คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์ รายงานภาวะการค้าระหว่างประเทศไทยของไทย ปี 2548 (มกราคม — ธันวาคม) ดังนี้
1. การส่งออก
การส่งออกเดือนธันวาคม ปี 2548 มีมูลค่า 9,446.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.6 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมร้อยละ 13.5 ขณะที่สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตรส่งออกลดลงร้อยละ 2.0
สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตร สินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพารา (ปริมาณลดลงร้อยละ 16.7 มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.7) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง (ปริมาณลดลงร้อยละ 11.2 มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6) ไก่แช่แข็งและแปรรูป (ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.5 และ 22.1) ปลากระป๋อง ผลไม้สด กระป๋องและแปรรูป สินค้าที่ส่งออกลดลง ได้แก่ ข้าว (ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 33.8 และ 26.2) และ น้ำตาล (ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 27.7 และ 2.1) เนื่องจากประสบปัญหาผลผลิตในประเทศลดลงจากปัญหาภัยแล้ง ขณะที่ราคาส่งออกยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่วนกุ้งแช่แข็งและแปรรูป ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 7.9 และ 14.0 ตามลำดับ เนื่องจากปัญหาผลผลิตลดลงและต้องแข่งขันด้านราคากุ้งขาวกับประเทศคู่แข่งคือ อินโดนีเซีย บังกลาเทศ และฟิลิปปินส์ เป็นต้น
สินค้าอุตสาหกรรม สินค้าสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราสูง ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก อัญมณี ผลิตภัณฑ์ยาง สิ่งพิมพ์และกระดาษ เครื่องสำอาง และ ผลิตภัณฑ์เภสัช/เครื่องมือแพทย์ สินค้าอื่น ๆ ที่ส่งออกเพิ่มขึ้นได้แก่ ยานยนต์และส่วนประกอบ วัสดุก่อสร้าง สิ่งทอ เครื่องเดินทางและเครื่องหนัง รวมทั้งเครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์และส่วนประกอบที่กลับมาส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 จากที่ส่งออกลดลงในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา สินค้าที่ส่งออกลดลง ได้แก่ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้-เครื่องประดับตกแต่งบ้าน และ ของเล่น เนื่องจากปัญหาต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น และการแข่งขันด้านราคากับคู่แข่งที่มีราคาต่ำกว่า โดยเฉพาะจีนและเวียดนาม
การส่งออก ปี 2548 (ม.ค.-ธ.ค.) มีมูลค่า 110,883.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เป็นการขยายตัวของการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมร้อยละ 15.8 ขณะที่สินค้าเกษตรกรรม/อุตสาหกรรมเกษตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0
สินค้าสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราสูง ได้แก่ สินค้าอาหารประเภทปลากระป๋องและแปรรูป ผักและผลไม้สด กระป๋องและแปรรูป กุ้งแช่แข็ง และ ไก่แปรรูป ยานยนต์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก วัสดุก่อสร้าง(เหล็กกล้าและปูนซีเมนต์) อัญมณี ผลิตภัณฑ์ยาง สิ่งพิมพ์และกระดาษ เครื่องสำอาง และ ผลิตภัณฑ์เภสัช เป็นต้น
สินค้าอื่น ๆ ที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพารา แป้งมันสำปะหลัง เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอ เครื่องเดินทางและเครื่องหนัง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้เครื่องประดับตกแต่งบ้าน เป็นต้น
สินค้าสำคัญที่ส่งออกลดลง ได้แก่ ข้าว (ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 24.5 และ 13.0) และน้ำตาลทราย (ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 33.7 และ 12.2) เนื่องจากผลผลิตในประเทศลดลง มันเม็ดและมันเส้น (ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 39.6 และ14.8) เป็นการลดลงของการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป เนื่องจากผลผลิตในประเทศลดลง และต้องแข่งขันกับธัญพืชของสหภาพยุโรปและข้าวโพดของสหรัฐฯ ส่วนไก่สดแช่แข็ง ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 82.9 และ 70.0 ตามลำดับ เนื่องจากปัญหาการระบาดของไข้หวัดนก อย่างไรก็ตาม ราคาต่อหน่วยกลับมีแนวโน้มสูงขึ้น ทำให้มูลค่าการส่งออกลดลงไม่มากนัก
ตลาดส่งออกสำคัญ
การส่งออกไปตลาดใหม่ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.1 และตลาดหลักขยายตัวร้อยละ 9.3 ทำให้สัดส่วนการส่งออกไปตลาดใหม่เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 40.6 และสัดส่วนการส่งออกไปตลาดหลักลดลงเป็นร้อยละ 59.4
ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการดำเนินมาตรการเชิงรุกร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนในการเจาะตลาดอย่างต่อเนื่อง เช่น Trade Commando การส่งนักรบทางการตลาดไปขายสินค้า Thailand Exhibition, Inbound / Outbound Mission เป็นต้น ซึ่งรวมถึงตลาดที่มีการจัดทำ FTA ทำให้สามารถขยายการส่งออกไปยังตลาดใหม่และตลาดที่สำคัญในอัตราสูง ดังนี้
ตลาดที่มีการจัดทำ FTA ได้แก่ อินเดีย (ร้อยละ 67.7) ออสเตรเลีย (ร้อยละ 33.6) และ จีน (ร้อยละ 29.1)
ตลาดใหม่อื่นๆ ได้แก่ ลาตินอเมริกา(ร้อยละ 37.7) อินโดจีนและพม่า (ร้อยละ 26.0) ตะวันออกกลาง(ร้อยละ 25.7) ฮ่องกง(ร้อยละ 24.7) ยุโรปตะวันออก(ร้อยละ 23.5) เกาหลีใต้ (ร้อยละ 21.6) และ แอฟริกา (ร้อยละ 14.7)
การส่งออกไปตลาดหลักขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3 ได้แก่ ญี่ปุ่น อาเซียนและสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.3 , 10.9 และ 10.0 ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปสหภาพยุโรปขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราต่ำเพียงร้อยละ 3.5
2. การนำเข้า
การนำเข้าในเดือนธันวาคม 2548 มีมูลค่า 9,588.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.9 และเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2548 ลดลงร้อยละ 2.0
สินค้าที่มีมูลค่าการนำเข้าสูง ในเดือนธันวาคม 2548 ได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง ทุน วัตถุดิบ/ กึ่งสำเร็จรูป โดยการนำเข้าเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.4, 46.6 และ 21.2 ตามลำดับ สินค้านำเข้าที่สำคัญมีดังนี้
- สินค้าเชื้อเพลิง นำเข้ามูลค่า 1,630 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.4 หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 17.0 ของมูลค่านำเข้ารวมในเดือนธันวาคม 2548 โดยเป็นการนำเข้าน้ำมันดิบมูลค่า 1,304 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 (สัดส่วนร้อยละ 13.6 ของมูลค่านำเข้ารวม) และเป็นการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปมูลค่า 127 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 183.9 (สัดส่วนร้อยละ 1.3 ของมูลค่านำเข้ารวม)
จากการบริหารการนำเข้าน้ำมันดิบให้นำเข้าไม่เกิน 0.85 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2548 ทำให้ปริมาณการนำเข้าลดลงจากเฉลี่ย 0.97 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในช่วงครึ่งแรกของปี 2548 เป็น 0.78 ล้านบาร์เรล ต่อวัน ในช่วงครึ่งหลังของปี 2548 หรือลดลงร้อยละ 19.08 ส่วนเดือนธันวาคม 2548 นำเข้า 0.72 ล้านบาร์เรลต่อวัน
- เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 892 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.9 (สัดส่วนร้อยละ 9.3 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 906 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 89.2 (สัดส่วนร้อยละ 9.5 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 574 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 76.7 (สัดส่วนร้อยละ 6.0 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ นำเข้ามูลค่า 597.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 13.9 (สัดส่วนร้อยละ 6.2 ของมูลค่านำเข้ารวม) หลังจากมีการบริหารการนำเข้าในเดือนกรกฎาคม 2548 เป็นต้นมา ปริมาณการนำเข้าเหล็ก ลดลงจากเฉลี่ยเดือนละ 1.5 ล้านตัน ในช่วงครึ่งแรกของปี 2548 เป็น 1.1 ล้านตัน ในช่วงครึ่งหลังของปี 2548 หรือลดลงร้อยละ 27.1 ส่วนเดือนธันวาคม 2548 นำเข้า 1.06 ล้านตัน
- ทองคำ นำเข้ามูลค่า 105 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวของปีก่อนลดลงร้อยละ 18.02 (สัดส่วนร้อยละ 1.1 ของมูลค่านำเข้ารวม) หลังจากมีการบริหารการนำเข้าทองคำในเดือนกรกฎาคม 2548 เป็นต้นมา ปริมาณการนำเข้าทองคำลดลงจากเฉลี่ยเดือนละ 13.4 ตัน ในช่วงครึ่งแรกของปี 2548 เป็น 10.3 ตัน ในช่วงครึ่งหลังของปี 2548 หรือลดลงร้อยละ 23.2 ส่วนเดือนธันวาคม 2548 นำเข้า 6.6 ตัน ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 26.7
- เครื่องบิน บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) นำเข้าเครื่องบินจำนวน 1 ลำ มูลค่า 137.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-ธันวาคม 2548 บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) นำเข้าเครื่องบิน รวม 5 ลำ มูลค่า 667.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
การนำเข้า ปี 2548 (ม.ค.-ธ.ค.) มีมูลค่า 118,223 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับปี 2547 เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.7 เป็นการขยายตัวของการนำเข้าในทุกหมวด ที่สำคัญได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง สินค้าทุน และสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป เพิ่มขึ้นร้อยละ 59.1, 27.2 และ 16.9 ตามลำดับ
3. สรุปแนวโน้มการส่งออกและนำเข้าของปี 2549
แนวโน้มการส่งออกปี 2549 กระทรวงพาณิชย์ได้จัดประชุมหารือเบื้องต้น เพื่อประเมินสถานการณ์การส่งออกของไทยในปี 2549 ร่วมกับผู้ส่งออกสินค้าสำคัญและผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ เมื่อเดือนธันวาคม คาดว่าการส่งออกในปี 2549 จะยังคงมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2548 โดยคาดว่าจะสามารถส่งออกมีมูลค่าประมาณ 130,288 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปี 2548 ร้อยละ 17.5 ตามการขยายตัวของการค้าโลกและการดำเนินนโยบายการค้าเชิงรุกของรัฐบาล
แนวโน้มการนำเข้าปี 2549 จากการประชุมกับผู้นำเข้าและหน่วยงานของรัฐ รวม 7 กลุ่มสินค้า ในเบื้องต้นคาดการณ์สถานการณ์การนำเข้าในปี 2549 ดังนี้
- น้ำมันดิบ คาดว่าในช่วงต้นปี 2549 ราคานำมันดิบจะมีแนวโน้มสูงขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนและประเทศอุตสาหกรรมหลัก โดยคาดว่า การนำเข้าน้ำมันดิบของไทย จะลดลงร้อยละ 10 จากปี 2548 เป็นนำเข้าไม่เกิน 765,000 บาร์เรลต่อวัน
- เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ คาดว่าราคาเหล็กตลาดโลกปี 2549 มีแนวโน้มปรับลดลง เนื่องจากจีนมีแนวโน้มชะลอการสั่งซื้อเหล็กจากต่างประเทศ ส่วนการนำเข้าเหล็กของไทยในปี 2549 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการนำเข้าเหล็กจากจีนที่มีราคาต่ำ และเหล็กบางชนิดที่ไทยยังผลิตไม่ได้ เช่น เหล็ก ที่ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ เป็นต้น
- ทองคำ คาดว่าราคาทองคำจะปรับตัวสูงขึ้นตามราคาทองคำในต่างประเทศ ทำให้ประชาชนซื้อทองคำน้อยลง และคาดว่าในปี 2549 การนำเข้าจะมีปริมาณน้อยกว่าปี 2548
- คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ คาดว่าการนำเข้าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้ในภาคอุตสาหกรรมที่มีการผลิตเพิ่มมากขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ
- เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ มีแนวโน้มนำเข้าเพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองการขยายกำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรม โดยเครื่องจักรที่นำเข้าส่วนใหญ่ไม่สามารถผลิตได้ภายในประเทศเพราะใช้เทคโนโลยีการผลิตสูง
- เคมีภัณฑ์ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
- สินค้าตามโครงการลงทุนขนาดใหญ่ หน่วยงานที่มีการนำเข้าสินค้าตามโครงการของรัฐฯ 17 หน่วยงาน แจ้งแผนการนำเข้าเบื้องต้น ปี 2549 มีมูลค่า 2,123.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
4. ดุลการค้า
ดุลการค้าในเดือนธันวาคม 2548 ไทยขาดดุลการค้า 142.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ปี 2548 ขาดดุล การค้ารวม 7,339.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
5. เป้าหมายการส่งออกปี 2549
การส่งออก กระทรวงพาณิชย์ได้จัดประชุมหารือเบื้องต้นกับภาคเอกชนและหน่วยงานในต่างประเทศ เพื่อประเมินสถานการณ์การส่งออกของไทยในปี 2549 คาดว่าการส่งออกในปี 2549 จะยังคงมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2548 โดยจะสามารถส่งออกมีมูลค่าประมาณ 130,288 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปี 2548 ร้อยละ 17.5
6. ปัจจัยสนับสนุนเป้าหมายการส่งออก นำเข้า และดุลการค้า ปี 2549
1. จากการคาดการณ์ของธนาคารโลก (Global Economic Prospects 2006) การค้าโลก ในปี 2549 จะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.0 สูงกว่าการประมาณการของปี 2548 ที่ร้อยละ 6.2
2. การดำเนินนโยบายการค้าระหว่างประเทศเชิงรุกของรัฐบาล เช่น Regional Hub, Thainess to the World
3. การคืนสิทธิ GSP ของสหภาพยุโรปแก่สินค้าส่งออกไทย ตามโครงการ GSP รอบใหม่ (โครงการที่ 4) ซึ่งเริ่มใช้วันที่ 1 มกราคม 2549
4. ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่มีแนวโน้มสูงขึ้น เช่น น้ำตาล ยางพารา
5. การส่งออกภาคอุตสาหกรรมคาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มอิเลคทรอนิกส์ตามการขยายตัวของอุตสาหกรรม IT และสินค้าในกลุ่มยานยนต์
6. การสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนเพื่อลดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
7. การใช้มาตรการ Safeguard สินค้าสิ่งทอจากจีนของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปจะช่วยเพิ่มโอกาสการส่งออกสินค้าสิ่งทอของไทยให้ส่งออกได้มากขึ้น
7. ปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อเป้าหมายการส่งออก นำเข้า และดุลการค้า ปี 2549
1. การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 3.2 ในปี 2549 (เท่ากับประมาณการ ปี 2548 ของธนาคารโลก) อาจชะลอตัวกว่าที่คาดการณ์ เนื่องจากประเทศสำคัญ เช่น สหรัฐอเมริกา และจีน อาจมีเศรษฐกิจชะลอตัวลง
2. อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้น และการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อลดแรงกดดันที่มีต่อภาวะเงินเฟ้อ และการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด (โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา) ซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการและนักลงทุน รวมถึงการใช้จ่ายของผู้บริโภค
3. ราคาน้ำมันที่ทรงตัวในระดับสูงและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จะส่งผลต่อต้นทุนและราคาสินค้าส่งออก รวมถึงตัวเลขการนำเข้าที่สูงขึ้น
4. การถูกตัดสิทธิ GSP จากสหภาพยุโรป ในสินค้ากลุ่มยานพาหนะและอุปกรณ์ เป็นครั้งแรกของไทย อาจทำให้ไทยเสียเปรียบคู่แข่งขันจากประเทศอื่น
5. ปัญหาการระบาดของโรคไข้หวัดนก การก่อการร้าย และภัยธรรมชาติ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 31 มกราคม 2549--จบ--
1. การส่งออก
การส่งออกเดือนธันวาคม ปี 2548 มีมูลค่า 9,446.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.6 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมร้อยละ 13.5 ขณะที่สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตรส่งออกลดลงร้อยละ 2.0
สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตร สินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพารา (ปริมาณลดลงร้อยละ 16.7 มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.7) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง (ปริมาณลดลงร้อยละ 11.2 มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6) ไก่แช่แข็งและแปรรูป (ปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.5 และ 22.1) ปลากระป๋อง ผลไม้สด กระป๋องและแปรรูป สินค้าที่ส่งออกลดลง ได้แก่ ข้าว (ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 33.8 และ 26.2) และ น้ำตาล (ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 27.7 และ 2.1) เนื่องจากประสบปัญหาผลผลิตในประเทศลดลงจากปัญหาภัยแล้ง ขณะที่ราคาส่งออกยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่วนกุ้งแช่แข็งและแปรรูป ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 7.9 และ 14.0 ตามลำดับ เนื่องจากปัญหาผลผลิตลดลงและต้องแข่งขันด้านราคากุ้งขาวกับประเทศคู่แข่งคือ อินโดนีเซีย บังกลาเทศ และฟิลิปปินส์ เป็นต้น
สินค้าอุตสาหกรรม สินค้าสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราสูง ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก อัญมณี ผลิตภัณฑ์ยาง สิ่งพิมพ์และกระดาษ เครื่องสำอาง และ ผลิตภัณฑ์เภสัช/เครื่องมือแพทย์ สินค้าอื่น ๆ ที่ส่งออกเพิ่มขึ้นได้แก่ ยานยนต์และส่วนประกอบ วัสดุก่อสร้าง สิ่งทอ เครื่องเดินทางและเครื่องหนัง รวมทั้งเครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์และส่วนประกอบที่กลับมาส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 จากที่ส่งออกลดลงในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา สินค้าที่ส่งออกลดลง ได้แก่ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้-เครื่องประดับตกแต่งบ้าน และ ของเล่น เนื่องจากปัญหาต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น และการแข่งขันด้านราคากับคู่แข่งที่มีราคาต่ำกว่า โดยเฉพาะจีนและเวียดนาม
การส่งออก ปี 2548 (ม.ค.-ธ.ค.) มีมูลค่า 110,883.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เป็นการขยายตัวของการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมร้อยละ 15.8 ขณะที่สินค้าเกษตรกรรม/อุตสาหกรรมเกษตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0
สินค้าสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราสูง ได้แก่ สินค้าอาหารประเภทปลากระป๋องและแปรรูป ผักและผลไม้สด กระป๋องและแปรรูป กุ้งแช่แข็ง และ ไก่แปรรูป ยานยนต์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก วัสดุก่อสร้าง(เหล็กกล้าและปูนซีเมนต์) อัญมณี ผลิตภัณฑ์ยาง สิ่งพิมพ์และกระดาษ เครื่องสำอาง และ ผลิตภัณฑ์เภสัช เป็นต้น
สินค้าอื่น ๆ ที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพารา แป้งมันสำปะหลัง เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอ เครื่องเดินทางและเครื่องหนัง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้เครื่องประดับตกแต่งบ้าน เป็นต้น
สินค้าสำคัญที่ส่งออกลดลง ได้แก่ ข้าว (ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 24.5 และ 13.0) และน้ำตาลทราย (ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 33.7 และ 12.2) เนื่องจากผลผลิตในประเทศลดลง มันเม็ดและมันเส้น (ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 39.6 และ14.8) เป็นการลดลงของการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป เนื่องจากผลผลิตในประเทศลดลง และต้องแข่งขันกับธัญพืชของสหภาพยุโรปและข้าวโพดของสหรัฐฯ ส่วนไก่สดแช่แข็ง ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 82.9 และ 70.0 ตามลำดับ เนื่องจากปัญหาการระบาดของไข้หวัดนก อย่างไรก็ตาม ราคาต่อหน่วยกลับมีแนวโน้มสูงขึ้น ทำให้มูลค่าการส่งออกลดลงไม่มากนัก
ตลาดส่งออกสำคัญ
การส่งออกไปตลาดใหม่ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.1 และตลาดหลักขยายตัวร้อยละ 9.3 ทำให้สัดส่วนการส่งออกไปตลาดใหม่เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 40.6 และสัดส่วนการส่งออกไปตลาดหลักลดลงเป็นร้อยละ 59.4
ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการดำเนินมาตรการเชิงรุกร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนในการเจาะตลาดอย่างต่อเนื่อง เช่น Trade Commando การส่งนักรบทางการตลาดไปขายสินค้า Thailand Exhibition, Inbound / Outbound Mission เป็นต้น ซึ่งรวมถึงตลาดที่มีการจัดทำ FTA ทำให้สามารถขยายการส่งออกไปยังตลาดใหม่และตลาดที่สำคัญในอัตราสูง ดังนี้
ตลาดที่มีการจัดทำ FTA ได้แก่ อินเดีย (ร้อยละ 67.7) ออสเตรเลีย (ร้อยละ 33.6) และ จีน (ร้อยละ 29.1)
ตลาดใหม่อื่นๆ ได้แก่ ลาตินอเมริกา(ร้อยละ 37.7) อินโดจีนและพม่า (ร้อยละ 26.0) ตะวันออกกลาง(ร้อยละ 25.7) ฮ่องกง(ร้อยละ 24.7) ยุโรปตะวันออก(ร้อยละ 23.5) เกาหลีใต้ (ร้อยละ 21.6) และ แอฟริกา (ร้อยละ 14.7)
การส่งออกไปตลาดหลักขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3 ได้แก่ ญี่ปุ่น อาเซียนและสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.3 , 10.9 และ 10.0 ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปสหภาพยุโรปขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราต่ำเพียงร้อยละ 3.5
2. การนำเข้า
การนำเข้าในเดือนธันวาคม 2548 มีมูลค่า 9,588.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.9 และเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2548 ลดลงร้อยละ 2.0
สินค้าที่มีมูลค่าการนำเข้าสูง ในเดือนธันวาคม 2548 ได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง ทุน วัตถุดิบ/ กึ่งสำเร็จรูป โดยการนำเข้าเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.4, 46.6 และ 21.2 ตามลำดับ สินค้านำเข้าที่สำคัญมีดังนี้
- สินค้าเชื้อเพลิง นำเข้ามูลค่า 1,630 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.4 หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 17.0 ของมูลค่านำเข้ารวมในเดือนธันวาคม 2548 โดยเป็นการนำเข้าน้ำมันดิบมูลค่า 1,304 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 (สัดส่วนร้อยละ 13.6 ของมูลค่านำเข้ารวม) และเป็นการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปมูลค่า 127 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 183.9 (สัดส่วนร้อยละ 1.3 ของมูลค่านำเข้ารวม)
จากการบริหารการนำเข้าน้ำมันดิบให้นำเข้าไม่เกิน 0.85 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2548 ทำให้ปริมาณการนำเข้าลดลงจากเฉลี่ย 0.97 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในช่วงครึ่งแรกของปี 2548 เป็น 0.78 ล้านบาร์เรล ต่อวัน ในช่วงครึ่งหลังของปี 2548 หรือลดลงร้อยละ 19.08 ส่วนเดือนธันวาคม 2548 นำเข้า 0.72 ล้านบาร์เรลต่อวัน
- เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 892 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.9 (สัดส่วนร้อยละ 9.3 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 906 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 89.2 (สัดส่วนร้อยละ 9.5 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 574 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 76.7 (สัดส่วนร้อยละ 6.0 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ นำเข้ามูลค่า 597.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 13.9 (สัดส่วนร้อยละ 6.2 ของมูลค่านำเข้ารวม) หลังจากมีการบริหารการนำเข้าในเดือนกรกฎาคม 2548 เป็นต้นมา ปริมาณการนำเข้าเหล็ก ลดลงจากเฉลี่ยเดือนละ 1.5 ล้านตัน ในช่วงครึ่งแรกของปี 2548 เป็น 1.1 ล้านตัน ในช่วงครึ่งหลังของปี 2548 หรือลดลงร้อยละ 27.1 ส่วนเดือนธันวาคม 2548 นำเข้า 1.06 ล้านตัน
- ทองคำ นำเข้ามูลค่า 105 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวของปีก่อนลดลงร้อยละ 18.02 (สัดส่วนร้อยละ 1.1 ของมูลค่านำเข้ารวม) หลังจากมีการบริหารการนำเข้าทองคำในเดือนกรกฎาคม 2548 เป็นต้นมา ปริมาณการนำเข้าทองคำลดลงจากเฉลี่ยเดือนละ 13.4 ตัน ในช่วงครึ่งแรกของปี 2548 เป็น 10.3 ตัน ในช่วงครึ่งหลังของปี 2548 หรือลดลงร้อยละ 23.2 ส่วนเดือนธันวาคม 2548 นำเข้า 6.6 ตัน ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 26.7
- เครื่องบิน บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) นำเข้าเครื่องบินจำนวน 1 ลำ มูลค่า 137.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-ธันวาคม 2548 บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) นำเข้าเครื่องบิน รวม 5 ลำ มูลค่า 667.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
การนำเข้า ปี 2548 (ม.ค.-ธ.ค.) มีมูลค่า 118,223 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับปี 2547 เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.7 เป็นการขยายตัวของการนำเข้าในทุกหมวด ที่สำคัญได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง สินค้าทุน และสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป เพิ่มขึ้นร้อยละ 59.1, 27.2 และ 16.9 ตามลำดับ
3. สรุปแนวโน้มการส่งออกและนำเข้าของปี 2549
แนวโน้มการส่งออกปี 2549 กระทรวงพาณิชย์ได้จัดประชุมหารือเบื้องต้น เพื่อประเมินสถานการณ์การส่งออกของไทยในปี 2549 ร่วมกับผู้ส่งออกสินค้าสำคัญและผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ เมื่อเดือนธันวาคม คาดว่าการส่งออกในปี 2549 จะยังคงมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2548 โดยคาดว่าจะสามารถส่งออกมีมูลค่าประมาณ 130,288 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปี 2548 ร้อยละ 17.5 ตามการขยายตัวของการค้าโลกและการดำเนินนโยบายการค้าเชิงรุกของรัฐบาล
แนวโน้มการนำเข้าปี 2549 จากการประชุมกับผู้นำเข้าและหน่วยงานของรัฐ รวม 7 กลุ่มสินค้า ในเบื้องต้นคาดการณ์สถานการณ์การนำเข้าในปี 2549 ดังนี้
- น้ำมันดิบ คาดว่าในช่วงต้นปี 2549 ราคานำมันดิบจะมีแนวโน้มสูงขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนและประเทศอุตสาหกรรมหลัก โดยคาดว่า การนำเข้าน้ำมันดิบของไทย จะลดลงร้อยละ 10 จากปี 2548 เป็นนำเข้าไม่เกิน 765,000 บาร์เรลต่อวัน
- เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ คาดว่าราคาเหล็กตลาดโลกปี 2549 มีแนวโน้มปรับลดลง เนื่องจากจีนมีแนวโน้มชะลอการสั่งซื้อเหล็กจากต่างประเทศ ส่วนการนำเข้าเหล็กของไทยในปี 2549 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการนำเข้าเหล็กจากจีนที่มีราคาต่ำ และเหล็กบางชนิดที่ไทยยังผลิตไม่ได้ เช่น เหล็ก ที่ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ เป็นต้น
- ทองคำ คาดว่าราคาทองคำจะปรับตัวสูงขึ้นตามราคาทองคำในต่างประเทศ ทำให้ประชาชนซื้อทองคำน้อยลง และคาดว่าในปี 2549 การนำเข้าจะมีปริมาณน้อยกว่าปี 2548
- คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ คาดว่าการนำเข้าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้ในภาคอุตสาหกรรมที่มีการผลิตเพิ่มมากขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ
- เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ มีแนวโน้มนำเข้าเพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองการขยายกำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรม โดยเครื่องจักรที่นำเข้าส่วนใหญ่ไม่สามารถผลิตได้ภายในประเทศเพราะใช้เทคโนโลยีการผลิตสูง
- เคมีภัณฑ์ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
- สินค้าตามโครงการลงทุนขนาดใหญ่ หน่วยงานที่มีการนำเข้าสินค้าตามโครงการของรัฐฯ 17 หน่วยงาน แจ้งแผนการนำเข้าเบื้องต้น ปี 2549 มีมูลค่า 2,123.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
4. ดุลการค้า
ดุลการค้าในเดือนธันวาคม 2548 ไทยขาดดุลการค้า 142.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ปี 2548 ขาดดุล การค้ารวม 7,339.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
5. เป้าหมายการส่งออกปี 2549
การส่งออก กระทรวงพาณิชย์ได้จัดประชุมหารือเบื้องต้นกับภาคเอกชนและหน่วยงานในต่างประเทศ เพื่อประเมินสถานการณ์การส่งออกของไทยในปี 2549 คาดว่าการส่งออกในปี 2549 จะยังคงมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2548 โดยจะสามารถส่งออกมีมูลค่าประมาณ 130,288 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปี 2548 ร้อยละ 17.5
6. ปัจจัยสนับสนุนเป้าหมายการส่งออก นำเข้า และดุลการค้า ปี 2549
1. จากการคาดการณ์ของธนาคารโลก (Global Economic Prospects 2006) การค้าโลก ในปี 2549 จะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.0 สูงกว่าการประมาณการของปี 2548 ที่ร้อยละ 6.2
2. การดำเนินนโยบายการค้าระหว่างประเทศเชิงรุกของรัฐบาล เช่น Regional Hub, Thainess to the World
3. การคืนสิทธิ GSP ของสหภาพยุโรปแก่สินค้าส่งออกไทย ตามโครงการ GSP รอบใหม่ (โครงการที่ 4) ซึ่งเริ่มใช้วันที่ 1 มกราคม 2549
4. ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่มีแนวโน้มสูงขึ้น เช่น น้ำตาล ยางพารา
5. การส่งออกภาคอุตสาหกรรมคาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มอิเลคทรอนิกส์ตามการขยายตัวของอุตสาหกรรม IT และสินค้าในกลุ่มยานยนต์
6. การสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนเพื่อลดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
7. การใช้มาตรการ Safeguard สินค้าสิ่งทอจากจีนของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปจะช่วยเพิ่มโอกาสการส่งออกสินค้าสิ่งทอของไทยให้ส่งออกได้มากขึ้น
7. ปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อเป้าหมายการส่งออก นำเข้า และดุลการค้า ปี 2549
1. การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 3.2 ในปี 2549 (เท่ากับประมาณการ ปี 2548 ของธนาคารโลก) อาจชะลอตัวกว่าที่คาดการณ์ เนื่องจากประเทศสำคัญ เช่น สหรัฐอเมริกา และจีน อาจมีเศรษฐกิจชะลอตัวลง
2. อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้น และการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อลดแรงกดดันที่มีต่อภาวะเงินเฟ้อ และการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด (โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา) ซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการและนักลงทุน รวมถึงการใช้จ่ายของผู้บริโภค
3. ราคาน้ำมันที่ทรงตัวในระดับสูงและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จะส่งผลต่อต้นทุนและราคาสินค้าส่งออก รวมถึงตัวเลขการนำเข้าที่สูงขึ้น
4. การถูกตัดสิทธิ GSP จากสหภาพยุโรป ในสินค้ากลุ่มยานพาหนะและอุปกรณ์ เป็นครั้งแรกของไทย อาจทำให้ไทยเสียเปรียบคู่แข่งขันจากประเทศอื่น
5. ปัญหาการระบาดของโรคไข้หวัดนก การก่อการร้าย และภัยธรรมชาติ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 31 มกราคม 2549--จบ--