คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รายงานสถานการณ์ในช่วงฤดูแล้ง ณ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2549 ดังนี้
สถานการณ์น้ำ
1. สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่
สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศ ณ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2549 มีปริมาตรน้ำ 52,019 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 76 ของความจุทั้งหมด ซึ่งมีปริมาตรน้ำมากกว่าปี 2548 ในช่วงเวลาเดียวกัน ร้อยละ 17 ทั้งนี้ในการบริหารจัดการน้ำ กรมชลประทานได้กำหนดแผนการบริหารจัดการน้ำ เพื่อให้เพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภค การรักษาระบบนิเวศน์ การเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง และกิจกรรมอื่นๆ ในปี 2549 และสำรองน้ำไว้สำหรับต้นฤดูกาลเพาะปลูกปี 2549 แล้ว
2. อ่างเก็บน้ำที่มีปริมาตรน้ำในอ่างฯอยู่ในเกณฑ์น้อย ที่ต้องเฝ้าระวังและติดตาม จำนวน 4 อ่างฯ ดังนี้
1) อ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น มีปริมาตรน้ำทั้งหมด 811 ล้าน ลบ.ม. (36%) น้อยกว่าปี 2548 จำนวน 268 ล้าน ลบ.ม. ได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ชี้แจงเกษตรกร ให้งดการปลูกพืชฤดูแล้งในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาหนองหวาย ในพื้นที่ที่มีการปลูกพืช ขอให้ปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยและประหยัดน้ำ
สรุปปริมาณการใช้น้ำเดือนละ 40 ล้าน ลบ.ม. (เพื่อการอุปโภค-บริโภค ประปาวันละ 0.2 ล้านลบ.ม. เพื่อรักษาระบบนิเวศน์ในลำน้ำพอง วันละ 0.4-0.5 ล้านลบ.ม. เพื่อกิจกรรมอื่นๆ วันละ 0.2-0.3 ล้าน ลบ.ม.) จะใช้น้ำตั้งแต่เดือน ก.พ.-ส.ค. 49 ประมาณ 260 ล้าน ลบ.ม. คาดว่าจะมีปริมาตรน้ำในอ่างฯปลายเดือน ส.ค. 49 จำนวน 560 ล้าน ลบ.ม. (กรณีไม่มีฝนตก)
2) อ่างเก็บน้ำเขื่อนลำนางรอง จังหวัดนครราชสีมา มีปริมาตรน้ำทั้งหมด 41 ล้าน ลบ.ม. (34% ) เท่ากับปี 2548 มีการวางแผนการใช้น้ำโดยจะจัดสรรน้ำให้ทำการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง(พืชไร่-พืชผัก) ในเขตชลประทาน 1,300 ไร่ ส่งน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภคได้ตลอดฤดูแล้งปี 2549 และเก็บสำรองน้ำไว้ใช้ในช่วงต้นฤดูฝนปี 2549
สรุปปริมาณการใช้น้ำเดือนละ 0.40 ล้าน ลบ.ม. จะใช้น้ำตั้งแต่เดือน ก.พ.-ส.ค. 49 ประมาณ 2.70 ล้าน ลบ.ม. คาดว่าจะมีปริมาตรน้ำในอ่างฯปลายเดือน ส.ค. 49 จำนวน 39 ล้าน ลบ.ม. (กรณีไม่มีฝนตก)
3) อ่างเก็บน้ำเขื่อนทับเสลา จังหวัดอุทัยธานี มีปริมาตรน้ำทั้งหมด 62 ล้าน ลบ.ม. (39% ) มากกว่าปี 2548 จำนวน 41 ล้าน ลบ.ม.
สรุปปริมาณการใช้น้ำเดือนละ 0.50 ล้าน ลบ.ม. มีการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง(พืชไร่-พืชผัก) 4,500 ไร่ จะใช้น้ำตั้งแต่เดือน ก.พ.-ก.ค. 49 ประมาณ 7.30 ล้าน ลบ.ม. เผื่อใช้น้ำเกิน 10 ล้าน ลบ.ม. คาดว่าจะมีปริมาตรน้ำในอ่างฯปลายเดือน ก.ค. 49 จำนวน 48 ล้าน ลบ.ม. (กรณีไม่มีฝนตก)
4) อ่างเก็บน้ำเขื่อนบางพระ จังหวัดชลบุรี มีปริมาตรน้ำทั้งหมด 37 ล้าน ลบ.ม. (31% ) มากกว่าปี 2548 จำนวน 1 ล้าน ลบ.ม. สรุปการใช้น้ำรวมจากอ่างบางพระ วันละ 0.13 ล้านลบ.ม. (การประปาส่วนภูมิภาคจังหวัดชลบุรี 0.12 ล้าน ลบ.ม. โรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ 0.007 ล้าน ลบ.ม. โรงไฟฟ้าบางปะกง 0.003 ล้าน ลบ.ม. และพื้นที่การเกษตรประมาณ 1,300 ไร่ ) คาดว่าจะมีปริมาตรน้ำในอ่างฯปลายเดือน ส.ค. 49 จำนวน 18 ล้าน ลบ.ม.(กรณีไม่มีฝนตก) หมายเหตุ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 บริษัท East Water ใช้น้ำวันละ 0.13 ล้าน ลบ.ม.จากอ่างฯหนองค้อ
สำหรับสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำภาคตะวันออกลุ่มน้ำระยอง (อ่างเก็บน้ำดอกกราย หนองปลาไหลและคลองใหญ่) มีปริมาณน้ำต้นทุนมากกว่าปีที่ผ่านมา จำนวน 74.47 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 58 ซึ่งเป็นแหล่งน้ำต้นทุนหลักสำหรับการใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค การอุตสาหกรรม การเกษตร และอื่นๆ คาดว่ามีเพียงพอ โดยไม่ก่อให้เกิดภาวะขาดแคลนน้ำจนถึงสิ้นฤดูแล้ง ทั้งนี้ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการปรับเกณฑ์การใช้น้ำและจัดสรรน้ำในจังหวัดชลบุรี และระยอง เพื่อพิจารณาให้เหมาะสมกับสถานการณ์น้ำต้นทุน และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เร่งรัดดำเนินการวางมาตรการการใช้น้ำร่วมกับภาคเอกชนแล้ว
รายงานการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กำหนดเป้าหมายการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งในช่วงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2548 ถึง 30 เมษายน 2549 ตามปริมาณน้ำต้นทุนและสภาวะการตลาด ทั้งนี้ได้วางแผนการบริหารจัดการน้ำ และกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันปัญหาการขาดแคลนน้ำ ณ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2549 มีรายงานผลการเพาะปลูกในช่วงฤดูแล้ง ดังนี้
เขตเพาะปลูก ข้าวนาปรัง พืชไร่-พืชผัก รวม
เป้าหมาย ผล เป้าหมาย ผล เป้าหมาย ผล
ในเขตชลประทาน 5,839,200 5,478,712 875,900 420,794 6,715,100 5,899,506
นอกเขตชลประทาน 1,936,900 1,210,345 1,788,500 846,250 3,725,400 2,056,595
รวม 7,776,100 6,689,057 2,664,400 1,267,044 10,440,500 7,956,101
หมายเหตุ : การปลูกพืชในเขตชลประทานตามเป้าหมายจะไม่มีผลกระทบ สำหรับนอกเขตชลประทานได้มีการประชาสัมพันธ์ให้มีการปลูกพืชใช้น้ำน้อย และเตรียมเครื่องสูบน้ำและรถบรรทุกน้ำเพื่อช่วยเหลือหากมีผลกระทบ
การเตรียมรับสถานการณ์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เนื่องจากในช่วงฤดูแล้ง อาจเกิดภัยธรรมชาติจากความแห้งแล้ง สภาวะการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค และน้ำเพื่อการเกษตร รวมไปถึงภัยธรรมชาติอื่นๆ เช่น พายุฤดูร้อน พายุลมแรง ฝนฟ้าคะนอง ลูกเห็บและไฟป่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้จัดทำแผนเตรียมรับสถานการณ์ เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานป้องกันและบรรเทาความเดือดร้อน รวมถึงการให้ความช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยของหน่วยงานทั้งภายในและภายนอกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และให้มีการจัดตั้งศูนย์ป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยด้านการเกษตร เพื่อการติดตามสภาวะอากาศ สถานการณ์น้ำ การแจ้งเตือน การรายงานสถานการณ์ โดยกำหนดแนวทางการดำเนินงานของแผนเตรียมรับสถานการณ์ เป็น 3 ช่วง คือ ก่อนเกิดภัย ขณะเกิดภัย และหลังเกิดภัย ดังนี้
1. การเตรียมรับสถานการณ์
1) กำหนดมาตรการและเป้าหมายการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง จำนวน 10.44 ล้านไร่ (ข้าวนาปรัง 7.78 ล้านไร่ พืชไร่ พืชผัก 2.66 ล้านไร่)
2) กำหนดแผนการจัดสรรน้ำให้สอดคล้องและเพียงพอกับการกำหนดพื้นที่เพาะปลูกพืชในช่วงฤดูแล้ง
3) การเตรียมความพร้อมเครื่องสูบน้ำ จำนวน 750 เครื่อง รถบรรทุกน้ำ 295 คัน (เฉพาะภาคตะวันออก เพื่อช่วยเหลือพื้นที่สวนผลไม้จำนวน 64 คัน)
4) แผนการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวง 8 ศูนย์ ครอบคลุมพื้นที่ 25 ลุ่มน้ำ
5) การประชาสัมพันธ์แนะนำการทำการเกษตร ให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และให้มีการปรับปรุงคุณภาพผลผลิตตามแนวทางการเกษตรที่ดีเหมาะสม (GAP) การปรับปรุงบำรุงดิน รวมถึงการป้องกันและกำจัดศัตรูพืช
6) การสำรองปัจจัยที่จำเป็นในการประกอบเกษตรกรรม ทั้งด้านพืช เสบียงอาหารสัตว์ และเวชภัณฑ์
2. การช่วยเหลือขณะเกิดภัย การสนับสนุนเครื่องสูบน้ำและรถบรรทุกน้ำ การปฏิบัติการฝนหลวง การสนับสนุนอาหารสัตว์และการดูแลสุขภาพสัตว์ ดำเนินการสำรวจความเสียหายและให้ความช่วยเหลือในระยะฉุกเฉิน ภายใต้ประกาศภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน โดยใช้เงินทดรองราชการในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดงบจังหวัด CEO และเงินทดรองราชการในอำนาจปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามลำดับ
3. การช่วยเหลือหลังเกิดภัย เร่งรัดการสำรวจความเสียหายของพื้นที่ประสบภัย ผ่านคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือระดับอำเภอและจังหวัด เพื่อเสนอของบกลางช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อน
พื้นที่ประสบภัยแล้งด้านการเกษตร (ณ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2549)
1. ด้านพืช ช่วงวันที่ 1 ธันวาคม 2548 ถึง 14 กุมภาพันธ์ 2549 จำนวน 15 จังหวัด 34 อำเภอ 151 ตำบล 1,534 หมู่บ้าน เกษตรกรได้รับผลกระทบ 53,805 ราย พื้นที่การเกษตรคาดว่าจะเสียหาย 634,396.75 ไร่
2. ด้านประมง ช่วงวันที่ 9-13 กุมภาพันธ์ 2549 จำนวน 1 จังหวัด คือ มหาสารคาม เกษตรกรได้รับผลกระทบ 30 ราย 174 กระชัง คิดเป็นพื้นที่ 1,566 ตารางเมตร มูลค่าความเสียหาย 2,216,000 บาท
3. ด้านปศุสัตว์ ไม่มีรายงานความเสียหาย
การให้ความช่วยเหลือ
1. สำนักฝนหลวงและการบินเกษตร กำหนดแผนการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวง จำนวน 8 ศูนย์ ได้แก่ ศูนย์ปฏิบัติการจังหวัดเชียงใหม่ นครสวรรค์ พิษณุโลก ขอนแก่น นครราชสีมา ระยอง ประจวบคีรีขันธ์(หัวหิน) และภูเก็ต เริ่มปฏิบัติการตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 มีผลการปฏิบัติการฝนหลวงวันที่ 1-12 กุมภาพันธ์ 2549 ขึ้นปฏิบัติการ จำนวน 59 เที่ยวบิน มีปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ 281.65 ล้าน ลบ.ม. เฉลี่ยวันละ 23.47 ล้าน ลบ.ม. และมีฝนตกรวม จำนวน 507.1 มิลลิเมตร
2. กรมชลประทาน ได้จัดเตรียมเครื่องสูบน้ำและรถบรรทุกน้ำ จำนวน 750 เครื่อง และ 295 คัน และได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือพื้นที่การเพาะปลูกข้าวนาปรัง พืชไร่-พืชผัก และการอุปโภค-บริโภค ทั้งในเขตและนอกเขตชลประทานแล้ว จำนวน 740 เครื่อง แบ่งเป็น ภาคเหนือ 216 เครื่อง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 271 เครื่อง ภาคกลาง 139 เครื่อง ภาคตะวันออก 59 เครื่อง ภาคตะวันตก 27 เครื่อง และภาคใต้ 28 เครื่อง
3. กรมปศุสัตว์ ดำเนินการดูแลสุขภาพสัตว์ สนับสนุนพืชอาหารสัตว์และเวชภัณฑ์
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2549--จบ--
สถานการณ์น้ำ
1. สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่
สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศ ณ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2549 มีปริมาตรน้ำ 52,019 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 76 ของความจุทั้งหมด ซึ่งมีปริมาตรน้ำมากกว่าปี 2548 ในช่วงเวลาเดียวกัน ร้อยละ 17 ทั้งนี้ในการบริหารจัดการน้ำ กรมชลประทานได้กำหนดแผนการบริหารจัดการน้ำ เพื่อให้เพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภค การรักษาระบบนิเวศน์ การเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง และกิจกรรมอื่นๆ ในปี 2549 และสำรองน้ำไว้สำหรับต้นฤดูกาลเพาะปลูกปี 2549 แล้ว
2. อ่างเก็บน้ำที่มีปริมาตรน้ำในอ่างฯอยู่ในเกณฑ์น้อย ที่ต้องเฝ้าระวังและติดตาม จำนวน 4 อ่างฯ ดังนี้
1) อ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น มีปริมาตรน้ำทั้งหมด 811 ล้าน ลบ.ม. (36%) น้อยกว่าปี 2548 จำนวน 268 ล้าน ลบ.ม. ได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ชี้แจงเกษตรกร ให้งดการปลูกพืชฤดูแล้งในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาหนองหวาย ในพื้นที่ที่มีการปลูกพืช ขอให้ปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยและประหยัดน้ำ
สรุปปริมาณการใช้น้ำเดือนละ 40 ล้าน ลบ.ม. (เพื่อการอุปโภค-บริโภค ประปาวันละ 0.2 ล้านลบ.ม. เพื่อรักษาระบบนิเวศน์ในลำน้ำพอง วันละ 0.4-0.5 ล้านลบ.ม. เพื่อกิจกรรมอื่นๆ วันละ 0.2-0.3 ล้าน ลบ.ม.) จะใช้น้ำตั้งแต่เดือน ก.พ.-ส.ค. 49 ประมาณ 260 ล้าน ลบ.ม. คาดว่าจะมีปริมาตรน้ำในอ่างฯปลายเดือน ส.ค. 49 จำนวน 560 ล้าน ลบ.ม. (กรณีไม่มีฝนตก)
2) อ่างเก็บน้ำเขื่อนลำนางรอง จังหวัดนครราชสีมา มีปริมาตรน้ำทั้งหมด 41 ล้าน ลบ.ม. (34% ) เท่ากับปี 2548 มีการวางแผนการใช้น้ำโดยจะจัดสรรน้ำให้ทำการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง(พืชไร่-พืชผัก) ในเขตชลประทาน 1,300 ไร่ ส่งน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภคได้ตลอดฤดูแล้งปี 2549 และเก็บสำรองน้ำไว้ใช้ในช่วงต้นฤดูฝนปี 2549
สรุปปริมาณการใช้น้ำเดือนละ 0.40 ล้าน ลบ.ม. จะใช้น้ำตั้งแต่เดือน ก.พ.-ส.ค. 49 ประมาณ 2.70 ล้าน ลบ.ม. คาดว่าจะมีปริมาตรน้ำในอ่างฯปลายเดือน ส.ค. 49 จำนวน 39 ล้าน ลบ.ม. (กรณีไม่มีฝนตก)
3) อ่างเก็บน้ำเขื่อนทับเสลา จังหวัดอุทัยธานี มีปริมาตรน้ำทั้งหมด 62 ล้าน ลบ.ม. (39% ) มากกว่าปี 2548 จำนวน 41 ล้าน ลบ.ม.
สรุปปริมาณการใช้น้ำเดือนละ 0.50 ล้าน ลบ.ม. มีการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง(พืชไร่-พืชผัก) 4,500 ไร่ จะใช้น้ำตั้งแต่เดือน ก.พ.-ก.ค. 49 ประมาณ 7.30 ล้าน ลบ.ม. เผื่อใช้น้ำเกิน 10 ล้าน ลบ.ม. คาดว่าจะมีปริมาตรน้ำในอ่างฯปลายเดือน ก.ค. 49 จำนวน 48 ล้าน ลบ.ม. (กรณีไม่มีฝนตก)
4) อ่างเก็บน้ำเขื่อนบางพระ จังหวัดชลบุรี มีปริมาตรน้ำทั้งหมด 37 ล้าน ลบ.ม. (31% ) มากกว่าปี 2548 จำนวน 1 ล้าน ลบ.ม. สรุปการใช้น้ำรวมจากอ่างบางพระ วันละ 0.13 ล้านลบ.ม. (การประปาส่วนภูมิภาคจังหวัดชลบุรี 0.12 ล้าน ลบ.ม. โรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ 0.007 ล้าน ลบ.ม. โรงไฟฟ้าบางปะกง 0.003 ล้าน ลบ.ม. และพื้นที่การเกษตรประมาณ 1,300 ไร่ ) คาดว่าจะมีปริมาตรน้ำในอ่างฯปลายเดือน ส.ค. 49 จำนวน 18 ล้าน ลบ.ม.(กรณีไม่มีฝนตก) หมายเหตุ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 บริษัท East Water ใช้น้ำวันละ 0.13 ล้าน ลบ.ม.จากอ่างฯหนองค้อ
สำหรับสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำภาคตะวันออกลุ่มน้ำระยอง (อ่างเก็บน้ำดอกกราย หนองปลาไหลและคลองใหญ่) มีปริมาณน้ำต้นทุนมากกว่าปีที่ผ่านมา จำนวน 74.47 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 58 ซึ่งเป็นแหล่งน้ำต้นทุนหลักสำหรับการใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค การอุตสาหกรรม การเกษตร และอื่นๆ คาดว่ามีเพียงพอ โดยไม่ก่อให้เกิดภาวะขาดแคลนน้ำจนถึงสิ้นฤดูแล้ง ทั้งนี้ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการปรับเกณฑ์การใช้น้ำและจัดสรรน้ำในจังหวัดชลบุรี และระยอง เพื่อพิจารณาให้เหมาะสมกับสถานการณ์น้ำต้นทุน และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เร่งรัดดำเนินการวางมาตรการการใช้น้ำร่วมกับภาคเอกชนแล้ว
รายงานการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กำหนดเป้าหมายการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งในช่วงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2548 ถึง 30 เมษายน 2549 ตามปริมาณน้ำต้นทุนและสภาวะการตลาด ทั้งนี้ได้วางแผนการบริหารจัดการน้ำ และกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันปัญหาการขาดแคลนน้ำ ณ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2549 มีรายงานผลการเพาะปลูกในช่วงฤดูแล้ง ดังนี้
เขตเพาะปลูก ข้าวนาปรัง พืชไร่-พืชผัก รวม
เป้าหมาย ผล เป้าหมาย ผล เป้าหมาย ผล
ในเขตชลประทาน 5,839,200 5,478,712 875,900 420,794 6,715,100 5,899,506
นอกเขตชลประทาน 1,936,900 1,210,345 1,788,500 846,250 3,725,400 2,056,595
รวม 7,776,100 6,689,057 2,664,400 1,267,044 10,440,500 7,956,101
หมายเหตุ : การปลูกพืชในเขตชลประทานตามเป้าหมายจะไม่มีผลกระทบ สำหรับนอกเขตชลประทานได้มีการประชาสัมพันธ์ให้มีการปลูกพืชใช้น้ำน้อย และเตรียมเครื่องสูบน้ำและรถบรรทุกน้ำเพื่อช่วยเหลือหากมีผลกระทบ
การเตรียมรับสถานการณ์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เนื่องจากในช่วงฤดูแล้ง อาจเกิดภัยธรรมชาติจากความแห้งแล้ง สภาวะการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค และน้ำเพื่อการเกษตร รวมไปถึงภัยธรรมชาติอื่นๆ เช่น พายุฤดูร้อน พายุลมแรง ฝนฟ้าคะนอง ลูกเห็บและไฟป่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้จัดทำแผนเตรียมรับสถานการณ์ เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานป้องกันและบรรเทาความเดือดร้อน รวมถึงการให้ความช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยของหน่วยงานทั้งภายในและภายนอกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และให้มีการจัดตั้งศูนย์ป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยด้านการเกษตร เพื่อการติดตามสภาวะอากาศ สถานการณ์น้ำ การแจ้งเตือน การรายงานสถานการณ์ โดยกำหนดแนวทางการดำเนินงานของแผนเตรียมรับสถานการณ์ เป็น 3 ช่วง คือ ก่อนเกิดภัย ขณะเกิดภัย และหลังเกิดภัย ดังนี้
1. การเตรียมรับสถานการณ์
1) กำหนดมาตรการและเป้าหมายการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง จำนวน 10.44 ล้านไร่ (ข้าวนาปรัง 7.78 ล้านไร่ พืชไร่ พืชผัก 2.66 ล้านไร่)
2) กำหนดแผนการจัดสรรน้ำให้สอดคล้องและเพียงพอกับการกำหนดพื้นที่เพาะปลูกพืชในช่วงฤดูแล้ง
3) การเตรียมความพร้อมเครื่องสูบน้ำ จำนวน 750 เครื่อง รถบรรทุกน้ำ 295 คัน (เฉพาะภาคตะวันออก เพื่อช่วยเหลือพื้นที่สวนผลไม้จำนวน 64 คัน)
4) แผนการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวง 8 ศูนย์ ครอบคลุมพื้นที่ 25 ลุ่มน้ำ
5) การประชาสัมพันธ์แนะนำการทำการเกษตร ให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และให้มีการปรับปรุงคุณภาพผลผลิตตามแนวทางการเกษตรที่ดีเหมาะสม (GAP) การปรับปรุงบำรุงดิน รวมถึงการป้องกันและกำจัดศัตรูพืช
6) การสำรองปัจจัยที่จำเป็นในการประกอบเกษตรกรรม ทั้งด้านพืช เสบียงอาหารสัตว์ และเวชภัณฑ์
2. การช่วยเหลือขณะเกิดภัย การสนับสนุนเครื่องสูบน้ำและรถบรรทุกน้ำ การปฏิบัติการฝนหลวง การสนับสนุนอาหารสัตว์และการดูแลสุขภาพสัตว์ ดำเนินการสำรวจความเสียหายและให้ความช่วยเหลือในระยะฉุกเฉิน ภายใต้ประกาศภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน โดยใช้เงินทดรองราชการในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดงบจังหวัด CEO และเงินทดรองราชการในอำนาจปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามลำดับ
3. การช่วยเหลือหลังเกิดภัย เร่งรัดการสำรวจความเสียหายของพื้นที่ประสบภัย ผ่านคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือระดับอำเภอและจังหวัด เพื่อเสนอของบกลางช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อน
พื้นที่ประสบภัยแล้งด้านการเกษตร (ณ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2549)
1. ด้านพืช ช่วงวันที่ 1 ธันวาคม 2548 ถึง 14 กุมภาพันธ์ 2549 จำนวน 15 จังหวัด 34 อำเภอ 151 ตำบล 1,534 หมู่บ้าน เกษตรกรได้รับผลกระทบ 53,805 ราย พื้นที่การเกษตรคาดว่าจะเสียหาย 634,396.75 ไร่
2. ด้านประมง ช่วงวันที่ 9-13 กุมภาพันธ์ 2549 จำนวน 1 จังหวัด คือ มหาสารคาม เกษตรกรได้รับผลกระทบ 30 ราย 174 กระชัง คิดเป็นพื้นที่ 1,566 ตารางเมตร มูลค่าความเสียหาย 2,216,000 บาท
3. ด้านปศุสัตว์ ไม่มีรายงานความเสียหาย
การให้ความช่วยเหลือ
1. สำนักฝนหลวงและการบินเกษตร กำหนดแผนการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวง จำนวน 8 ศูนย์ ได้แก่ ศูนย์ปฏิบัติการจังหวัดเชียงใหม่ นครสวรรค์ พิษณุโลก ขอนแก่น นครราชสีมา ระยอง ประจวบคีรีขันธ์(หัวหิน) และภูเก็ต เริ่มปฏิบัติการตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 มีผลการปฏิบัติการฝนหลวงวันที่ 1-12 กุมภาพันธ์ 2549 ขึ้นปฏิบัติการ จำนวน 59 เที่ยวบิน มีปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ 281.65 ล้าน ลบ.ม. เฉลี่ยวันละ 23.47 ล้าน ลบ.ม. และมีฝนตกรวม จำนวน 507.1 มิลลิเมตร
2. กรมชลประทาน ได้จัดเตรียมเครื่องสูบน้ำและรถบรรทุกน้ำ จำนวน 750 เครื่อง และ 295 คัน และได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือพื้นที่การเพาะปลูกข้าวนาปรัง พืชไร่-พืชผัก และการอุปโภค-บริโภค ทั้งในเขตและนอกเขตชลประทานแล้ว จำนวน 740 เครื่อง แบ่งเป็น ภาคเหนือ 216 เครื่อง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 271 เครื่อง ภาคกลาง 139 เครื่อง ภาคตะวันออก 59 เครื่อง ภาคตะวันตก 27 เครื่อง และภาคใต้ 28 เครื่อง
3. กรมปศุสัตว์ ดำเนินการดูแลสุขภาพสัตว์ สนับสนุนพืชอาหารสัตว์และเวชภัณฑ์
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2549--จบ--