คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์สรุปการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยด้านการเกษตร ดังนี้
1. สถานการณ์น้ำ
จากสถานการณ์ท่วมที่เริ่มมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2549 จนถึงปัจจุบันในภาคเหนือและภาคกลางมีแนวโน้มลดลงโดยลำดับคาดว่าจะเข้าสู่สภาวะปกติในปลายเดือนพฤศจิกายน 2549 ซึ่งขณะนี้ร่องความกดอากาศได้เคลื่อนตัวลงสู่ภาคใต้แล้ว สำหรับน้ำทะเลที่จะหนุนสูงในแม่น้ำเจ้าพระยาอีกครั้งช่วงวันที่ 7-10 พฤศจิกายน 2549 นั้น คาดว่าไม่มีผลกระทบต่อกรุงเทพมหานคร
2. ผลกระทบด้านการเกษตร ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม — 25 ตุลาคม 2549 (ข้อมูล ณ วันที่ 26 ตุลาคม 2549) พื้นที่ประสบภัย 62 จังหวัด แบ่งเป็น ภาคเหนือ 16 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 18 จังหวัด ภาคกลาง 9 จังหวัด ภาคตะวันออก 9 จังหวัด ภาคตะวันตก 4 จังหวัด และภาคใต้ 6 จังหวัด ประเมินมูลค่าการชดเชย 2,011,225,443 บาท แบ่งเป็น
ด้านพืช ได้รับผลกระทบ 60 จังหวัด เกษตรกร 501,058 ราย พื้นที่ประสบภัย 7,271,333 ไร่ คาดว่าจะเสียหาย 5,971,468 ไร่ แยกเป็น ข้าว 5,070,490 ไร่ พืชไร่ 632,789 ไร่ พืชสวนและอื่นๆ 282,308 ไร่ ประมาณการมูลค่าการชดเชย 1,519,176,743 บาท
ด้านปศุสัตว์ ได้รับผลกระทบ 35 จังหวัด เกษตรกร 58,400 ราย สัตว์ได้รับผลกระทบ 3,490,036 ตัว แบ่งเป็น โค-กระบือ 199,054 ตัว สุกร-แพะ-แกะ 104,423 ตัว สัตว์ปีก 3,186,559 ตัว และแปลงหญ้า 4,606 ไร่ ประมาณการมูลค่าการชดเชย 313,440,318 บาท
ด้านประมง ได้รับผลกระทบ 44 จังหวัด เกษตรกร 56,501 ราย พื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ 73,854 บ่อ 8 แปลง คิดเป็นพื้นที่ 122,562.11 ไร่ และกระชังเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ 6,707 กระชัง คิดเป็นพื้นที่ 94,043.50 ตารางเมตร ประมาณการมูลค่าความเสียหาย 178,608,382 บาท
รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 2
3. การให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น
3.1 กรมชลประทาน ส่งเครื่องสูบน้ำเข้าช่วยเหลือพื้นที่ประสบอุทกภัยในฤดูฝน 2549 ทั่วประเทศแล้ว จำนวน 519 เครื่อง เครื่องผลักดันน้ำ จำนวน 42 เครื่อง เรือนาค 4 ลำ รถนาค 4 คัน และบริหารจัดการน้ำโดยควบคุมการระบายน้ำ ทั้งในแม่น้ำ การผันน้ำ การผลักดันน้ำ และการสูบน้ำเพื่อให้ลงสู่ทะเลโดยเร็ว
3.2 กรมส่งเสริมการเกษตร จัดตั้งศูนย์เฝ้าระวัง เตือนภัย และช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยธรรมชาติในส่วนกลาง และจัดตั้งศูนย์บริการการเกษตรเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระดับจังหวัด จำนวน 839 ศูนย์ เพื่อรับเรื่องราวร้องทุกข์และประสานการให้ความช่วยเหลือให้แก่เกษตรกรผู้ประสบภัย โดยมีสถานที่ตั้งศูนย์และหน่วยเคลื่อนที่ไปยังพื้นที่ผู้ประสบภัย เพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นและสำรวจความเสียหาย
3.3 กรมปศุสัตว์ ช่วยเหลือพืชอาหารสัตว์ 1,175,888 กก. ดูแลสุขภาพสัตว์ 448,340 ตัว แร่ธาตุ 366 ก้อน เวชภัณฑ์ 266 ขวด 2,546 ซอง วัคซีน 521,420 โด๊ส
3.4 กรมประมง จัดตั้งชุดปฏิบัติทางน้ำเพื่ออพยพผู้ประสบภัยและสิ่งของในพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งการจับจระเข้ที่หลุดจากฟาร์ม
3.5 การใช้เงินทดรองราชการของผู้ว่าราชการจังหวัด วงเงิน 24,258,602 บาท แบ่งเป็น ด้านพืช 6 จังหวัด วงเงิน 18,256,473 บาท และด้านประมง 3 จังหวัด วงเงิน 6,002,129 บาท
4. แผนการฟื้นฟูหลังน้ำลด
4.1 สนับสนุนให้เกษตรกรสามารถดำเนินการเพาะปลูกข้าวนาปรังได้ทันที โดยในเขตพื้นที่ชลประทานให้มีการทำนาปรังครั้งที่ 2 ส่วนพื้นที่นอกเขตชลประทานจะส่งเสริมให้ทำนาปรัง โดยจะให้การสนับสนุนเครื่องสูบน้ำเข้าช่วยเหลือ
4.2 สนับสนุนพันธุ์พืชอายุสั้น สารกำจัดศัตรูพืช รวมทั้งให้คำแนะนำให้แก่เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยให้สามารถเพาะปลูกได้ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรจัดสรรงบประมาณ 1.37 ล้านบาท เพื่อเตรียมเพาะกล้าพันธุ์ผัก และผลิตเชื้อไตรโคเดอร์มาสำหรับแจกจ่ายผู้ประสบภัยธรรมชาติแล้ว
4.3 สำรวจพื้นที่การเกษตรที่ถูกดินโคลนทับถม เพื่อปรับพื้นที่และปรับปรุงบำรุงดินให้สามารถเพาะปลูกพืชได้ทันตามฤดูกาล
4.4 ขยายระยะเวลาการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย ให้แก่สมาชิกสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร และสมาชิกเงินกองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
ทั้งนี้ ได้กำชับให้หน่วยงานเตรียมจัดทำแผนฟื้นฟูหลังน้ำลดทันที
5. การสำรวจความเสียหายเพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือด้านการเกษตร
5.1 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะช่วยเหลือเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรโดยใช้เกณฑ์ตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2547 และจะดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ปัจจุบัน และทันต่อเหตุการณ์ โดยจะขอทำหารือกับกระทรวงการคลังต่อไป
5.2 พื้นที่ที่กรมชลประทานผันน้ำเข้าทุ่งและทำให้เกิดความเสียหาย อยู่ระหว่างการหารือชดเชยความเสียหายเพิ่มเติมจากที่ได้รับความช่วยเหลือในเบื้องต้นไปแล้ว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 31 ตุลาคม 2549--จบ--
1. สถานการณ์น้ำ
จากสถานการณ์ท่วมที่เริ่มมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2549 จนถึงปัจจุบันในภาคเหนือและภาคกลางมีแนวโน้มลดลงโดยลำดับคาดว่าจะเข้าสู่สภาวะปกติในปลายเดือนพฤศจิกายน 2549 ซึ่งขณะนี้ร่องความกดอากาศได้เคลื่อนตัวลงสู่ภาคใต้แล้ว สำหรับน้ำทะเลที่จะหนุนสูงในแม่น้ำเจ้าพระยาอีกครั้งช่วงวันที่ 7-10 พฤศจิกายน 2549 นั้น คาดว่าไม่มีผลกระทบต่อกรุงเทพมหานคร
2. ผลกระทบด้านการเกษตร ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม — 25 ตุลาคม 2549 (ข้อมูล ณ วันที่ 26 ตุลาคม 2549) พื้นที่ประสบภัย 62 จังหวัด แบ่งเป็น ภาคเหนือ 16 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 18 จังหวัด ภาคกลาง 9 จังหวัด ภาคตะวันออก 9 จังหวัด ภาคตะวันตก 4 จังหวัด และภาคใต้ 6 จังหวัด ประเมินมูลค่าการชดเชย 2,011,225,443 บาท แบ่งเป็น
ด้านพืช ได้รับผลกระทบ 60 จังหวัด เกษตรกร 501,058 ราย พื้นที่ประสบภัย 7,271,333 ไร่ คาดว่าจะเสียหาย 5,971,468 ไร่ แยกเป็น ข้าว 5,070,490 ไร่ พืชไร่ 632,789 ไร่ พืชสวนและอื่นๆ 282,308 ไร่ ประมาณการมูลค่าการชดเชย 1,519,176,743 บาท
ด้านปศุสัตว์ ได้รับผลกระทบ 35 จังหวัด เกษตรกร 58,400 ราย สัตว์ได้รับผลกระทบ 3,490,036 ตัว แบ่งเป็น โค-กระบือ 199,054 ตัว สุกร-แพะ-แกะ 104,423 ตัว สัตว์ปีก 3,186,559 ตัว และแปลงหญ้า 4,606 ไร่ ประมาณการมูลค่าการชดเชย 313,440,318 บาท
ด้านประมง ได้รับผลกระทบ 44 จังหวัด เกษตรกร 56,501 ราย พื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ 73,854 บ่อ 8 แปลง คิดเป็นพื้นที่ 122,562.11 ไร่ และกระชังเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ 6,707 กระชัง คิดเป็นพื้นที่ 94,043.50 ตารางเมตร ประมาณการมูลค่าความเสียหาย 178,608,382 บาท
รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 2
3. การให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น
3.1 กรมชลประทาน ส่งเครื่องสูบน้ำเข้าช่วยเหลือพื้นที่ประสบอุทกภัยในฤดูฝน 2549 ทั่วประเทศแล้ว จำนวน 519 เครื่อง เครื่องผลักดันน้ำ จำนวน 42 เครื่อง เรือนาค 4 ลำ รถนาค 4 คัน และบริหารจัดการน้ำโดยควบคุมการระบายน้ำ ทั้งในแม่น้ำ การผันน้ำ การผลักดันน้ำ และการสูบน้ำเพื่อให้ลงสู่ทะเลโดยเร็ว
3.2 กรมส่งเสริมการเกษตร จัดตั้งศูนย์เฝ้าระวัง เตือนภัย และช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยธรรมชาติในส่วนกลาง และจัดตั้งศูนย์บริการการเกษตรเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระดับจังหวัด จำนวน 839 ศูนย์ เพื่อรับเรื่องราวร้องทุกข์และประสานการให้ความช่วยเหลือให้แก่เกษตรกรผู้ประสบภัย โดยมีสถานที่ตั้งศูนย์และหน่วยเคลื่อนที่ไปยังพื้นที่ผู้ประสบภัย เพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นและสำรวจความเสียหาย
3.3 กรมปศุสัตว์ ช่วยเหลือพืชอาหารสัตว์ 1,175,888 กก. ดูแลสุขภาพสัตว์ 448,340 ตัว แร่ธาตุ 366 ก้อน เวชภัณฑ์ 266 ขวด 2,546 ซอง วัคซีน 521,420 โด๊ส
3.4 กรมประมง จัดตั้งชุดปฏิบัติทางน้ำเพื่ออพยพผู้ประสบภัยและสิ่งของในพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งการจับจระเข้ที่หลุดจากฟาร์ม
3.5 การใช้เงินทดรองราชการของผู้ว่าราชการจังหวัด วงเงิน 24,258,602 บาท แบ่งเป็น ด้านพืช 6 จังหวัด วงเงิน 18,256,473 บาท และด้านประมง 3 จังหวัด วงเงิน 6,002,129 บาท
4. แผนการฟื้นฟูหลังน้ำลด
4.1 สนับสนุนให้เกษตรกรสามารถดำเนินการเพาะปลูกข้าวนาปรังได้ทันที โดยในเขตพื้นที่ชลประทานให้มีการทำนาปรังครั้งที่ 2 ส่วนพื้นที่นอกเขตชลประทานจะส่งเสริมให้ทำนาปรัง โดยจะให้การสนับสนุนเครื่องสูบน้ำเข้าช่วยเหลือ
4.2 สนับสนุนพันธุ์พืชอายุสั้น สารกำจัดศัตรูพืช รวมทั้งให้คำแนะนำให้แก่เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยให้สามารถเพาะปลูกได้ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรจัดสรรงบประมาณ 1.37 ล้านบาท เพื่อเตรียมเพาะกล้าพันธุ์ผัก และผลิตเชื้อไตรโคเดอร์มาสำหรับแจกจ่ายผู้ประสบภัยธรรมชาติแล้ว
4.3 สำรวจพื้นที่การเกษตรที่ถูกดินโคลนทับถม เพื่อปรับพื้นที่และปรับปรุงบำรุงดินให้สามารถเพาะปลูกพืชได้ทันตามฤดูกาล
4.4 ขยายระยะเวลาการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย ให้แก่สมาชิกสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร และสมาชิกเงินกองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
ทั้งนี้ ได้กำชับให้หน่วยงานเตรียมจัดทำแผนฟื้นฟูหลังน้ำลดทันที
5. การสำรวจความเสียหายเพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือด้านการเกษตร
5.1 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะช่วยเหลือเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรโดยใช้เกณฑ์ตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2547 และจะดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ปัจจุบัน และทันต่อเหตุการณ์ โดยจะขอทำหารือกับกระทรวงการคลังต่อไป
5.2 พื้นที่ที่กรมชลประทานผันน้ำเข้าทุ่งและทำให้เกิดความเสียหาย อยู่ระหว่างการหารือชดเชยความเสียหายเพิ่มเติมจากที่ได้รับความช่วยเหลือในเบื้องต้นไปแล้ว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 31 ตุลาคม 2549--จบ--