คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์ รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยในระยะ 5 เดือนแรกของปี 2549 (มกราคม — พฤษภาคม) โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. การส่งออก
การส่งออกเดือนพฤษภาคม 2549 มีมูลค่า 10,835.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นในระดับสูงถึงร้อยละ 18.8 การส่งออกยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยสินค้าเกษตรกรรม/อุตสาหกรรมการเกษตรขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.5 สินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.6 และสินค้าอื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.3
สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตร สินค้าสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพาราและสินค้าอาหาร (กุ้งแช่แข็งและแปรรูป อาหารกระป๋องและแปรรูป ผลไม้สด แช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ผักกระป๋องและแปรรูป และ ไก่แช่แข็งและแปรรูป) ที่ส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 61.5 และ 13.6 ตามลำดับ สินค้าสำคัญที่ส่งออกลดลง ได้แก่ ข้าว ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังและน้ำตาล ขณะที่ราคาส่งออกยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ข้าวปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 16.5 และ 7.8 ตามลำดับ เนื่องจากราคาข้าวในประเทศสูงและต้องแข่งขันด้านราคากับคู่แข่งสำคัญคือ เวียดนามและอินเดีย น้ำตาล ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 47.5 และ 23.8 ตามลำดับ เนื่องจากผลผลิตในประเทศลดลง และ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 10.8 และ 2.3 ตามลำดับ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันและค่าระวางเรือ รวมทั้งการแข็งค่าของเงินบาท ประกอบกับจีนมีสต็อคมันเส้นคงเหลืออยู่มาก
สินค้าอุตสาหกรรม สินค้าที่ขยายตัวในอัตราสูง ได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และส่วนประกอบ สิ่งทอ อัญมณี เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง วัสดุก่อสร้าง เครื่องเดินทางและเครื่องหนัง เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เภสัช และ ของเล่น สินค้าที่ส่งออกลดลง ได้แก่ เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้เครื่องประดับตกแต่ง เนื่องจากปัญหาวัตถุดิบไม้ยางพาราขาดแคลนและมีราคาที่สูงขึ้นมาก การขาดแคลนแรงงานในประเทศ การแข่งขันกับคู่แข่งคือ จีนและเวียดนาม และได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ค่าระวางเรือ รวมทั้งการ แข็งค่าของเงินบาท
สินค้าอื่น ๆ ที่สำคัญและส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราสูงได้แก่ เคมีภัณฑ์ เลนส์ และน้ำมันเบนซินส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.0 , 53.2 และ 117.7 ตามลำดับ และน้ำมันดิบที่ส่งออกมูลค่า 168 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากที่ไม่มีการส่งออกในเดือนพฤษภาคม ปี 2548
การส่งออกในระยะ 5 เดือนแรกของปี 2549 (ม.ค.-พ.ค.) มีมูลค่า 49,601.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.5 เป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นของสินค้าเกษตรกรรม/อุตสาหกรรมการเกษตร ร้อยละ 14.0 สินค้าอุตสาหกรรมร้อยละ 14.6 และสินค้าอื่น ๆ ร้อยละ 26.7
สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตร สินค้าสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพารา มันสำปะหลัง และ สินค้าอาหาร (กุ้งแช่แข็งและแปรรูป อาหารกระป๋องและแปรรูป ผัก ผลไม้สด กระป๋องและแปรรูปไก่แช่แข็งและแปรรูป) สินค้าสำคัญที่ส่งออกลดลง ได้แก่ ข้าว และน้ำตาล
สินค้าอุตสาหกรรม สินค้าสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอ อัญมณี เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก วัสดุก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องใช้เครื่องประดับตกแต่ง สิ่งพิมพ์และกระดาษ เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เภสัช และของเล่น สินค้าสำคัญที่ส่งออกลดลง ได้แก่ เครื่องเดินทาง เครื่องหนังและรองเท้า และเฟอร์นิเจอร์
สินค้าอื่น ๆ ที่สำคัญและส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราสูงได้แก่ น้ำมันดิบ เคมีภัณฑ์ เลนส์ และน้ำมันเบนซิน
ตลาดส่งออกสำคัญ การส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะในตลาดใหม่ ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.9 เนื่องจากมีมาตรการขยายตลาดเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ตลาดใหม่ที่ขยายตัวในอัตราสูง ได้แก่ ตะวันออกกลาง(ร้อยละ 41.7) ลาตินอเมริกา(ร้อยละ 40.3) เกาหลีใต้ (ร้อยละ 33.1) ยุโรปตะวันออก (ร้อยละ 30.5) อินโดจีนและพม่า(ร้อยละ 28.3) จีน(ร้อยละ 27.8) ฮ่องกง(ร้อยละ 27.6) ไต้หวัน(ร้อยละ 26.6) และออสเตรเลีย (ร้อยละ 25.9)
สำหรับการส่งออกไปตลาดหลักขยายตัวร้อยละ 9.9 ตามภาวะเศรษฐกิจในตลาดนั้นๆ โดยการส่งออกไปสหรัฐฯขยายตัวร้อยละ 17.6 สหภาพยุโรปร้อยละ 10.4 อาเซียน(5) ร้อยละ 7.4 และ ญี่ปุ่นร้อยละ 4.4
2. การนำเข้า
การนำเข้าในเดือนพฤษภาคม 2549 มีมูลค่า 11,481.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนเพียงร้อยละ 6.4 โดยกลุ่มที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง (ร้อยละ 2.5) สินค้าทุน (ร้อยละ 1.0) สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ร้อยละ 8.1) สินค้าอุปโภคบริโภค (ร้อยละ 24.2) และสินค้าอาวุธยุทธปัจจัย (ร้อยละ 251.2) ทั้งนี้ สินค้าทุนและสินค้าวัตถุดิบ/กึ่งสำเร็จรูป (สัดส่วนร้อยละ 68.5) ซึ่งเป็นสินค้าที่สัมพันธ์กับการส่งออกโดยตรงมีการนำเข้าขยายตัวเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มการส่งออก รวมทั้งทดแทนเครื่องจักรเก่าและวัตถุดิบคงคลังที่เริ่มลดลง ส่วนกลุ่มสินค้าที่มีการนำเข้าลดลง ได้แก่ สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง ลดลงร้อยละ 4.3
สำหรับกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าการนำเข้าสูงในเดือนพฤษภาคม 2549 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 89.4 ของการนำเข้ารวม มีดังนี้
2.1 สินค้าเชื้อเพลิง นำเข้ามูลค่า 2,402 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.9 ของมูลค่านำเข้ารวมในเดือนพฤษภาคม 2549 โดยเป็นการนำเข้าน้ำมันดิบปริมาณ 28.68 ล้านบาร์เรล (925,040 บาร์เรลต่อวัน) คิดเป็นมูลค่า 1,978 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ปริมาณนำเข้าลดลงร้อยละ 28.48 มูลค่าลดลงร้อยละ 0.3 (สัดส่วนร้อยละ 17.2 ของมูลค่านำเข้ารวม)
2.2 สินค้าทุน นำเข้ามูลค่า 14,486 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0
- เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 1,076 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.0 (สัดส่วนร้อยละ 9.4 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 828 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.5 (สัดส่วนร้อยละ 7.2 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 604 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.7 (สัดส่วนร้อยละ 5.3 ของมูลค่านำเข้ารวม)
2.3 สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป นำเข้ามูลค่า 20,686 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.1
- อุปกรณ์ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ นำเข้ามูลค่า 1,015 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.3 (สัดส่วนร้อยละ 8.8 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เคมีภัณฑ์ นำเข้ามูลค่า 806 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.8 (สัดส่วนร้อยละ 7.0 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ นำเข้าปริมาณ 1.01 ล้านตัน เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 30.5 มีมูลค่านำเข้า 630 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 29.7 (สัดส่วนร้อยละ 5.5 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- ทองคำ นำเข้าปริมาณ 16.5 ตัน เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 87.7 มีมูลค่านำเข้า 350 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 195.1 (สัดส่วนร้อยละ 3.0 ของมูลค่านำเข้ารวม)
การนำเข้าในระยะ 5 เดือนแรกของปี 2549 (ม.ค.-พ.ค.) มีมูลค่า 51,203.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 5.4 โดยกลุ่มสินค้าที่นำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง (ร้อยละ 25.1) สินค้าทุน (ร้อยละ 5.9) สินค้าอุปโภคบริโภค (ร้อยละ 14.8) และสินค้าอาวุธ ยุทธปัจจัยและสินค้าอื่นๆ (ร้อยละ 34.6) ส่วนกลุ่มสินค้าที่มีการนำเข้าลดลง ได้แก่ สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง (ร้อยละ 8.9) และสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ร้อยละ 3.5)
3. ดุลการค้า
ดุลการค้าในเดือนพฤษภาคม 2549 ไทยขาดดุลการค้า 646.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2548 ขาดดุลลดลงร้อยละ 61.3 ส่งผลให้ดุลการค้าในระยะ 5 เดือนแรกของปี 2549 ไทยขาดดุลการค้ารวม 1,601.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 73.4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีการขาดดุล 6,031.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
4. สรุปแนวโน้มการส่งออก การนำเข้า และดุลการค้าปี 2549
แนวโน้มการส่งออก จากการประชุมหารือกับผู้ส่งออกสินค้าสำคัญล่าสุดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2549 ทำให้เชื่อมั่นว่าการส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปี 2549 จะยังขยายตัวต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นคำสั่งซื้อเก่าที่รับมาตั้งแต่ปลายปี 2548 ต่อเนื่องมาจนถึงต้นปี 2549 โดยการส่งออกในเดือนพฤษภาคมที่มีมูลค่า 10,835.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นยอดการส่งออกที่สูงใกล้เคียงกับเดือนมีนาคม 2549 ที่มีมูลค่า 11,099.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ซึ่งเป็นยอดการส่งออกที่สูงที่สุดในรอบ 5 ปี)
สำหรับการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจหลักของโลก เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น จีน และอินเดีย ทั้งนี้ OECD (พฤษภาคม 2549) ได้ คาดการณ์การค้าโลกในไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปี 2549 จะขยายตัวในอัตราร้อยละ 8.5 และ 8.9 ตามลำดับ สูงกว่า ไตรมาสที่ 2 ที่คาดว่าจะขยายตัวเพียงร้อยละ 7.8 นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มการขยายตัวที่ดีในตลาดโลกของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และอุตสาหกรรมยานยนต์และส่วนประกอบ ซึ่งเป็นสินค้าที่ไทยมีสัดส่วนการส่งออกรวมประมาณร้อยละ 30 จึงคาดการณ์ว่า การส่งออกโดยรวมในปี 2549 จะขยายตัวได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้
อย่างไรก็ตาม การส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปี 2549 มีปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การชะลอการสั่งซื้อเพื่อรอดูสถานการณ์และต่อรองราคามากขึ้นของผู้ซื้อในต่างประเทศ ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ราคาวัตถุดิบ (เช่นทองแดง สังกะสี นิกเกิล แพลทินัม เป็นต้น) ค่าสาธารณูปโภค ค่าระวางเรือและค่าขนส่งที่ปรับตัวสูงขึ้น ค่าเงินบาทที่ผันผวน ปัญหาการขาดแคลนแรงงานและการปรับสูงขึ้นของค่าแรงงานภายในประเทศ
แนวโน้มการนำเข้าและดุลการค้าปี 2549 คาดว่าจะขาดดุลลดลงเมื่อเทียบกับปี 2548 เนื่องจากกระทรวงพาณิชย์มีการดูแลการนำเข้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนในการแจ้งแผนการนำเข้าปี 2549 เป็นรายเดือนรวม 6 กลุ่มสินค้า ได้แก่ น้ำมันดิบ เหล็ก ทองคำ คอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ และมีมาตรการติดตามการนำเข้าสินค้าตามโครงการลงทุนขนาดใหญ่
การนำเข้าในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2549 ขยายตัวเพียงร้อยละ 5.4 ขยายตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2548 ที่มีการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 30.2 โดยส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าสินค้าทุนและสินค้าวัตถุดิบ/กึ่งสำเร็จรูป (สัดส่วนร้อยละ 68.7) ซึ่งเป็นสินค้าที่นำเข้าเพื่อใช้ในการผลิตตามแนวโน้มการส่งออก รวมทั้งทดแทนเครื่องจักรเก่าและวัตถุดิบคงคลังที่เริ่มลดลง
กลุ่มสินค้าอุปโภคและบริโภคแม้ว่าจะมีสัดส่วนการนำเข้าเพียงร้อยละ 7.0 แต่พบว่า มีการนำเข้าบางรายการในอัตราสูงมาก เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน (ร้อยละ 36.2) ผัก ผลไม้ และของปรุงแต่งที่ทำจากผัก ผลไม้ (ร้อยละ 19.5) และเสื้อผ้า รองเท้า และผลิตภัณฑ์สิ่งทออื่นๆ (ร้อยละ 16.5) โดยมีมูลค่าการนำเข้ารวมในระยะ 5 เดือนแรกเกือบ 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ดังนั้น หากมีการส่งเสริมและรณรงค์ให้หันมาใช้สินค้าที่ผลิตได้ภายในประเทศทดแทนจะเป็นการบรรเทาภาวะการขาดดุลการค้าได้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) (รักษาการนายกรัฐมนตรี) วันที่ 18 กรกฎาคม 2549--จบ--
1. การส่งออก
การส่งออกเดือนพฤษภาคม 2549 มีมูลค่า 10,835.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นในระดับสูงถึงร้อยละ 18.8 การส่งออกยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยสินค้าเกษตรกรรม/อุตสาหกรรมการเกษตรขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.5 สินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.6 และสินค้าอื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.3
สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตร สินค้าสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพาราและสินค้าอาหาร (กุ้งแช่แข็งและแปรรูป อาหารกระป๋องและแปรรูป ผลไม้สด แช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ผักกระป๋องและแปรรูป และ ไก่แช่แข็งและแปรรูป) ที่ส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 61.5 และ 13.6 ตามลำดับ สินค้าสำคัญที่ส่งออกลดลง ได้แก่ ข้าว ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังและน้ำตาล ขณะที่ราคาส่งออกยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ข้าวปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 16.5 และ 7.8 ตามลำดับ เนื่องจากราคาข้าวในประเทศสูงและต้องแข่งขันด้านราคากับคู่แข่งสำคัญคือ เวียดนามและอินเดีย น้ำตาล ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 47.5 และ 23.8 ตามลำดับ เนื่องจากผลผลิตในประเทศลดลง และ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 10.8 และ 2.3 ตามลำดับ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันและค่าระวางเรือ รวมทั้งการแข็งค่าของเงินบาท ประกอบกับจีนมีสต็อคมันเส้นคงเหลืออยู่มาก
สินค้าอุตสาหกรรม สินค้าที่ขยายตัวในอัตราสูง ได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และส่วนประกอบ สิ่งทอ อัญมณี เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง วัสดุก่อสร้าง เครื่องเดินทางและเครื่องหนัง เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เภสัช และ ของเล่น สินค้าที่ส่งออกลดลง ได้แก่ เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้เครื่องประดับตกแต่ง เนื่องจากปัญหาวัตถุดิบไม้ยางพาราขาดแคลนและมีราคาที่สูงขึ้นมาก การขาดแคลนแรงงานในประเทศ การแข่งขันกับคู่แข่งคือ จีนและเวียดนาม และได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ค่าระวางเรือ รวมทั้งการ แข็งค่าของเงินบาท
สินค้าอื่น ๆ ที่สำคัญและส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราสูงได้แก่ เคมีภัณฑ์ เลนส์ และน้ำมันเบนซินส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.0 , 53.2 และ 117.7 ตามลำดับ และน้ำมันดิบที่ส่งออกมูลค่า 168 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากที่ไม่มีการส่งออกในเดือนพฤษภาคม ปี 2548
การส่งออกในระยะ 5 เดือนแรกของปี 2549 (ม.ค.-พ.ค.) มีมูลค่า 49,601.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.5 เป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นของสินค้าเกษตรกรรม/อุตสาหกรรมการเกษตร ร้อยละ 14.0 สินค้าอุตสาหกรรมร้อยละ 14.6 และสินค้าอื่น ๆ ร้อยละ 26.7
สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตร สินค้าสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพารา มันสำปะหลัง และ สินค้าอาหาร (กุ้งแช่แข็งและแปรรูป อาหารกระป๋องและแปรรูป ผัก ผลไม้สด กระป๋องและแปรรูปไก่แช่แข็งและแปรรูป) สินค้าสำคัญที่ส่งออกลดลง ได้แก่ ข้าว และน้ำตาล
สินค้าอุตสาหกรรม สินค้าสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอ อัญมณี เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก วัสดุก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องใช้เครื่องประดับตกแต่ง สิ่งพิมพ์และกระดาษ เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เภสัช และของเล่น สินค้าสำคัญที่ส่งออกลดลง ได้แก่ เครื่องเดินทาง เครื่องหนังและรองเท้า และเฟอร์นิเจอร์
สินค้าอื่น ๆ ที่สำคัญและส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราสูงได้แก่ น้ำมันดิบ เคมีภัณฑ์ เลนส์ และน้ำมันเบนซิน
ตลาดส่งออกสำคัญ การส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะในตลาดใหม่ ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.9 เนื่องจากมีมาตรการขยายตลาดเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ตลาดใหม่ที่ขยายตัวในอัตราสูง ได้แก่ ตะวันออกกลาง(ร้อยละ 41.7) ลาตินอเมริกา(ร้อยละ 40.3) เกาหลีใต้ (ร้อยละ 33.1) ยุโรปตะวันออก (ร้อยละ 30.5) อินโดจีนและพม่า(ร้อยละ 28.3) จีน(ร้อยละ 27.8) ฮ่องกง(ร้อยละ 27.6) ไต้หวัน(ร้อยละ 26.6) และออสเตรเลีย (ร้อยละ 25.9)
สำหรับการส่งออกไปตลาดหลักขยายตัวร้อยละ 9.9 ตามภาวะเศรษฐกิจในตลาดนั้นๆ โดยการส่งออกไปสหรัฐฯขยายตัวร้อยละ 17.6 สหภาพยุโรปร้อยละ 10.4 อาเซียน(5) ร้อยละ 7.4 และ ญี่ปุ่นร้อยละ 4.4
2. การนำเข้า
การนำเข้าในเดือนพฤษภาคม 2549 มีมูลค่า 11,481.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนเพียงร้อยละ 6.4 โดยกลุ่มที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง (ร้อยละ 2.5) สินค้าทุน (ร้อยละ 1.0) สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ร้อยละ 8.1) สินค้าอุปโภคบริโภค (ร้อยละ 24.2) และสินค้าอาวุธยุทธปัจจัย (ร้อยละ 251.2) ทั้งนี้ สินค้าทุนและสินค้าวัตถุดิบ/กึ่งสำเร็จรูป (สัดส่วนร้อยละ 68.5) ซึ่งเป็นสินค้าที่สัมพันธ์กับการส่งออกโดยตรงมีการนำเข้าขยายตัวเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มการส่งออก รวมทั้งทดแทนเครื่องจักรเก่าและวัตถุดิบคงคลังที่เริ่มลดลง ส่วนกลุ่มสินค้าที่มีการนำเข้าลดลง ได้แก่ สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง ลดลงร้อยละ 4.3
สำหรับกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าการนำเข้าสูงในเดือนพฤษภาคม 2549 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 89.4 ของการนำเข้ารวม มีดังนี้
2.1 สินค้าเชื้อเพลิง นำเข้ามูลค่า 2,402 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.9 ของมูลค่านำเข้ารวมในเดือนพฤษภาคม 2549 โดยเป็นการนำเข้าน้ำมันดิบปริมาณ 28.68 ล้านบาร์เรล (925,040 บาร์เรลต่อวัน) คิดเป็นมูลค่า 1,978 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ปริมาณนำเข้าลดลงร้อยละ 28.48 มูลค่าลดลงร้อยละ 0.3 (สัดส่วนร้อยละ 17.2 ของมูลค่านำเข้ารวม)
2.2 สินค้าทุน นำเข้ามูลค่า 14,486 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0
- เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 1,076 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.0 (สัดส่วนร้อยละ 9.4 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 828 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.5 (สัดส่วนร้อยละ 7.2 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 604 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.7 (สัดส่วนร้อยละ 5.3 ของมูลค่านำเข้ารวม)
2.3 สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป นำเข้ามูลค่า 20,686 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.1
- อุปกรณ์ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ นำเข้ามูลค่า 1,015 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.3 (สัดส่วนร้อยละ 8.8 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เคมีภัณฑ์ นำเข้ามูลค่า 806 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.8 (สัดส่วนร้อยละ 7.0 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ นำเข้าปริมาณ 1.01 ล้านตัน เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 30.5 มีมูลค่านำเข้า 630 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 29.7 (สัดส่วนร้อยละ 5.5 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- ทองคำ นำเข้าปริมาณ 16.5 ตัน เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 87.7 มีมูลค่านำเข้า 350 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 195.1 (สัดส่วนร้อยละ 3.0 ของมูลค่านำเข้ารวม)
การนำเข้าในระยะ 5 เดือนแรกของปี 2549 (ม.ค.-พ.ค.) มีมูลค่า 51,203.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 5.4 โดยกลุ่มสินค้าที่นำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง (ร้อยละ 25.1) สินค้าทุน (ร้อยละ 5.9) สินค้าอุปโภคบริโภค (ร้อยละ 14.8) และสินค้าอาวุธ ยุทธปัจจัยและสินค้าอื่นๆ (ร้อยละ 34.6) ส่วนกลุ่มสินค้าที่มีการนำเข้าลดลง ได้แก่ สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง (ร้อยละ 8.9) และสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ร้อยละ 3.5)
3. ดุลการค้า
ดุลการค้าในเดือนพฤษภาคม 2549 ไทยขาดดุลการค้า 646.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2548 ขาดดุลลดลงร้อยละ 61.3 ส่งผลให้ดุลการค้าในระยะ 5 เดือนแรกของปี 2549 ไทยขาดดุลการค้ารวม 1,601.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 73.4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีการขาดดุล 6,031.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
4. สรุปแนวโน้มการส่งออก การนำเข้า และดุลการค้าปี 2549
แนวโน้มการส่งออก จากการประชุมหารือกับผู้ส่งออกสินค้าสำคัญล่าสุดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2549 ทำให้เชื่อมั่นว่าการส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปี 2549 จะยังขยายตัวต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นคำสั่งซื้อเก่าที่รับมาตั้งแต่ปลายปี 2548 ต่อเนื่องมาจนถึงต้นปี 2549 โดยการส่งออกในเดือนพฤษภาคมที่มีมูลค่า 10,835.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นยอดการส่งออกที่สูงใกล้เคียงกับเดือนมีนาคม 2549 ที่มีมูลค่า 11,099.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ซึ่งเป็นยอดการส่งออกที่สูงที่สุดในรอบ 5 ปี)
สำหรับการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจหลักของโลก เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น จีน และอินเดีย ทั้งนี้ OECD (พฤษภาคม 2549) ได้ คาดการณ์การค้าโลกในไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปี 2549 จะขยายตัวในอัตราร้อยละ 8.5 และ 8.9 ตามลำดับ สูงกว่า ไตรมาสที่ 2 ที่คาดว่าจะขยายตัวเพียงร้อยละ 7.8 นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มการขยายตัวที่ดีในตลาดโลกของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และอุตสาหกรรมยานยนต์และส่วนประกอบ ซึ่งเป็นสินค้าที่ไทยมีสัดส่วนการส่งออกรวมประมาณร้อยละ 30 จึงคาดการณ์ว่า การส่งออกโดยรวมในปี 2549 จะขยายตัวได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้
อย่างไรก็ตาม การส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปี 2549 มีปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การชะลอการสั่งซื้อเพื่อรอดูสถานการณ์และต่อรองราคามากขึ้นของผู้ซื้อในต่างประเทศ ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ราคาวัตถุดิบ (เช่นทองแดง สังกะสี นิกเกิล แพลทินัม เป็นต้น) ค่าสาธารณูปโภค ค่าระวางเรือและค่าขนส่งที่ปรับตัวสูงขึ้น ค่าเงินบาทที่ผันผวน ปัญหาการขาดแคลนแรงงานและการปรับสูงขึ้นของค่าแรงงานภายในประเทศ
แนวโน้มการนำเข้าและดุลการค้าปี 2549 คาดว่าจะขาดดุลลดลงเมื่อเทียบกับปี 2548 เนื่องจากกระทรวงพาณิชย์มีการดูแลการนำเข้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนในการแจ้งแผนการนำเข้าปี 2549 เป็นรายเดือนรวม 6 กลุ่มสินค้า ได้แก่ น้ำมันดิบ เหล็ก ทองคำ คอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ และมีมาตรการติดตามการนำเข้าสินค้าตามโครงการลงทุนขนาดใหญ่
การนำเข้าในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2549 ขยายตัวเพียงร้อยละ 5.4 ขยายตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2548 ที่มีการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 30.2 โดยส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าสินค้าทุนและสินค้าวัตถุดิบ/กึ่งสำเร็จรูป (สัดส่วนร้อยละ 68.7) ซึ่งเป็นสินค้าที่นำเข้าเพื่อใช้ในการผลิตตามแนวโน้มการส่งออก รวมทั้งทดแทนเครื่องจักรเก่าและวัตถุดิบคงคลังที่เริ่มลดลง
กลุ่มสินค้าอุปโภคและบริโภคแม้ว่าจะมีสัดส่วนการนำเข้าเพียงร้อยละ 7.0 แต่พบว่า มีการนำเข้าบางรายการในอัตราสูงมาก เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน (ร้อยละ 36.2) ผัก ผลไม้ และของปรุงแต่งที่ทำจากผัก ผลไม้ (ร้อยละ 19.5) และเสื้อผ้า รองเท้า และผลิตภัณฑ์สิ่งทออื่นๆ (ร้อยละ 16.5) โดยมีมูลค่าการนำเข้ารวมในระยะ 5 เดือนแรกเกือบ 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ดังนั้น หากมีการส่งเสริมและรณรงค์ให้หันมาใช้สินค้าที่ผลิตได้ภายในประเทศทดแทนจะเป็นการบรรเทาภาวะการขาดดุลการค้าได้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) (รักษาการนายกรัฐมนตรี) วันที่ 18 กรกฎาคม 2549--จบ--