คณะรัฐมนตรีพิจารณาแผนการปรับโครงสร้างผลไม้ภาคตะวันออกและปรับโครงสร้างการผลิตลำไย ปี 2549 ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ แล้วมีมติอนุมัติในหลักการแผนการปรับโครงสร้างผลไม้ภาคตะวันออกและปรับโครงสร้างการผลิตลำไย ปี 2549 โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาปรับแผนค่าใช้จ่ายของตนเองก่อนหากไม่เพียงพอให้ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
ทั้งนี้ที่ประชุมได้ให้ข้อสังเกตว่า การดำเนินการครั้งนี้ถือว่าเป็นการลงทุนร่วมกับภาคเอกชน จึงจำเป็นจะต้องมีความชัดเจนในการบริหารจัดการที่ภาครัฐได้เข้าไปร่วมลงทุน รวมทั้งแผนการดำเนินการต่าง ๆ จะต้องมีความชัดเจน และให้ถือเป็นโครงการนำร่องเพื่อการศึกษาวิจัยที่จะต้องมีการจัดทำแผนการบริหารจัดการ การประเมินผลและการบำรุงรักษา ตลอดจนการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างกันด้วย
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานว่า ได้ประชุมและจัดทำแผนการปรับโครงสร้างผลไม้ ภาคตะวันออกและปรับโครงสร้างการผลิตลำไย ปี 2549 มีรายละเอียด ดังนี้
1. การปรับโครงสร้างผลไม้ภาคตะวันออก เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาราคาผลผลิต ทุเรียน มังคุด เงาะ ตกต่ำ จึงมีความจำเป็นต้องมีการพัฒนาด้านการแปรรูปผลผลิตและการยืดอายุการเก็บรักษา เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และเพิ่มรายได้แก่เกษตรกรโดยมีแนวทางดำเนินการ ดังนี้
1.1 ทุเรียน เช่น สร้างโรง Fresh Chilled พร้อมบรรจุภัณฑ์ สร้างโรงแช่เย็นทุเรียนและผลไม้ สร้างโรง Vacuum Fried ปรับปรุงโรงแช่แข็งระบบ IQF การวิจัยผลิตภัณฑ์ ส่งเสริมการตลาดและสร้าง Brand Name (ทุเรียน เงาะ มังคุด)
1.2 เงาะ เช่น สร้างโรง Fresh Chilled พร้อมบรรจุถุง Vacuum วิจัยและพัฒนาการยืดอายุการวางจำหน่าย
1.3 มังคุด เช่น สร้างโรงอบไอน้ำ (VHT)
สำหรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตตามแนว GAP (Good Agricultural Practice) และ GMP (Good Manufacturing Practice) การกระจายการผลิตนอกฤดู Food Safety& พัฒนากระบวนการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) การปรับเปลี่ยนไปปลูกพันธุ์ดี การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีก่อนและหลังการเก็บเกี่ยว เทคโนโลยีการแปรรูปและการบรรจุภัณฑ์ รวมทั้งวิจัยและพัฒนาเครื่องมือตรวจสอบเนื้อแก้วและยางไหลในผลของมังคุด
2. การปรับโครงสร้างการผลิตลำไย ปี 2549 เนื่องจากผลผลิตลำไยมีจำนวนมากและออกสู่ตลาดในลักษณะกระจุกตัว ในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ถึงร้อยละ 87 ส่งผลให้ผลผลิตล้นตลาด และราคาตกต่ำ รัฐบาลต้องเข้ามาแก้ไขปัญหาเป็นประจำทุกปี ดังนั้น หากไม่มีการเตรียมมาตรการที่จะปรับโครงสร้างการผลิตลำไยแล้ว ผลกระทบจากปริมาณผลผลิตที่ล้นตลาดนี้จะก่อให้เกิดปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลผลิต ดังนั้น เพื่อให้มีการแก้ไขปัญหาราคาตกต่ำอย่างถาวร โดยไม่บิดเบือนกลไกตลาด จึงจำเป็นต้องปรับโครงสร้างการผลิต โดยเน้นการผลิตนอกฤดูการปรับปรุงคุณภาพการผลิต รวมทั้งการสร้างมูลค่าเพิ่มลำไย ดังนี้
2.1 การกระจายผลผลิตลำไย ด้วยการผลิตลำไยนอกฤดูพื้นที่ดำเนินการ 65,000 ไร่ ใน 8 จังหวัดภาคเหนือ คือ เชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา และตาก โดยคาดว่าจะกระจายผลผลิตลำไยจาก ฤดูกาลปกติ (กรกฎาคม-สิงหาคม) เป็นตุลาคม 2549-มิถุนายน 2550 ได้ 65,000 ตัน ซึ่งเป็นปริมาณตามที่ผู้ส่งออกต้องการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ผลิตลำไยนอกฤดูข้างต้น
2.2 การสร้างตลาดเชิงรุก ด้วยการเจรจาการค้ากับประเทศผู้ค้า การประสานงานและร่วมมือกับภาคเอกชน เพื่อพัฒนาการส่งออก การวิจัยตลาด และการวิจัยการแปรรูป ส่งเสริมการขายและการสร้าง Brand
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 31 มกราคม 2549--จบ--
ทั้งนี้ที่ประชุมได้ให้ข้อสังเกตว่า การดำเนินการครั้งนี้ถือว่าเป็นการลงทุนร่วมกับภาคเอกชน จึงจำเป็นจะต้องมีความชัดเจนในการบริหารจัดการที่ภาครัฐได้เข้าไปร่วมลงทุน รวมทั้งแผนการดำเนินการต่าง ๆ จะต้องมีความชัดเจน และให้ถือเป็นโครงการนำร่องเพื่อการศึกษาวิจัยที่จะต้องมีการจัดทำแผนการบริหารจัดการ การประเมินผลและการบำรุงรักษา ตลอดจนการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างกันด้วย
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานว่า ได้ประชุมและจัดทำแผนการปรับโครงสร้างผลไม้ ภาคตะวันออกและปรับโครงสร้างการผลิตลำไย ปี 2549 มีรายละเอียด ดังนี้
1. การปรับโครงสร้างผลไม้ภาคตะวันออก เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาราคาผลผลิต ทุเรียน มังคุด เงาะ ตกต่ำ จึงมีความจำเป็นต้องมีการพัฒนาด้านการแปรรูปผลผลิตและการยืดอายุการเก็บรักษา เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และเพิ่มรายได้แก่เกษตรกรโดยมีแนวทางดำเนินการ ดังนี้
1.1 ทุเรียน เช่น สร้างโรง Fresh Chilled พร้อมบรรจุภัณฑ์ สร้างโรงแช่เย็นทุเรียนและผลไม้ สร้างโรง Vacuum Fried ปรับปรุงโรงแช่แข็งระบบ IQF การวิจัยผลิตภัณฑ์ ส่งเสริมการตลาดและสร้าง Brand Name (ทุเรียน เงาะ มังคุด)
1.2 เงาะ เช่น สร้างโรง Fresh Chilled พร้อมบรรจุถุง Vacuum วิจัยและพัฒนาการยืดอายุการวางจำหน่าย
1.3 มังคุด เช่น สร้างโรงอบไอน้ำ (VHT)
สำหรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตตามแนว GAP (Good Agricultural Practice) และ GMP (Good Manufacturing Practice) การกระจายการผลิตนอกฤดู Food Safety& พัฒนากระบวนการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) การปรับเปลี่ยนไปปลูกพันธุ์ดี การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีก่อนและหลังการเก็บเกี่ยว เทคโนโลยีการแปรรูปและการบรรจุภัณฑ์ รวมทั้งวิจัยและพัฒนาเครื่องมือตรวจสอบเนื้อแก้วและยางไหลในผลของมังคุด
2. การปรับโครงสร้างการผลิตลำไย ปี 2549 เนื่องจากผลผลิตลำไยมีจำนวนมากและออกสู่ตลาดในลักษณะกระจุกตัว ในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ถึงร้อยละ 87 ส่งผลให้ผลผลิตล้นตลาด และราคาตกต่ำ รัฐบาลต้องเข้ามาแก้ไขปัญหาเป็นประจำทุกปี ดังนั้น หากไม่มีการเตรียมมาตรการที่จะปรับโครงสร้างการผลิตลำไยแล้ว ผลกระทบจากปริมาณผลผลิตที่ล้นตลาดนี้จะก่อให้เกิดปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลผลิต ดังนั้น เพื่อให้มีการแก้ไขปัญหาราคาตกต่ำอย่างถาวร โดยไม่บิดเบือนกลไกตลาด จึงจำเป็นต้องปรับโครงสร้างการผลิต โดยเน้นการผลิตนอกฤดูการปรับปรุงคุณภาพการผลิต รวมทั้งการสร้างมูลค่าเพิ่มลำไย ดังนี้
2.1 การกระจายผลผลิตลำไย ด้วยการผลิตลำไยนอกฤดูพื้นที่ดำเนินการ 65,000 ไร่ ใน 8 จังหวัดภาคเหนือ คือ เชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา และตาก โดยคาดว่าจะกระจายผลผลิตลำไยจาก ฤดูกาลปกติ (กรกฎาคม-สิงหาคม) เป็นตุลาคม 2549-มิถุนายน 2550 ได้ 65,000 ตัน ซึ่งเป็นปริมาณตามที่ผู้ส่งออกต้องการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ผลิตลำไยนอกฤดูข้างต้น
2.2 การสร้างตลาดเชิงรุก ด้วยการเจรจาการค้ากับประเทศผู้ค้า การประสานงานและร่วมมือกับภาคเอกชน เพื่อพัฒนาการส่งออก การวิจัยตลาด และการวิจัยการแปรรูป ส่งเสริมการขายและการสร้าง Brand
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 31 มกราคม 2549--จบ--