คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานแผนแม่บทพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 2 (2549-2553) ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
แผนแม่บทพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 2 (2549-2553) ได้กำหนดวิสัยทัศน์และภารกิจเป้าหมายเชิงปริมาณ แนวทางหลักในการดำเนินการ 7 ประการ และมาตรการสำคัญภายใต้แต่ละแนวทาง ดังนี้
วิสัยทัศน์และภารกิจ สร้างเสถียรภาพของตลาดทุน สนับสนุนความสามารถในการแข่งขัน และความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ
เป้าหมายเชิงประมาณ
ขยายตลาดตราสารทุน และตราสารหนี้ให้มีสัดส่วนทัดเทียมกับระบบธนาคารเพิ่มนักลงทุนสถาบันในตลาดตราสารทุน และสนับสนุนนักลงทุนบุคคลในตลาดตราสารหนี้
แนวทางหลักและมาตรการสำคัญภายใต้แต่ละแนวทาง
(1) ตลาดตราสารทุน : เน้นการขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพทั้งทางอุปสงค์และอุปทาน โดยทางอุปสงค์จะมุ่งเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนสถาบันในประเทศจากร้อยละ 10 ของนักลงทุนทั้งหมด เป็นร้อยละ 20 ส่วนทางอุปทานนอกจากจะเพิ่มจำนวนบริษัทจดทะเบียนแล้วยังส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนเดิมเพิ่ม free float ของหลักทรัพย์ที่หมุนเวียนในตลาดรอง และมุ่งเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเมื่อเทียบกับผลกำไร (P/E) ของบริษัทจดทะเบียนให้มีระดับราคาที่เหมาะสมโดยสนับสนุนระบบการออมทั้งภาคบังคับและสมัครใจ
แก้ไขหลักเกณฑ์และเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ของธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Venture Capital) ดำเนินการร่วมกับบริษัทจดทะเบียนเพื่อยกระดับ P/E รายบริษัท
(2) ตลาดตราสารหนี้ : ขยายขนาดตลาดให้ทัดเทียมกับตลาดเงิน โดยเพิ่มอุปทานของตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชนรวมทั้งผู้ออกต่างประเทศ และส่งเสริมการลงทุนของนักลงทุนบุคคลโดย
- นำตราสารหนี้ขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชนแบ่งเป็นหน่วยซื้อขายย่อยเพื่อให้นักลงทุนบุคคลสามารถเข้าถึงโดยง่าย
- สนับสนุนการเชื่อมโยงตลาดตราสารหนี้ในภูมิภาคอาเซียน และส่งเสริมบทบาทสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่มีมาตรฐานที่ดีให้ได้รับการยอมรับในระดับสากล
- จัดให้มีสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือเข้ามาทำ Credit enhancement ให้สถาบันที่มีความน่าเชื่อถือด้อยกว่าเพื่อลดต้นทุนในการออกตราสารหนี้
- ขยายฐาน market maker เพื่อให้นักลงทุนบุคคลเข้าถึงตลาดให้สะดวกและสร้างสภาพคล่องให้ตลาด
- กำหนดแนวทางด้านภาษีเพื่อสร้างแรงจูงใจให้บุคคลธรรมดาซื้อขายได้คล่องตัวขึ้น
(3) ตราสารอนุพันธ์และนวัตกรรมอื่น ๆ : สร้างความรู้ความเข้าใจและส่งเสริมให้มีโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการซื้อขายอนุพันธ์ และเริ่มนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ เพื่อประโยชน์ในการลดความเสี่ยงของผู้ประกอบการและผู้ลงทุนโดย
- สร้าง exchange linkage ตราสารอนุพันธ์ร่วมกับตลาดอนุพันธ์ในต่างประเทศ
- ประชาสัมพันธ์ ให้ความรู้เรื่องอนุพันธ์
- แก้ไขข้อจำกัดและส่งเสริมธุรกิจการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL)
- ออกนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ
(4) สถาบันตัวกลาง : เน้นการสร้างความแข็งแกร่งแก่ธุรกิจตัวกลางภายใต้กลไกการแข่งขันอย่างเสรี โดยเพิ่มช่องทางให้ตัวกลางดำเนินธุรกิจได้หลากหลายยิ่งขึ้นหากมีฐานทุนเพิ่มและเปิดโอกาสให้มีการควบรวมเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันโดยเพิ่ม capital requirement ของสถาบันตัวกลาง และแยกประเภท license เป็น universal และ restricted license อย่างชัดเจนเพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยน business model ได้ตามความเหมาะสม
- แก้ไขกฎเกณฑ์ให้สถาบันตัวกลางสามารถควบรวมได้โดยไม่เสียสถานะการเป็นบริษัทจดทะเบียน (listing status) และสิทธิประโยชน์ทางภาษี รวมทั้งสามารถโอนย้ายใบอนุญาตภายในกลุ่ม
- เปิดเสรีค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์อย่างเป็นขั้นตอนเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเปิดรับการแข่งขันจากต่างประเทศให้สถาบันตัวกลางดำเนินธุรกิจให้บริการเพื่อลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศให้สอดคล้องกับการผ่อนคลายการเปิดเสรีทางการเงินและการปริวรรตเงินตราของธนาคารแห่งประเทศไทย
(5) บริษัทจดทะเบียน : สนับสนุนบริษัทจดทะเบียนให้ดำเนินการตามหลักบรรษัทภิบาล
- เพิ่มบริษัทจดทะเบียนควบคู่กับการปรับปรุงแก้ไขนโยบายอื่น ๆ เช่น พิจารณาสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพิ่มการหักค่าใช้จ่ายเป็นกรณีพิเศษเพิ่มเติมให้สิทธิประโยชน์แบบ fast track แก่บริษัทที่ได้รับการจัดอันดับการกำกับดูแลกิจการที่ดี
- สนับสนุนการควบรวมกิจการ
- ผลักดันบทบาทของผู้ลงทุนสถาบันและสถาบันตัวกลางในการยกระดับบรรษัทภิบาลของบริษัทจดทะเบียน
(6) ขยายความรู้ด้านตลาดทุน : ขยายความรู้ด้านตลาดทุนและความรู้ด้านการเงินแก่ผู้ลงทุน ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
- แบ่งเขตการทำงานให้ความรู้ของตลาดหลักทรัพย์และ 5 สมาคม ให้ครบทุกจังหวัดและสถาบันการศึกษา
(7) หน่วยงานกำกับดูแล : ทบทวนและปรับเปลี่ยนบทบาทหน่วยงานกำกับดูแลโดยมุ่งเน้นการกำกับดูแลพร้อมกับหน้าที่ในการพัฒนาควบคู่กันไป เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและความน่าเชื่อถือของตลาดทุนโดยรวม โดยในด้านการกำกับดูแลนั้น จะเน้นการเปิดเผยข้อมูลตามแนวทาง disclosure basis
ทั้งนี้กระทรวงการคลังจะติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการของหน่วยงานต่าง ๆ ตามแผนแล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) (รักษาการนายกรัฐมนตรี) วันที่ 4 กรกฎาคม 2549--จบ--
แผนแม่บทพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 2 (2549-2553) ได้กำหนดวิสัยทัศน์และภารกิจเป้าหมายเชิงปริมาณ แนวทางหลักในการดำเนินการ 7 ประการ และมาตรการสำคัญภายใต้แต่ละแนวทาง ดังนี้
วิสัยทัศน์และภารกิจ สร้างเสถียรภาพของตลาดทุน สนับสนุนความสามารถในการแข่งขัน และความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ
เป้าหมายเชิงประมาณ
ขยายตลาดตราสารทุน และตราสารหนี้ให้มีสัดส่วนทัดเทียมกับระบบธนาคารเพิ่มนักลงทุนสถาบันในตลาดตราสารทุน และสนับสนุนนักลงทุนบุคคลในตลาดตราสารหนี้
แนวทางหลักและมาตรการสำคัญภายใต้แต่ละแนวทาง
(1) ตลาดตราสารทุน : เน้นการขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพทั้งทางอุปสงค์และอุปทาน โดยทางอุปสงค์จะมุ่งเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนสถาบันในประเทศจากร้อยละ 10 ของนักลงทุนทั้งหมด เป็นร้อยละ 20 ส่วนทางอุปทานนอกจากจะเพิ่มจำนวนบริษัทจดทะเบียนแล้วยังส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนเดิมเพิ่ม free float ของหลักทรัพย์ที่หมุนเวียนในตลาดรอง และมุ่งเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเมื่อเทียบกับผลกำไร (P/E) ของบริษัทจดทะเบียนให้มีระดับราคาที่เหมาะสมโดยสนับสนุนระบบการออมทั้งภาคบังคับและสมัครใจ
แก้ไขหลักเกณฑ์และเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ของธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Venture Capital) ดำเนินการร่วมกับบริษัทจดทะเบียนเพื่อยกระดับ P/E รายบริษัท
(2) ตลาดตราสารหนี้ : ขยายขนาดตลาดให้ทัดเทียมกับตลาดเงิน โดยเพิ่มอุปทานของตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชนรวมทั้งผู้ออกต่างประเทศ และส่งเสริมการลงทุนของนักลงทุนบุคคลโดย
- นำตราสารหนี้ขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชนแบ่งเป็นหน่วยซื้อขายย่อยเพื่อให้นักลงทุนบุคคลสามารถเข้าถึงโดยง่าย
- สนับสนุนการเชื่อมโยงตลาดตราสารหนี้ในภูมิภาคอาเซียน และส่งเสริมบทบาทสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่มีมาตรฐานที่ดีให้ได้รับการยอมรับในระดับสากล
- จัดให้มีสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือเข้ามาทำ Credit enhancement ให้สถาบันที่มีความน่าเชื่อถือด้อยกว่าเพื่อลดต้นทุนในการออกตราสารหนี้
- ขยายฐาน market maker เพื่อให้นักลงทุนบุคคลเข้าถึงตลาดให้สะดวกและสร้างสภาพคล่องให้ตลาด
- กำหนดแนวทางด้านภาษีเพื่อสร้างแรงจูงใจให้บุคคลธรรมดาซื้อขายได้คล่องตัวขึ้น
(3) ตราสารอนุพันธ์และนวัตกรรมอื่น ๆ : สร้างความรู้ความเข้าใจและส่งเสริมให้มีโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการซื้อขายอนุพันธ์ และเริ่มนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ เพื่อประโยชน์ในการลดความเสี่ยงของผู้ประกอบการและผู้ลงทุนโดย
- สร้าง exchange linkage ตราสารอนุพันธ์ร่วมกับตลาดอนุพันธ์ในต่างประเทศ
- ประชาสัมพันธ์ ให้ความรู้เรื่องอนุพันธ์
- แก้ไขข้อจำกัดและส่งเสริมธุรกิจการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL)
- ออกนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ
(4) สถาบันตัวกลาง : เน้นการสร้างความแข็งแกร่งแก่ธุรกิจตัวกลางภายใต้กลไกการแข่งขันอย่างเสรี โดยเพิ่มช่องทางให้ตัวกลางดำเนินธุรกิจได้หลากหลายยิ่งขึ้นหากมีฐานทุนเพิ่มและเปิดโอกาสให้มีการควบรวมเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันโดยเพิ่ม capital requirement ของสถาบันตัวกลาง และแยกประเภท license เป็น universal และ restricted license อย่างชัดเจนเพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยน business model ได้ตามความเหมาะสม
- แก้ไขกฎเกณฑ์ให้สถาบันตัวกลางสามารถควบรวมได้โดยไม่เสียสถานะการเป็นบริษัทจดทะเบียน (listing status) และสิทธิประโยชน์ทางภาษี รวมทั้งสามารถโอนย้ายใบอนุญาตภายในกลุ่ม
- เปิดเสรีค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์อย่างเป็นขั้นตอนเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเปิดรับการแข่งขันจากต่างประเทศให้สถาบันตัวกลางดำเนินธุรกิจให้บริการเพื่อลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศให้สอดคล้องกับการผ่อนคลายการเปิดเสรีทางการเงินและการปริวรรตเงินตราของธนาคารแห่งประเทศไทย
(5) บริษัทจดทะเบียน : สนับสนุนบริษัทจดทะเบียนให้ดำเนินการตามหลักบรรษัทภิบาล
- เพิ่มบริษัทจดทะเบียนควบคู่กับการปรับปรุงแก้ไขนโยบายอื่น ๆ เช่น พิจารณาสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพิ่มการหักค่าใช้จ่ายเป็นกรณีพิเศษเพิ่มเติมให้สิทธิประโยชน์แบบ fast track แก่บริษัทที่ได้รับการจัดอันดับการกำกับดูแลกิจการที่ดี
- สนับสนุนการควบรวมกิจการ
- ผลักดันบทบาทของผู้ลงทุนสถาบันและสถาบันตัวกลางในการยกระดับบรรษัทภิบาลของบริษัทจดทะเบียน
(6) ขยายความรู้ด้านตลาดทุน : ขยายความรู้ด้านตลาดทุนและความรู้ด้านการเงินแก่ผู้ลงทุน ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
- แบ่งเขตการทำงานให้ความรู้ของตลาดหลักทรัพย์และ 5 สมาคม ให้ครบทุกจังหวัดและสถาบันการศึกษา
(7) หน่วยงานกำกับดูแล : ทบทวนและปรับเปลี่ยนบทบาทหน่วยงานกำกับดูแลโดยมุ่งเน้นการกำกับดูแลพร้อมกับหน้าที่ในการพัฒนาควบคู่กันไป เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและความน่าเชื่อถือของตลาดทุนโดยรวม โดยในด้านการกำกับดูแลนั้น จะเน้นการเปิดเผยข้อมูลตามแนวทาง disclosure basis
ทั้งนี้กระทรวงการคลังจะติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการของหน่วยงานต่าง ๆ ตามแผนแล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) (รักษาการนายกรัฐมนตรี) วันที่ 4 กรกฎาคม 2549--จบ--