,436 ครัวเรือน ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง แพร่ พะเยา อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ พิษณุโลก สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร พิจิตร นครสวรรค์ ชัยนาท อุทัยธานี สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม นครนายก ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี จันทบุรี ตราด ชัยภูมิ ขอนแก่น อุดรธานี นครราชสีมา ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ สุรินทร์ อุบลราชธานี ยโสธร ร้อยเอ็ด ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พังงา และกรุงเทพมหานคร
1.2 ความเสียหาย
1) ผู้เสียชีวิต 159 คน (เชียงใหม่ 8 คน แม่ฮ่องสอน 3 คน ลำปาง 3 คน สุโขทัย 9 คน พิษณุโลก 12 คน นครสวรรค์ 12 คน เพชรบูรณ์ 1 คน ชัยนาท 2 คน สิงห์บุรี 15 คน อ่างทอง 12 คน พิจิตร 12 คน ปราจีนบุรี 11 คน จันทบุรี 3 คน ปทุมธานี 4 คน พระนครศรีอยุธยา 18 คน สุพรรณบุรี 4 คน ชัยภูมิ 7 คน ยโสธร 9 คน ร้อยเอ็ด 2 คน ลพบุรี 2 คน อุทัยธานี 7 คน พังงา 1 คน และ กรุงเทพมหานคร 2 คน)
2) ด้านทรัพย์สิน บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 54 หลัง เสียหายบางส่วน 9,137 หลัง ถนน 5,241 สาย สะพาน 326 แห่ง ท่อระบายน้ำ 396 แห่ง ทำนบ/ฝาย/เหมือง 508 แห่ง พื้นที่ทางการเกษตร 3,007,431 ไร่ บ่อปลา/กุ้ง 35,152 บ่อ วัด/โรงเรียน 1,132 แห่ง ความเสียหายอื่น ๆ อยู่ระหว่างการสำรวจ
3) มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นเท่าที่สำรวจได้ ประมาณ 377,675,751 บาท (ไม่รวมทรัพย์สิน บ้านเรือน และความเสียหายด้านการเกษตร)
2. สถานการณ์ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ต.ค.2549)
2.1 พื้นที่สถานการณ์อุทกภัยคลี่คลายแล้ว 32 จังหวัด
2.2 ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย 15 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก สุโขทัย พิจิตร นครสวรรค์ ชัยนาท อุทัยธานี สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพฯ
- ใน 74 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอ 16 เขต (คิดเป็นร้อยละ 50.28 ของอำเภอ/กิ่งอำเภอและเขตทั้งหมดใน 15 จังหวัดที่ยังประสบอุทกภัย) 612 ตำบล 4,205 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 1,170,291 คน 367,512 ครัวเรือน แยกเป็น
ที่ จังหวัด จำนวน จำนวนอำเภอ/ จำนวนราษฎรที่ยังได้รับ หมายเหตุ
อำเภอ/กิ่งฯ กิ่งฯที่ยังมี ความเดือดร้อน
ทั้งหมด สถานการณ์ ครัวเรือน คน
อุทกภัย
1 พิษณุโลก 9 2 5,389 12,500 ระดับน้ำสูง 0.20-0.40 เมตร
2 สุโขทัย 9 1 4,593 15,865 ระดับน้ำสูง 0.20-0.30 เมตร
3 พิจิตร 11/2 7/1 36,489 132,694 ระดับน้ำสูง 0.30-0.60 เมตร
4 นครสวรรค์ 10/2 6 35,755 90,328 ระดับน้ำสูง 0.30-0.60 เมตร
5 อุทัยธานี 8 1 4,967 21,200 ระดับน้ำสูง 0.20-0.40 เมตร
6 ชัยนาท 6/2 3 12,064 38,409 ระดับน้ำสูง0.50-0.80 เมตร
7 สิงห์บุรี 6 6 28,685 98,903 ระดับน้ำสูง 0.40-1.95 เมตร
8 อ่างทอง 7 7 27,290 94,492 ระดับน้ำสูง 0.40-1.45 เมตร
9 พระนครศรีอยุธยา 16 16 32,560 120,654 ระดับน้ำสูง 0.20-1.75 เมตร
10 ลพบุรี 8 3 14,153 49,341 ระดับน้ำสูง 0.20-0.40 เมตร
11 สระบุรี 12 3 3,684 11,846 ระดับน้ำสูง 0.50-1.30 เมตร
12 สุพรรณบุรี 10 7 39,661 141,195 ระดับน้ำสูง 0.50-1.60 เมตร
13 ปทุมธานี 7 6 46,420 120,682 ระดับน้ำสูง 0.30-1.00 เมตร
14 นนทบุรี 6 6 67,832 194,442 ระดับน้ำสูง 0.40-1.70 เมตร
15 กรุงเทพมหานคร 50 เขต 16 เขต 7,970 27,740 ระดับน้ำสูง 0.30-0.70 เมตร
รวม 15 จังหวัด 125 อำเภอ 6 74 อำเภอ 1 367,512 1,170,291
กิ่งฯ 50 เขต กิ่ง 16 เขต
3. สถานการณ์น้ำท่วมปัจจุบันใน 15 จังหวัดและการให้ความช่วยเหลือ
3.1 จังหวัดสุโขทัย ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่อำเภอกงไกรลาศ 2 ตำบล ได้แก่ ตำบลท่าฉนวน และตำบลกง ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20-0.30 ม.
3.2 จังหวัดพิษณุโลก น้ำท่วมพื้นที่การเกษตรในพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อำเภอบางระกำ และอำเภอพรหมพิราม ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20-0.40 ม.
3.3 จังหวัดพิจิตร น้ำท่วมพื้นที่การเกษตรและที่ลุ่มในพื้นที่ 7 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ วชิรบารมี สามง่าม โพธิ์ประทับช้าง โพทะเล ตะพานหิน บางมูลนาก และกิ่งอำเภอบึงนาราง ระดับน้ำสูงประมาณ 0.30-0.60 ม.
3.4 จังหวัดนครสวรรค์ น้ำท่วมในพื้นที่ริมน้ำและพื้นที่การเกษตรในพื้นที่ 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ ชุมแสง เก้าเลี้ยว โกรกพระ พยุหะคีรี และอำเภอท่าตะโก ระดับน้ำสูงประมาณ 0.30-0.60 ม.
3.5 จังหวัดอุทัยธานี ยังคงมีน้ำท่วมบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตรในพื้นที่ลุ่มในอำเภอเมืองฯ ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20-0.40 ม. ส่วนในเขตเทศบาลเมืองฯ เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว
3.6 จังหวัดชัยนาท มีน้ำท่วมใน 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ สรรพยา และอำเภอหันคา ระดับน้ำสูงประมาณ 0.50-0.80 ม.
3.7 จังหวัดลพบุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังพื้นที่การเกษตร 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ บ้านหมี่ และอำเภอท่าวุ้ง ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20-0.40 เมตร ระดับน้ำเริ่มลดลง
3.8 จังหวัดสระบุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอดอนพุด บ้านหมอ และอำเภอหนองแซง ระดับน้ำสูงประมาณ 0.50-1.30 ม.
3.9 จังหวัดสิงห์บุรี มีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตรใน 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ อินทร์บุรี พรหมบุรี ท่าช้าง บางระจัน และอำเภอค่ายบางระจัน ระดับน้ำสูงประมาณ 0.40-1.95 ม.
3.10 จังหวัดอ่างทอง น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน้อย ล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มริมแม่น้ำใน 7 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ ป่าโมก ไชโย แสวงหา วิเศษชัยชาญ สามโก้ และอำเภอโพธิ์ทอง ระดับน้ำสูงประมาณ 0.40-1.45 ม.
3.11 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำน้อยมีระดับสูงเอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนและพื้นที่การเกษตร ซึ่งเป็นที่ลุ่มริมแม่น้ำในพื้นที่ 16 อำเภอ ได้แก่ อำเภอพระนครศรีอยุธยา บางบาล บางไทร ผักไห่ เสนา มหาราช ท่าเรือ นครหลวง บางประหัน บางปะอิน บ้านแพรก ภาชี ลาดบัวหลวง วังน้อย อุทัย และอำเภอบางซ้าย มีระดับน้ำสูงประมาณ 0.20-1.75 ม.
3.12 จังหวัดสุพรรณบุรี น้ำในแม่น้ำท่าจีนและลำคลองสายหลักยังคงมีระดับสูงเนื่องจากน้ำที่ท่วม จ.สิงห์บุรี อ่างทอง ไหลหลากเข้าทุ่ง จึงทำให้น้ำที่ท่วมในพื้นที่ อำเภอเมืองฯ บางปลาม้า และอำเภอสองพี่น้อง มีระดับสูงขึ้น ระดับน้ำสูงประมาณ 0.50-1.60 ม.
3.13 จังหวัดปทุมธานี น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรในพื้นที่ 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ สามโคก คลองหลวง ธัญบุรี ลำลูกกา และอำเภอลาดหลุมแก้ว ระดับน้ำสูงประมาณ 0.30-1.00 ม.
3.14 จังหวัดนนทบุรี น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามีระดับเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่การเกษตรใน 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอปากเกร็ด บางบัวทอง บางกรวย เมืองฯ บางใหญ่ และอำเภอไทรน้อย ประกอบกับกรมชลประทานระบายน้ำจากทุ่งเจ้าเจ็ดผ่านคลองพระยาบันลือ ทำให้มีระดับน้ำสูงขึ้นประมาณ 0.40-1.70 ม.
3.15 กรุงเทพมหานคร ปริมาณน้ำในเขตทุ่งฝั่งตะวันออกมีมาก ทำให้มีน้ำท่วมขัง 5 เขต ได้แก่ เขตลาดกระบัง เขตมีนบุรี เขตหนองจอก เขตสายไหม และเขตคลองสามวา ระดับน้ำเฉลี่ยสูงประมาณ 0.30-0.70 ม. ระดับน้ำลดลง และพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางกอกน้อย คลองมหาสวัสดิ์ นอกแนวคันกั้นน้ำมีราษฎรเดือดร้อนใน 11 เขต 33 ชุมชน 2,111 ครัวเรือน
4. สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำ (ข้อมูลวันที่ 30 ต.ค. 2549) โดยกรมชลประทาน
- เขื่อนภูมิพล จ.ตาก มีปริมาตรน้ำ 13,294 ล้าน ลบ.ม.(99%) ปริมาณน้ำไหลลงอ่าง 204 ลบ.ม./วินาที ระบายน้ำ 194 ลบ.ม./วินาที การระบายน้ำลดลงจากวันก่อน
- เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ มีปริมาตรน้ำ 9,466 ล้านลบ.ม. ( 100 % ) ปริมาณน้ำไหลลงอ่างฯ 148 ลบ.ม./วินาที ระบายน้ำ 138 ลบ.ม./วินาที ระบายน้ำในปริมาณเท่ากับเมื่อวาน
- เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี มีปริมาตรน้ำ 932 ล้าน ลบ.ม.(97%) ปริมาณน้ำไหลลงอ่างฯ 291 ลบ.ม./วินาที ระบายน้ำ 407 ลบ.ม./วินาที เร่งระบายน้ำในช่วงนี้เนื่องจากเป็นช่วงที่น้ำทะเลหนุนต่ำ และจะลดการระบายลงโดยระบายน้ำน้อยที่สุดในช่วงวันที่ 6-10 พ.ย. 2549 ซึ่งเป็นช่วงที่น้ำทะเลหนุนสูงอีกครั้ง ประกอบกับขณะนี้มีพายุ “ซิมารอน” อยู่ที่ประเทศฟิลิปปินส์ และอาจจะมีผลกระทบต่อประเทศไทย
5. ปริมาณน้ำเจ้าพระยาที่ทำให้เกิดอุทกภัยเปรียบเทียบปี 2538, 2545 และ 2549
ที่ ปริมาณน้ำไหลผ่าน ปี 2538 ปี 2545 ปี 2549
ลบ.ม./วาที ลบ.ม./วาที ลบ.ม./วาที
(30 ต.ค.49) หมายเหตุ
1 นครสวรรค์ 4,820 3,886 3,517 จังหวัดนครสวรรค์สูงสุดเมื่อ
2 เขื่อนเจ้าพระยา 4,557 3,930 3,450 วันที่ 18 ตุลาคม 2549
(5 ต.ค.2538) (10 ต.ค.2545) (30 ต.ค.2549) 5,960 ลบ.ม./วินาที และ
3 เขื่อนพระรามหก 1,473 1,216 290 ลดลงอย่างต่อเนื่อง
4 อำเภอบางไทร 5,451 4,288 3,115
หมายเหตุ ปริมาณน้ำที่ผ่านอำเภอบางไทร เมื่อ 30 ต.ค.49 จำนวน 3,115 ลบ.ม./วินาที เป็นตัวเลขการตรวจวัดจริง
6. สภาพน้ำท่าในลุ่มน้ำเจ้าพระยาและแนวโน้มสถานการณ์น้ำ (ณ วันที่ 30 ต.ค.2549 โดยกรมชลประทาน)
6.1 ปริมาณน้ำไหลผ่านจังหวัดนครสวรรค์ มีปริมาณน้ำสูงสุด 5,960 ลบ.ม./วินาที เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2549 เวลา 06.00 น. ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราลดลงแต่ละวันมากขึ้นตามลำดับ จนถึง วันที่ 30 ตุลาคม 2549 มีปริมาณน้ำไหลผ่านจังหวัดนครสวรรค์ 3,517 ลบ.ม./วินาที เมื่อเวลา 06.00 น.
6.2 ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท มีปริมาณน้ำสูงสุด 4,188 ลบ.ม./วินาที เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2549 เวลา 06.00 น. เริ่มลดลงเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2549 อย่างต่อเนื่อง โดยจนถึงวันที่ 30 ตุลาคม 2549 มีปริมาณน้ำไหลผ่านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา 3,450 ลบ.ม./วินาที เมื่อเวลา 06.00 น.
6.3 ปริมาณน้ำไหลผ่านอำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีปริมาณน้ำสูงสุด 3,719 ลบ.ม./วินาที เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2549 ปริมาณน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2549 ปริมาณน้ำไหลผ่านอำเภอบางไทร 3,115 ลบ.ม./วินาที
จากสถานการณ์น้ำดังกล่าว คาดการณ์ว่าที่ สถานีวัดน้ำอำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ ในวันที่ 31 ตุลาคม 2549 มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 3,360 ลบ.ม./วินาที และคาดว่าระดับน้ำจะอยู่ที่ระดับตลิ่งแม่น้ำเจ้าพระยาไม่เกินวันที่ 5 พฤศจิกายน 2549
สำหรับที่สถานีวัดน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท คาดว่าในวันที่ 31 ตุลาคม 2549 มีปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา ประมาณ 3,300 ลบ.ม./วินาที และคาดว่าระดับน้ำที่จะอยู่ในระดับตลิ่งแม่น้ำเจ้าพระยา ประมาณ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2549
7. การบริหารจัดการน้ำหลากในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง
(1) เร่งระบายน้ำในพื้นที่ทุ่งเจ้าพระยาฝั่งตะวันตกตอนล่างลงแม่น้ำท่าจีน ลงคลองมหาชัย ลงทะเล เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2549 ระบายน้ำและสูบรวมทั้งหมด 22.06 ล้านลูกบาศก์เมตร ดังนี้ ระบายและสูบน้ำออกสู่แม่น้ำท่าจีนวันละ 17.75 ล้านลูกบาศก์เมตร และคลองมหาชัยได้ วันละ 4.31 ล้านลูกบาศก์เมตร
(2) เร่งระบายน้ำในพื้นที่ทุ่งเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่างลงแม่น้ำนครนายก แม่น้ำบางปะกง และลงทะเลอ่าวไทย เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2549 ระบายน้ำและสูบน้ำรวมทั้งหมด 23.54 ล้านลูกบาศก์เมตร ดังนี้
- ระบายและสูบน้ำลงแม่น้ำนครนายกวันละ 2.13 ล้านลูกบาศก์เมตร แม่น้ำบางปะกงวันละ 5.39 ล้านลูกบาศก์เมตร และจากคลองชายทะเลลงอ่าวไทยวันละ 16.02 ล้านลูกบาศก์เมตร
(3) เร่งระบายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ ซึ่งเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ย่นระยะเดินทางของน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาจาก 18 กิโลเมตร เหลือ 600 เมตร ให้ระบายลงทะเลได้เร็วขึ้น สามารถระบายน้ำได้สูงสุด 500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ทุกวัน เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2549 ระบายน้ำผ่านประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ลงแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง 49.52 ล้านลูกบาศก์เมตร
(4) บริหารจัดการระบายน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ลงแม่น้ำป่าสัก เพื่อควบคุมปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนพระรามหกลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ให้อยู่ในเกณฑ์น้อยที่สุด ทั้งนี้เพื่อช่วยลดปริมาณน้ำลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาให้ลดลงก่อนไหลผ่าน อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ในช่วงน้ำทะเลหนุนสูงอีกครั้ง ระหว่างวันที่ 6-10 พฤศจิกายน 2549
(5) ดำเนินการตรวจวัดปริมาณน้ำที่จุดควบคุมและติดตามน้ำ เช่น อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครสวรรค์ เขื่อนเจ้าพระยา เขื่อนพระรามหก อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และสะพานพุทธยอดฟ้าฯ เป็นต้น เพื่อส่งข้อมูลและประชาสัมพันธ์ให้กับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมีเจ้าหน้าปฎิบัติงานที่ศูนย์ประสานและติดตามสถานการณ์น้ำ กรมชลประทาน เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง
อนึ่ง กรมชลประทาน ได้ส่งเครื่องสูบน้ำเข้าช่วยเหลือพื้นที่ประสบอุทกภัย ( ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2549) ทั้งประเทศรวม จำนวน 519 เครื่อง ภาคเหนือ จำนวน 211 เครื่อง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1 เครื่อง ภาคตะวันออก 9 เครื่อง ภาคกลาง จำนวน 279 เครื่อง และภาคใต้ 19 เครื่อง ส่วนในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำแล้ว จำนวน 234 เครื่อง (จังหวัดนนทบุรี 87 เครื่อง จังหวัดปทุมธานี 78 เครื่อง กรุงเทพมหานคร 22 เครื่อง จังหวัดสมุทรปราการ 36 เครื่อง จังหวัดสมุทรสาคร 11 เครื่อง) และเครื่องผลักดันน้ำ 29 เครื่อง ( จังหวัดสมุทรสาคร 6 เครื่อง กรุงเทพมหานคร 23 เครื่อง)
8. การให้ความช่วยเหลือแก่จังหวัดที่ประสบอุทกภัยของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้ดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยดังนี้
8.1) ได้ระดมกำลัง เครื่องจักรกล 149 คัน/เครื่อง เรือท้องแบน 184 ลำ รถผลิตน้ำดื่ม 2 คัน เต็นท์ยกพื้นพักอาศัยชั่วคราว 555 หลัง (อ่างทอง 177 หลัง พระนครศรีอยุธยา 88 หลัง สุโขทัย 20 หลัง นครสวรรค์ 50 หลัง อุตรดิตถ์ 124 หลัง น่าน 39 หลัง ชัยนาท 35 หลัง และ สิงห์บุรี 22 หลัง) พร้อมเจ้าหน้าที่ 614 คน และสนับสนุนถุงยังชีพ 78,498 ชุด ไปปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย
8.2) จ่ายเงินค่าจัดการศพ 79 ราย รายละ 15,000 บาท กรณีเป็นหัวหน้าครอบครัว รายละ 40,000 บาท เป็นเงิน 2,060,000 บาท (คงเหลือ 80 ราย อยู่ระหว่างดำเนินการ)
8.3) จัดส่งถุงยังชีพ ข้าวสารอาหารแห้ง ผ้าขาวม้า ผ้าถุง รองเท้ายาง ไปสนับสนุนจังหวัดที่ประสบภัย คิดเป็นมูลค่า 41,649,800 บาท
8.4) จังหวัดที่ประสบภัย ได้จ่ายเงินช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ไปแล้ว เป็นเงิน 314,762,324 บาท
8.5) การช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนจากอุทกภัยในเขตกรุงเทพมหานคร ได้กำหนดขั้นตอนและแนวทางปฏิบัติ โดยให้สำนักเขตสำรวจจำนวนครัวเรือนที่ประสบภัย พร้อมกับรับรองความถูกต้องให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือครอบครัวละ 2,000 บาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น สำหรับบ้านเรือนที่เสียหายจะให้ความช่วยเหลือตามความเสียหายจริงภายหลังน้ำลดต่อไป (เสียหายบางส่วนไม่เกิน 20,000 บาท/หลัง เสียหายทั้งหลังไม่เกิน 30,000 บาท/หลัง)
8.6) ได้ขออนุมัติกระทรวงการคลัง ให้หน่วยทหารทุกเหล่าทัพที่ปฏิบัติงานช่วยเหลือจากเงินทดรองราชการ (งบ 50 ล้านบาท) ในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด ได้เป็นกรณีพิเศษ (กระทรวงการคลังอนุมัติแล้ว)
8.7) ได้ขออนุมัติกระทรวงการคลังให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก สุโขทัย พิจิตร ชัยนาท นครสวรรค์ สิงห์บุรี ลพบุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี สระบุรี ปทุมธานี นนทบุรี และสมุทรปราการ สามารถใช้จ่ายเงินทดรองราชการ (งบ 50 ล้านบาท) ได้นอกเหนือหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการตามที่กระทรวงการคลังกำหนด โดยให้อยู่ในดุลยพินิจของผู้ว่าราชการจังหวัด (กระทรวงการคลังได้อนุมัติแล้ว)
8.8) ได้ขอขยายวงเงินทดรองราชการให้แก่จังหวัดพิจิตร นครสวรรค์ พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ที่ประสบอุทกภัยรุนแรง จาก 50 ล้านบาท เป็น 100 ล้านบาท (ขณะนี้รอการอนุมัติจากกระทรวงการคลัง)
8.9) ให้จังหวัดที่ประสบอุทกภัย ประสานกับวิทยาลัยอาชีวะ วิทยาลัยเทคนิค ให้จัดหน่วยบริการเคลื่อนที่ นำนักศึกษาออกช่วยเหลือ ซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเรือน เครื่องมืออุปกรณ์การเกษตร เช่น รถไถนา เครื่องสูบน้ำ รถจักรยานยนต์ รถยนต์ รวมทั้งบ้านเรือนราษฎรที่ได้รับความเสียหาย
8.10) ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี 2550 ให้แก่ราษฎรในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย ตามกฎหมายภาษีบำรุงท้องที่
8.11) ได้กำชับผู้ว่าราชการจังหวัดที่ประสบอุทกภัย ให้เร่งช่วยเหลือประชาชนในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะเครื่องอุปโภค บริโภค น้ำดื่ม และต้องไม่มีพื้นที่ใดที่ประชาชนยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ สำหรับการใช้จ่ายงบประมาณต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส
9. การดำเนินการให้ความช่วยเหลือขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ได้พิจารณาเห็นว่ามีความจำเป็นต้องระดมทรัพยากรเข้าไปช่วยเหลือพื้นที่ประสบอุทกภัย จึงได้แจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดแจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย สามารถเบิกจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงสำหรับข้าราชการเพิ่มขึ้นจากอัตราปกติอีก 1 เท่า และค่าอาหารประกอบเลี้ยงเหมาจ่ายคนละ 100 บาทต่อ 1 มื้อ และกรณีออกคำสั่งให้ อปพร. เข้าปฏิบัติงานในพื้นที่ประสบอุทกภัยให้เบิกเบี้ยเลี้ยงในอัตราวันละ 120 บาท และเพิ่มอีก 1 เท่า ส่วนค่าประกอบเลี้ยงให้เหมาจ่ายคนละ 100 บาท ต่อ 1 มื้อ
10. สิ่งของพระราชทาน (ระหว่างวันที่ 24-30 ตุลาคม 2549)
10.1 มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ นำสิ่งของพระราชทานไปมอบให้แก่ผู้ประสบภัย ระหว่างวันที่ 25-27 ตุลาคม 2549 ดังนี้ วัดอาน อำเภอบางปลาม้า และวัดท่าไชย ตำบลหัวโพธิ์ อำเภอสองพี่น้อง จำนวน 1,000 ชุด ที่ตำบลเดิมบาง ตำบลหัวเขา อำเภอเดิมบางนางบวช ที่เทศบาลเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ที่ว่าการอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม รวมทั้งหมดจำนวน 2,500 ชุด ตำบลมดแดง อำเภอศรีประจันต์ และตำบลย่านยาว อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 1,000 ชุด
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 21 ส.ค.49 เป็นต้นมามูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยแล้ว 59,400 ครอบครัว คิดเป็นมูลค่าสิ่งของพระราชทาน จำนวน 40,392,000 บาท
10.2 เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2549 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จไปทรงเยี่ยมราษฎรที่ประสบอุทกภัยน้ำท่วม พร้อมประทานถุงยังชีพพระราชทานแก่ผู้ประสบภัยที่อำเภอโพธิ์ทอง และอำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง
10.3 เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2549 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีอุปนายิกา ผู้อำนวยการสภากาชาดไทย พระราชทานไส้กรอก จำนวน 100 กิโลกรัม และกุนเชียง จำนวน 60 กิโลกรัม ให้ครัวเคลื่อนที่สภากาชาดไทย นำไปประกอบอาหารเพื่อแจกจ่ายให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยในเขตจังหวัดอ่างทอง
10.4 เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2549 สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย นำอาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน จำนวน 500 ชุด ไปมอบให้ผู้ประสบอุทกภัย ที่วัดวันอุทิศ ตำบลไผ่ดำพัฒนา อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง และร่วมกับเหล่ากาชาดจังหวัดสิงห์บุรี จัดถุงยังชีพ จำนวน 1,500 ชุด ไปมอบให้ผู้ประสบอุทกภัย ในเขตอำเภอบางระจัน และเมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2549 ร่วมกับเหล่ากาชาดจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จัดถุงยังชีพ จำนวน 1,500 ชุด ไปมอบให้ผู้ประสบอุทกภัยในเขตอำเภเสนา
10.5 มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก ได้จัดตั้งคลังอาหารและน้ำดื่ม หน่วยแพทย์ตรวจรักษาโรคเบื้องต้น หน่วยแพทย์เคลื่อนที่เร็วป้องกันโรคระบาดที่เกิดจากอุทกภัย และมอบอาหารเสริมพระราชทานในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ จังหวัดชัยนาท (อำเภอสรรพยา) จังหวัดสิงห์บุรี (อำเภออินทร์บุรี) จังหวัดอ่างทอง (อำเภอป่าโมก) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (อำเภอบางไทร) อำเภอละ 10 จุด แต่ละจุดประกอบด้วย ข้าว 11,000 กิโลกรัม อาหารกระป๋อง 2,200 กระป๋อง น้ำดื่ม 11,000 ขวด/จุด โดยทำการสำรวจความขาดแคลนในวันจันทร์และส่งมอบสิ่งของในวันพุธของสัปดาห์ ซึ่งการมอบสิ่งของ ฯ จะกำหนดให้มีคณะกรรมการชุมชน ฯ เป็นผู้ดำเนินการมอบให้แก่ผู้ประสบภัย จนกว่าสถานการณ์อุทกภัยจะสิ้นสุด
11. การตรวจเยี่ยมราษฎรผู้ประสบภัย
11.1) เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2549 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายอารีย์ วงศ์อารยะ) พร้อมด้วยอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (นายอนุชา โมกขะเวส) อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น พร้อมคณะเดินทางไปมอบถุงยังชีพ 1,000 ชุด และกล่าวให้กำลังใจแก่ผู้ประสบภัยที่ มัสยิดท่าอิฐ ตำบลท่าอิฐ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และในวันเดียวกันได้มอบถุงยังชีพ 500 ชุด ให้แก่ผู้ประสบภัยที่วัดแจ้ง อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี
11.2) สมาคมแม่บ้านมหาดไทย โดยการนำของนางวรรณา จันทน์เสนะ ภริยาของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เดินทางไปมอบถุงยังชีพให้แก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่างๆ ดังนี้
- เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2549 ที่วัดโคกโพธิ์ อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 2,000 ชุด
- เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2549 ที่อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี จำนวน 2,000 ชุด และที่ตำบลบางพลับ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี จำนวน 2,000 ชุด
- เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2549 ที่อำเภอเสนา และอำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 2,160ชุด
12. การเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์จากพายุไต้ฝุ่น “ซิมารอน”
12.1) กรมอุตุนิยมวิทยา ได้ออกประกาศแจ้งเตือน เรื่อง พายุไต้ฝุ่น “ซิมารอน”เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2549 ว่าพายุไต้ฝุ่น “ซิมารอน” มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เคลื่อนตัวทางตะวันตกด้วยความเร็ว 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่า พายุนี้จะเคลื่อนขึ้นฝั่งเมืองดานัง ประเทศเวียดนาม ประมาณวันที่ 3 พฤศจิกายน 2549 และจะอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากได้รับลมหนาวจากประเทศจีน และจะทำให้มีฝนเล็กน้อยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ส่วนภาคเหนือและภาคกลาง จะไม่ได้รับผลกระทบจากพายุนี้ อนึ่ง มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้นในช่วงวันที่ 1-3 พฤศจิกายน 2549 ทำให้ภาคใต้ บริเวณจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล มีฝนตกชุกหนาแน่นและมีฝนตกหนักบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัย ระวังภัยจากฝนตกหนักในช่วงดังกล่าว
12.2) สำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้แจ้งเตือนให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 4,11,12 และรวมทั้งจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ ที่คาดว่าจะเกิดภัยให้เตรียมพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย วาตภัย ดินถล่ม และคลื่นลมแรง ที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ โดยจัดเจ้าหน้าที่อยู่เวรเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง เตรียมพร้อมช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามแผนป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนที่กำหนด หากเกิดสถานการณ์รุนแรงขึ้นในจังหวัดใด ให้ประสานงานหน่วยทหารในพื้นที่และศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตพื้นที่ดังกล่าวจัดเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องจักรกลเข้าสนับสนุนทันที
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 31 ตุลาคม 2549--จบ--