คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และสถาบันความร่วมมือ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และอนุมัติการลงนามความตกลงฯ โดยให้ผู้อำนวยการ สำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลไทย
ทั้งนี้กระทรวงการต่างประเทศรายงานว่า
1. ธรรมนูญของสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง กำหนดให้สถาบันฯ เป็น องค์การระหว่างประเทศที่เป็นอิสระมีการดำเนินงานไม่หวังผลกำไรและไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองในระหว่างที่ยังไม่มีการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและสถาบันฯ เพื่อรับรองสถานะของสถาบันฯ เป็นองค์การระหว่างประเทศนั้น สถาบันฯ ได้จดทะเบียนเป็นมูลนิธิไทยภายใต้ชื่อ “มูลนิธิสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง (Mekong Institute Foundation) เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2546 โดยมีนายเตช บุนนาค เป็นประธานมูลนิธิฯ
2. กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาเห็นว่า การรับรองสถานะของสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง เป็นองค์การระหว่างประเทศ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยดังนี้
2.1 ตอบสนองและส่งเสริมนโยบายของรัฐบาล
การดำเนินงานของสถาบันฯ สามารถตอบสนองและเกื้อกูลการดำเนินงานโครงการต่าง ๆ ภายใต้กรอบความร่วมมือระดับภูมิภาคที่รัฐบาลไทยเป็นผู้ส่งเสริมและริเริ่ม เช่น อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมบทบาทของไทยในการช่วยลดช่องว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและขยายโอกาสในการพัฒนาของประเทศต่าง ๆ ในอนุภูมิภาค และ เป็นการส่งเสริมบทบาทของไทยในการเป็นศูนย์กลางทางวิชาการ
2.2 ภาพลักษณ์ของประเทศ
โดยที่ประเทศไทยเป็นผู้ริเริ่มในการจัดตั้งสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขงตั้งแต่เริ่มแรก และได้ผลักดันให้มีการลงนามในธรรมนูญสถาบันฯ โดยรัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศสมาชิกอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เพื่อให้เป็นสถาบันของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงอย่างแท้จริง โดยมีที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ดังนั้นไทยจึงควรสนับสนุนการจัดตั้งสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขงเป็นองค์การระหว่างประเทศ เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจของรัฐบาลไทยในการร่วมพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และสะท้อนภาพลักษณ์ที่ดีของไทยในสายตาประเทศเพื่อนบ้าน
2.3 ประสิทธิภาพในการดำเนินงานของสถาบันฯ
การที่สถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง เป็นองค์การระหว่างประเทศจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ และการยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศ ซึ่งจะทำให้มีช่องทางการติดต่อขอรับการสนับสนุนจากแหล่งความร่วมมือต่าง ๆ ได้มากขึ้น อีกทั้งยังมีโอกาสในการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญ และบุคลากรด้านการศึกษาและการวิจัยจากต่างประเทศได้มากขึ้นด้วย
2.4 พันธกรณีตามร่างความตกลง
2.4.1 รัฐบาลไทยจะให้การรับรองและคุ้มครองแก่สถาบันฯ ในการได้รับการบริการ ด้านสาธารณูปโภค และการสื่อสารที่เท่าเทียมกับที่รัฐให้แก่องค์การระหว่างประเทศอื่นที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย
2.4.2 รัฐบาลไทยจะอำนวยสิทธิพิเศษในการยกเว้นภาษีอากรทางตรงสำหรับทรัพย์สิน รายได้ และสิ่งของต่าง ๆ ของสถาบันฯ และยกเว้นศุลกากรสำหรับการนำเข้า และส่งออกสิ่งของ ยานพาหนะ และเครื่องมือ เครื่องใช้สำหรับการดำเนินงานของสถาบันฯ
2.4.3 รัฐบาลจะอำนวยสิทธิแก่สถาบันฯ ในการรับ ถือครอง และแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ รวมทั้งการดำเนินธุรกรรมทางการเงินได้กับเงินทุกสกุล
2.4.4 รัฐบาลจะอำนวยความสะดวกในการตรวจลงตราให้แก่บุคลากรของสถาบันฯ ทั้งสมาชิกคณะมนตรี สมาชิกคณะกรรมการบริหาร เจ้าหน้าที่และพนักงาน พร้อมทั้งภรรยา บุตร และผู้ติดตามของเจ้าหน้าที่และพนักงาน และอาคันตุกะที่สถาบันฯ เชื้อเชิญมาในกิจการของสถาบันฯ
2.4.5 รัฐบาลไทยจะอำนวยสิทธิพิเศษทางภาษีอากรและศุลกากรแก่เจ้าหน้าที่และพนักงานชาวต่างประเทศที่ผู้อำนวยการสถาบันฯ ให้การรับรองพร้อมทั้งภรรยา บุตร และผู้ติดตาม
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 10 มกราคม 2549--จบ--
ทั้งนี้กระทรวงการต่างประเทศรายงานว่า
1. ธรรมนูญของสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง กำหนดให้สถาบันฯ เป็น องค์การระหว่างประเทศที่เป็นอิสระมีการดำเนินงานไม่หวังผลกำไรและไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองในระหว่างที่ยังไม่มีการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและสถาบันฯ เพื่อรับรองสถานะของสถาบันฯ เป็นองค์การระหว่างประเทศนั้น สถาบันฯ ได้จดทะเบียนเป็นมูลนิธิไทยภายใต้ชื่อ “มูลนิธิสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง (Mekong Institute Foundation) เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2546 โดยมีนายเตช บุนนาค เป็นประธานมูลนิธิฯ
2. กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาเห็นว่า การรับรองสถานะของสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง เป็นองค์การระหว่างประเทศ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยดังนี้
2.1 ตอบสนองและส่งเสริมนโยบายของรัฐบาล
การดำเนินงานของสถาบันฯ สามารถตอบสนองและเกื้อกูลการดำเนินงานโครงการต่าง ๆ ภายใต้กรอบความร่วมมือระดับภูมิภาคที่รัฐบาลไทยเป็นผู้ส่งเสริมและริเริ่ม เช่น อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมบทบาทของไทยในการช่วยลดช่องว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและขยายโอกาสในการพัฒนาของประเทศต่าง ๆ ในอนุภูมิภาค และ เป็นการส่งเสริมบทบาทของไทยในการเป็นศูนย์กลางทางวิชาการ
2.2 ภาพลักษณ์ของประเทศ
โดยที่ประเทศไทยเป็นผู้ริเริ่มในการจัดตั้งสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขงตั้งแต่เริ่มแรก และได้ผลักดันให้มีการลงนามในธรรมนูญสถาบันฯ โดยรัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศสมาชิกอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เพื่อให้เป็นสถาบันของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงอย่างแท้จริง โดยมีที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ดังนั้นไทยจึงควรสนับสนุนการจัดตั้งสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขงเป็นองค์การระหว่างประเทศ เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจของรัฐบาลไทยในการร่วมพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และสะท้อนภาพลักษณ์ที่ดีของไทยในสายตาประเทศเพื่อนบ้าน
2.3 ประสิทธิภาพในการดำเนินงานของสถาบันฯ
การที่สถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง เป็นองค์การระหว่างประเทศจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ และการยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศ ซึ่งจะทำให้มีช่องทางการติดต่อขอรับการสนับสนุนจากแหล่งความร่วมมือต่าง ๆ ได้มากขึ้น อีกทั้งยังมีโอกาสในการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญ และบุคลากรด้านการศึกษาและการวิจัยจากต่างประเทศได้มากขึ้นด้วย
2.4 พันธกรณีตามร่างความตกลง
2.4.1 รัฐบาลไทยจะให้การรับรองและคุ้มครองแก่สถาบันฯ ในการได้รับการบริการ ด้านสาธารณูปโภค และการสื่อสารที่เท่าเทียมกับที่รัฐให้แก่องค์การระหว่างประเทศอื่นที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย
2.4.2 รัฐบาลไทยจะอำนวยสิทธิพิเศษในการยกเว้นภาษีอากรทางตรงสำหรับทรัพย์สิน รายได้ และสิ่งของต่าง ๆ ของสถาบันฯ และยกเว้นศุลกากรสำหรับการนำเข้า และส่งออกสิ่งของ ยานพาหนะ และเครื่องมือ เครื่องใช้สำหรับการดำเนินงานของสถาบันฯ
2.4.3 รัฐบาลจะอำนวยสิทธิแก่สถาบันฯ ในการรับ ถือครอง และแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ รวมทั้งการดำเนินธุรกรรมทางการเงินได้กับเงินทุกสกุล
2.4.4 รัฐบาลจะอำนวยความสะดวกในการตรวจลงตราให้แก่บุคลากรของสถาบันฯ ทั้งสมาชิกคณะมนตรี สมาชิกคณะกรรมการบริหาร เจ้าหน้าที่และพนักงาน พร้อมทั้งภรรยา บุตร และผู้ติดตามของเจ้าหน้าที่และพนักงาน และอาคันตุกะที่สถาบันฯ เชื้อเชิญมาในกิจการของสถาบันฯ
2.4.5 รัฐบาลไทยจะอำนวยสิทธิพิเศษทางภาษีอากรและศุลกากรแก่เจ้าหน้าที่และพนักงานชาวต่างประเทศที่ผู้อำนวยการสถาบันฯ ให้การรับรองพร้อมทั้งภรรยา บุตร และผู้ติดตาม
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 10 มกราคม 2549--จบ--