คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยในระยะ 11 เดือนแรกของปี 2548 (มกราคม-พฤศจิกายน) ดังนี้
1. การส่งออก
การส่งออกเดือนพฤศจิกายน 2548 มีมูลค่า 9,841.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.5 การส่งออกกลับมาขยายตัวอีกครั้ง หลังจากที่ชะลอตัวเป็นร้อยละ 8.4 ในเดือนตุลาคม โดยส่งออกเพิ่มขึ้นทั้งสินค้าอุตสาหกรรม และสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตร ซึ่งขยายตัวร้อยละ 15.4 และ 6.9 ตามลำดับ
สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตร สินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราสูง ได้แก่ ยางพาราและมันสำปะหลังซึ่งเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 27.3 และ 30.6 รวมทั้งสินค้าอาหารที่ส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9 ที่สำคัญได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลไม้สด แช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป และ ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป สำหรับกุ้งแช่แข็งและแปรรูปส่งออกเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.3 เนื่องจากราคาส่งออกลดลงร้อยละ 6.8 ขณะที่ปริมาณส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 สินค้าที่ส่งออกลดลงได้แก่ ข้าว (ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 30.0 และ 19.8) และ น้ำตาล (ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 37.1 และ 25.2) เนื่องจากปัญหาภัยแล้งทำให้ผลผลิตในประเทศลดลง ขณะที่ราคาส่งออกต่อหน่วยยังมีแนวโน้มสูงขึ้น
สินค้าอุตสาหกรรม ส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.4 สินค้าสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราสูง ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า ยานยนต์และส่วนประกอบ วัสดุก่อสร้าง อัญมณี ผลิตภัณฑ์ยาง สิ่งพิมพ์และกระดาษ และ เครื่องสำอาง สินค้าอื่น ๆ ที่ส่งออกเพิ่มขึ้นได้แก่ สิ่งทอ เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก เครื่องเดินทางและเครื่องหนัง เฟอร์นิเจอร์ และ ผลิตภัณฑ์เภสัช/เครื่องมือแพทย์ สินค้าที่ส่งออกลดลง ได้แก่ เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และ ของเล่น เนื่องจากปัญหาต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นและการแข่งขันด้านราคากับคู่แข่งที่มีราคาต่ำกว่า โดยเฉพาะจีน
การส่งออกในระยะ 11 เดือนแรกของปี 2548 (ม.ค.-พ.ย.) มีมูลค่า 101,437.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.2 โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 16.1 ขณะที่สินค้าเกษตรกรรม/อุตสาหกรรมการเกษตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7
สินค้าสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราสูง ได้แก่ สินค้าอาหารประเภทปลากระป๋องและแปรรูป ผัก ผลไม้สด กระป๋องและแปรรูป กุ้งแช่แข็งและไก่แปรรูป ยานยนต์ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติกวัสดุก่อสร้าง(เหล็กกล้า) อัญมณี ผลิตภัณฑ์ยาง สิ่งพิมพ์ กระดาษและบรรจุภัณฑ์ เครื่องสำอาง และ ผลิตภัณฑ์เภสัช เป็นต้น
สินค้าอื่น ๆ ที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพารา เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอ เครื่องเดินทางและเครื่องหนัง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้เครื่องประดับตกแต่งบ้าน เป็นต้น
สินค้าสำคัญที่ส่งออกลดลงส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตรซึ่งได้รับผลกระทบจากภัยแล้งและโรคระบาดสัตว์ ในขณะที่ราคาส่งออกต่อหน่วยมีแนวโน้มสูงขึ้น ทำให้มูลค่าการส่งออกรวมลดลงไม่มากนัก ได้แก่ ข้าว มันเม็ดและมันเส้น น้ำตาลทราย และ ไก่สดแช่แข็ง
ตลาดส่งออกสำคัญ
การส่งออกไปตลาดใหม่ขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราสูงถึงร้อยละ 23.9 ตลาดที่สำคัญและขยายตัวในอัตราสูง ได้แก่ อินเดีย (ร้อยละ 63.0) ลาตินอเมริกา (ร้อยละ 39.5) ออสเตรเลีย(ร้อยละ 36.5) จีน (ร้อยละ 28.6) และอินโดจีนและพม่า(ร้อยละ 26.1)
การส่งออกไปตลาดหลักขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.0 ได้แก่ ญี่ปุ่น อาเซียนและสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.2 , 11.8 และ 10.4 ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปสหภาพยุโรปขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราต่ำเพียงร้อยละ 4.0
2. การนำเข้า
การนำเข้าในเดือนพฤศจิกายน 2548 มีมูลค่า 9,786.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.7 และเทียบกับเดือนตุลาคม 2548 เพิ่มขึ้นร้อย 0.28
สินค้าที่มีมูลค่าการนำเข้าสูง ในเดือนพฤศจิกายน 2548 ได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง ทุน วัตถุดิบ/กึ่งสำเร็จรูป โดยการนำเข้าเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 48.8, 14.5 และ 5.0 ตามลำดับ สินค้านำเข้าที่สำคัญมี ดังนี้
- สินค้าเชื้อเพลิง นำเข้ามูลค่า 1,704 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 48.8 หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 17.4 ของมูลค่านำเข้ารวมในเดือนพฤศจิกายน 2548 โดยเป็นการนำเข้าน้ำมันดิบมูลค่า 1,366 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 52.8 (สัดส่วนร้อยละ 14 ของมูลค่านำเข้ารวม) และเป็นน้ำมันสำเร็จรูป นำเข้า มูลค่า 92 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 12.9 (สัดส่วนร้อยละ 0.9 ของมูลค่านำเข้ารวม)
สำหรับการนำเข้าน้ำมันดิบนั้น ในเดือนพฤศจิกายน 2548 มีปริมาณนำเข้าเฉลี่ย 0.79 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นจากเดือนตุลาคม ร้อยละ 1.01 แต่ยังคงต่ำกว่าปริมาณนำเข้าที่รัฐบาลกำหนดไว้ตามมาตรการบริหารการนำเข้า (0.85 ล้านบาร์เรลต่อวัน)
- เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 983 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของ ปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 (สัดส่วนร้อยละ 10.0 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 799 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.6 (สัดส่วนร้อยละ 8.2 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 616 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.0 (สัดส่วนร้อยละ 6.3 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ นำเข้ามูลค่า 658 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 2.4 (สัดส่วนร้อยละ 6.6 ของมูลค่านำเข้ารวม) โดยการบริหารการนำเข้าทำให้ปริมาณการนำเข้าเหล็กมีแนวโน้มลดลงจากเฉลี่ยเดือนละ 1.5 ล้านตันในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2548 โดยในเดือนพฤศจิกายนมีการนำเข้า 1.1 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนตุลาคม ร้อยละ 9.6 แต่เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 6.0
- ทองคำ นำเข้ามูลค่า 124 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 (สัดส่วนร้อยละ 1.3 ของมูลค่านำเข้ารวม) ปริมาณการนำเข้ามีแนวโน้มลดลงหลังจากมีมาตรการขอความร่วมมือให้ลดการนำเข้า โดยเดือนพฤศจิกายนมีการนำเข้า 9.0 ตัน ลดลงจากเดือนก่อน 3.8 ตัน
การนำเข้าในระยะ 11 เดือนแรกของปี 2548 (ม.ค.-พ.ย.) มีมูลค่า 108,634.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.5 เป็นการขยายตัวของการนำเข้าในทุกหมวด ที่สำคัญได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง สินค้าทุน และสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป เพิ่มขึ้นร้อยละ 65.2, 25.6 และ 16.6 ตามลำดับ
3. สรุปแนวโน้มการส่งออกและนำเข้าของปี 2548
แนวโน้มการส่งออกปี 2548 กรมส่งเสริมการส่งออกได้เชิญสมาคมและผู้ส่งออกสินค้าสำคัญมาประชุมหารือเมื่อวันที่ 14 — 15 ธันวาคม 2548 เพื่อประเมินและวิเคราะห์ถึงสถานการณ์และแนวโน้มการส่งออกของปี 2548 คาดว่า ทั้งปี 2548 จะสามารถส่งออกได้เป็นมูลค่าประมาณ 111,288 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ร้อยละ 15.3
แนวโน้มการนำเข้าปี 2548 จากการประชุมกับผู้นำเข้า รวม 6 กลุ่มสินค้า ได้แก่ น้ำมันดิบ เหล็ก ทองคำ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเคมีภัณฑ์ (คิดเป็นร้อยละ 45 ของมูลค่าการนำเข้ารวม) และการประชุมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ เพื่อขอความร่วมมือในการนำเข้าตามความจำเป็น และดูแลไม่ให้มีการการเก็งกำไรสินค้าทองคำ ทั้งนี้ คาดว่าการนำเข้าในเดือนธันวาคม 2548 จะมีแนวโน้มการนำเข้าสินค้าสำคัญ ดังนี้
- น้ำมันดิบ ราคาน้ำมันโลกยังคงผันผวน และมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามภาวะอากาศหนาวของยุโรปและสหรัฐอเมริกา และการประกาศปรับลดอัตรากำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC คาดว่าปริมาณนำเข้าน้ำมันดิบในเดือนธันวาคม 2548 ต่ำกว่าปริมาณ 0.85 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตามที่ให้ความร่วมมือไว้
- เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ การนำเข้าเดือนธันวาคม 2548 ผู้นำเข้าแจ้งแผนการนำเข้าไว้ปริมาณ 1.07 ล้านตัน ส่วนปี 2549 แนวโน้มการผลิตเหล็กในตลาดโลกคาดว่าจะอยู่ในภาวะทรงตัวใกล้เคียงกับปี 2548 เนื่องจากประเทศจีนซึ่งเป็นผู้ผลิตและบริโภคเหล็กรายใหญ่ของโลกมีนโยบายปิดโรงงานเหล็กขนาดเล็กที่ไม่มีประสิทธิภาพเพื่อปรับลดปริมาณการผลิตที่เกินความต้องการ แต่ขณะเดียวกันก็มีโรงงานผลิตเหล็กที่วางแผนการลงทุนไว้แล้ว ได้เพิ่มกำลังผลิตขึ้นทดแทนกำลังผลิตที่ปรับลดลง จึงคาดว่าราคาเหล็กในตลาดโลกในปี 2549 จะไม่แตกต่างไปจากราคาเหล็กใน ปี 2548 มากนัก ส่วนความต้องการใช้เหล็กภายในประเทศไทยคาดว่าจะขยายตัวตามอุตสาหกรรมที่ใช้เหล็กเป็นวัตถุดิบ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า การก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์และโครงการของรัฐฯ
- ทองคำ คาดว่าการนำเข้าในเดือนธันวาคม 2548 จะต่ำกว่า 12.0 ตัน ตามที่ผู้นำเข้าแจ้งแผนการนำเข้าไว้ ส่วนราคาทองคำแท่งตลาดนิวยอร์กเดือนธันวาคม 2548 อยู่ที่ 521.80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อออนซ์ ซึ่งมีสาเหตุมาจาก ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ความวิตกกังวลเรื่องเงินเฟ้อ และค่าของสกุลเงินหลักมีความผันผวน จึงมีการหันมาลงทุนทองคำแท่งเพื่อกระจายความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินสกุลหลักของโลก ได้แก่ ดอลลาร์ เยน และยูโร
- คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้ามาเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเพื่อส่งออกและไทยได้ดุลการค้าจากสินค้ากลุ่มนี้ตลอดมา สำหรับการนำเข้าในเดือนธันวาคม 2548 คาดว่าจะมีแนวโน้มการนำเข้าลดลงตามตัวเลขการใช้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบของเครื่องบันทึกข้อมูลที่เริ่มลดลง จึงคาดว่าเดือนธันวาคม 2548 จะนำเข้าประมาณ 433 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
- เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เป็นการนำเข้าเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตที่เป็นกิจการของตนเอง โดยเครื่องจักรที่นำเข้าส่วนใหญ่ไม่สามารถผลิตได้ภายในประเทศเพราะใช้เทคโนโลยีการผลิตสูง โดยคาดว่าเดือนธันวาคม 2548 จะนำเข้าประมาณ 931 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
- เคมีภัณฑ์ คาดว่าเดือนธันวาคมจะนำเข้าประมาณ 582 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนแนวโน้มการนำเข้าปี 2549 คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปี 2548 เนื่องจากเคมีภัณฑ์ที่นำเข้าใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น พลาสติก ฟิล์ม รองเท้า เครื่องสำอาง ปุ๋ยเคมี สี ยาปราบศัตรูพืช ปริมาณการนำเข้าจึงขึ้นอยู่กับการส่งออกและอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
- การนำเข้าสินค้าตามโครงการลงทุนขนาดใหญ่ จากการหารือและการแจ้งแผนการนำเข้าของ 17 หน่วยงาน พบว่า หน่วยงานแจ้งแผนนำเข้ามีมูลค่ารวม 250.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เช่น บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) นำเข้าเครื่องบินโดยสารมูลค่า 136.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) นำเข้าท่อส่งก๊าซ มีมูลค่า 71.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นต้น
4. ดุลการค้า เดือนพฤศจิกายน 2548 ไทยได้ดุลการค้า 55.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ดุลการค้าในระยะ 11 เดือนแรกของปี 2548 ขาดดุลรวม 7,197.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกของปี 2548 ซึ่งไทยขาดดุลการค้า 7,813.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จะเห็นได้ว่า ดุลการค้าของไทยมีแนวโน้มดีขึ้น เนื่องจากการส่งออกมีการขยายตัวในอัตราที่สูงกว่าช่วงต้นปี รวมทั้งมีการบริหารการนำเข้าทำให้การนำเข้าสินค้าสำคัญชะลอตัวลง โดยเฉพาะน้ำมันดิบ ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดมาตรการบริหารการนำเข้ามาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2548 ทำให้ปริมาณนำเข้าน้ำมันลดลงอย่างเห็นได้ชัดจากประมาณวันละ 0.92 ล้านบาร์เรลต่อวัน เหลือเพียง 0.79 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในปัจจุบัน
5. เป้าหมายการส่งออกปี 2549 กระทรวงพาณิชย์ได้มีการประชุมหารือกับผู้ส่งออกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (14-15 ธ.ค. 48) และได้กำหนดเป้าหมายการส่งออกปี 2549 ไว้ 130.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากประมาณการส่งออกมี 2548 ร้อยละ 17.5 ทั้งนี้ แม้ว่าในปี 2549 เศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าสำคัญ ๆ จะมีแนวโน้มชะลอตัวลง แต่ประเทศไทยได้มีการปรับยุทธศาสตร์และแผนงานสำคัญ ๆ ด้านการค้าระหว่างประเทศเป็นรายภูมิภาค โดยมีการจัดตั้งศูนย์ภูมิภาค (Regional Hub) ในตลาดสำคัญ ๆ 6 ศูนย์ คือ จีน อินเดีย อาเซียน เอเชียตะวันออก ยุโรป และอเมริกาเหนือ ซึ่งจะทำงานตามยุทธศาสตร์เป็นทีมระหว่างสำนักงานในภูมิภาคนั้น ๆ และส่วนกลาง รวมทั้งเพิ่มบทบาทเชิงรุกในด้านการค้าและการขยายธุรกิจไทยในต่างประเทศ โดยเน้นที่การขยายการค้าและธุรกิจด้านอาหาร ภัตตาคาร บริการสุขภาพของไทยในต่างประเทศ และการเพิ่มมูลค่าของสินค้าส่งออกสำคัญของไทย เป็นต้น ในขณะเดียวกัน จะมีการทบทวนยุทธศาสตร์การค้าภายในประเทศ โดยจะเน้นการเพิ่มขีดความสามารถให้แก่ธุรกิจและผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้ในสากล
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดเป้าหมายการขยายตัวของการส่งออกในแต่ละศูนย์ภูมิภาคไว้ โดย ศูนย์ภูมิภาคที่คาดว่าจะมีการขยายตัวในอัตราสูงได้แก่ อินเดีย จีน และอาเซียน ที่ร้อยละ 60.0 29.9 และ 18.7 ตามลำดับ สำหรับสาขาการส่งออกที่คาดว่าจะมีการขยายตัวมากที่สุดในปี 2549 คือสินค้าอุตสาหกรรม ที่ร้อยละ 20 ส่วนสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมเกษตร คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 8.9 สูงกว่าประมาณการปี 2548 ที่ร้อยละ 16.4 และ 6.6 ตามลำดับ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 10 มกราคม 2549--จบ--
1. การส่งออก
การส่งออกเดือนพฤศจิกายน 2548 มีมูลค่า 9,841.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.5 การส่งออกกลับมาขยายตัวอีกครั้ง หลังจากที่ชะลอตัวเป็นร้อยละ 8.4 ในเดือนตุลาคม โดยส่งออกเพิ่มขึ้นทั้งสินค้าอุตสาหกรรม และสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตร ซึ่งขยายตัวร้อยละ 15.4 และ 6.9 ตามลำดับ
สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตร สินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราสูง ได้แก่ ยางพาราและมันสำปะหลังซึ่งเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 27.3 และ 30.6 รวมทั้งสินค้าอาหารที่ส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9 ที่สำคัญได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลไม้สด แช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป และ ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป สำหรับกุ้งแช่แข็งและแปรรูปส่งออกเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.3 เนื่องจากราคาส่งออกลดลงร้อยละ 6.8 ขณะที่ปริมาณส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 สินค้าที่ส่งออกลดลงได้แก่ ข้าว (ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 30.0 และ 19.8) และ น้ำตาล (ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 37.1 และ 25.2) เนื่องจากปัญหาภัยแล้งทำให้ผลผลิตในประเทศลดลง ขณะที่ราคาส่งออกต่อหน่วยยังมีแนวโน้มสูงขึ้น
สินค้าอุตสาหกรรม ส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.4 สินค้าสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราสูง ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า ยานยนต์และส่วนประกอบ วัสดุก่อสร้าง อัญมณี ผลิตภัณฑ์ยาง สิ่งพิมพ์และกระดาษ และ เครื่องสำอาง สินค้าอื่น ๆ ที่ส่งออกเพิ่มขึ้นได้แก่ สิ่งทอ เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก เครื่องเดินทางและเครื่องหนัง เฟอร์นิเจอร์ และ ผลิตภัณฑ์เภสัช/เครื่องมือแพทย์ สินค้าที่ส่งออกลดลง ได้แก่ เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และ ของเล่น เนื่องจากปัญหาต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นและการแข่งขันด้านราคากับคู่แข่งที่มีราคาต่ำกว่า โดยเฉพาะจีน
การส่งออกในระยะ 11 เดือนแรกของปี 2548 (ม.ค.-พ.ย.) มีมูลค่า 101,437.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.2 โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 16.1 ขณะที่สินค้าเกษตรกรรม/อุตสาหกรรมการเกษตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7
สินค้าสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราสูง ได้แก่ สินค้าอาหารประเภทปลากระป๋องและแปรรูป ผัก ผลไม้สด กระป๋องและแปรรูป กุ้งแช่แข็งและไก่แปรรูป ยานยนต์ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติกวัสดุก่อสร้าง(เหล็กกล้า) อัญมณี ผลิตภัณฑ์ยาง สิ่งพิมพ์ กระดาษและบรรจุภัณฑ์ เครื่องสำอาง และ ผลิตภัณฑ์เภสัช เป็นต้น
สินค้าอื่น ๆ ที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพารา เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอ เครื่องเดินทางและเครื่องหนัง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้เครื่องประดับตกแต่งบ้าน เป็นต้น
สินค้าสำคัญที่ส่งออกลดลงส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตรซึ่งได้รับผลกระทบจากภัยแล้งและโรคระบาดสัตว์ ในขณะที่ราคาส่งออกต่อหน่วยมีแนวโน้มสูงขึ้น ทำให้มูลค่าการส่งออกรวมลดลงไม่มากนัก ได้แก่ ข้าว มันเม็ดและมันเส้น น้ำตาลทราย และ ไก่สดแช่แข็ง
ตลาดส่งออกสำคัญ
การส่งออกไปตลาดใหม่ขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราสูงถึงร้อยละ 23.9 ตลาดที่สำคัญและขยายตัวในอัตราสูง ได้แก่ อินเดีย (ร้อยละ 63.0) ลาตินอเมริกา (ร้อยละ 39.5) ออสเตรเลีย(ร้อยละ 36.5) จีน (ร้อยละ 28.6) และอินโดจีนและพม่า(ร้อยละ 26.1)
การส่งออกไปตลาดหลักขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.0 ได้แก่ ญี่ปุ่น อาเซียนและสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.2 , 11.8 และ 10.4 ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปสหภาพยุโรปขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราต่ำเพียงร้อยละ 4.0
2. การนำเข้า
การนำเข้าในเดือนพฤศจิกายน 2548 มีมูลค่า 9,786.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.7 และเทียบกับเดือนตุลาคม 2548 เพิ่มขึ้นร้อย 0.28
สินค้าที่มีมูลค่าการนำเข้าสูง ในเดือนพฤศจิกายน 2548 ได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง ทุน วัตถุดิบ/กึ่งสำเร็จรูป โดยการนำเข้าเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 48.8, 14.5 และ 5.0 ตามลำดับ สินค้านำเข้าที่สำคัญมี ดังนี้
- สินค้าเชื้อเพลิง นำเข้ามูลค่า 1,704 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 48.8 หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 17.4 ของมูลค่านำเข้ารวมในเดือนพฤศจิกายน 2548 โดยเป็นการนำเข้าน้ำมันดิบมูลค่า 1,366 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 52.8 (สัดส่วนร้อยละ 14 ของมูลค่านำเข้ารวม) และเป็นน้ำมันสำเร็จรูป นำเข้า มูลค่า 92 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 12.9 (สัดส่วนร้อยละ 0.9 ของมูลค่านำเข้ารวม)
สำหรับการนำเข้าน้ำมันดิบนั้น ในเดือนพฤศจิกายน 2548 มีปริมาณนำเข้าเฉลี่ย 0.79 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นจากเดือนตุลาคม ร้อยละ 1.01 แต่ยังคงต่ำกว่าปริมาณนำเข้าที่รัฐบาลกำหนดไว้ตามมาตรการบริหารการนำเข้า (0.85 ล้านบาร์เรลต่อวัน)
- เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 983 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของ ปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 (สัดส่วนร้อยละ 10.0 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 799 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.6 (สัดส่วนร้อยละ 8.2 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 616 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.0 (สัดส่วนร้อยละ 6.3 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ นำเข้ามูลค่า 658 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 2.4 (สัดส่วนร้อยละ 6.6 ของมูลค่านำเข้ารวม) โดยการบริหารการนำเข้าทำให้ปริมาณการนำเข้าเหล็กมีแนวโน้มลดลงจากเฉลี่ยเดือนละ 1.5 ล้านตันในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2548 โดยในเดือนพฤศจิกายนมีการนำเข้า 1.1 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนตุลาคม ร้อยละ 9.6 แต่เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 6.0
- ทองคำ นำเข้ามูลค่า 124 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 (สัดส่วนร้อยละ 1.3 ของมูลค่านำเข้ารวม) ปริมาณการนำเข้ามีแนวโน้มลดลงหลังจากมีมาตรการขอความร่วมมือให้ลดการนำเข้า โดยเดือนพฤศจิกายนมีการนำเข้า 9.0 ตัน ลดลงจากเดือนก่อน 3.8 ตัน
การนำเข้าในระยะ 11 เดือนแรกของปี 2548 (ม.ค.-พ.ย.) มีมูลค่า 108,634.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.5 เป็นการขยายตัวของการนำเข้าในทุกหมวด ที่สำคัญได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง สินค้าทุน และสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป เพิ่มขึ้นร้อยละ 65.2, 25.6 และ 16.6 ตามลำดับ
3. สรุปแนวโน้มการส่งออกและนำเข้าของปี 2548
แนวโน้มการส่งออกปี 2548 กรมส่งเสริมการส่งออกได้เชิญสมาคมและผู้ส่งออกสินค้าสำคัญมาประชุมหารือเมื่อวันที่ 14 — 15 ธันวาคม 2548 เพื่อประเมินและวิเคราะห์ถึงสถานการณ์และแนวโน้มการส่งออกของปี 2548 คาดว่า ทั้งปี 2548 จะสามารถส่งออกได้เป็นมูลค่าประมาณ 111,288 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ร้อยละ 15.3
แนวโน้มการนำเข้าปี 2548 จากการประชุมกับผู้นำเข้า รวม 6 กลุ่มสินค้า ได้แก่ น้ำมันดิบ เหล็ก ทองคำ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเคมีภัณฑ์ (คิดเป็นร้อยละ 45 ของมูลค่าการนำเข้ารวม) และการประชุมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ เพื่อขอความร่วมมือในการนำเข้าตามความจำเป็น และดูแลไม่ให้มีการการเก็งกำไรสินค้าทองคำ ทั้งนี้ คาดว่าการนำเข้าในเดือนธันวาคม 2548 จะมีแนวโน้มการนำเข้าสินค้าสำคัญ ดังนี้
- น้ำมันดิบ ราคาน้ำมันโลกยังคงผันผวน และมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามภาวะอากาศหนาวของยุโรปและสหรัฐอเมริกา และการประกาศปรับลดอัตรากำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC คาดว่าปริมาณนำเข้าน้ำมันดิบในเดือนธันวาคม 2548 ต่ำกว่าปริมาณ 0.85 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตามที่ให้ความร่วมมือไว้
- เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ การนำเข้าเดือนธันวาคม 2548 ผู้นำเข้าแจ้งแผนการนำเข้าไว้ปริมาณ 1.07 ล้านตัน ส่วนปี 2549 แนวโน้มการผลิตเหล็กในตลาดโลกคาดว่าจะอยู่ในภาวะทรงตัวใกล้เคียงกับปี 2548 เนื่องจากประเทศจีนซึ่งเป็นผู้ผลิตและบริโภคเหล็กรายใหญ่ของโลกมีนโยบายปิดโรงงานเหล็กขนาดเล็กที่ไม่มีประสิทธิภาพเพื่อปรับลดปริมาณการผลิตที่เกินความต้องการ แต่ขณะเดียวกันก็มีโรงงานผลิตเหล็กที่วางแผนการลงทุนไว้แล้ว ได้เพิ่มกำลังผลิตขึ้นทดแทนกำลังผลิตที่ปรับลดลง จึงคาดว่าราคาเหล็กในตลาดโลกในปี 2549 จะไม่แตกต่างไปจากราคาเหล็กใน ปี 2548 มากนัก ส่วนความต้องการใช้เหล็กภายในประเทศไทยคาดว่าจะขยายตัวตามอุตสาหกรรมที่ใช้เหล็กเป็นวัตถุดิบ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า การก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์และโครงการของรัฐฯ
- ทองคำ คาดว่าการนำเข้าในเดือนธันวาคม 2548 จะต่ำกว่า 12.0 ตัน ตามที่ผู้นำเข้าแจ้งแผนการนำเข้าไว้ ส่วนราคาทองคำแท่งตลาดนิวยอร์กเดือนธันวาคม 2548 อยู่ที่ 521.80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อออนซ์ ซึ่งมีสาเหตุมาจาก ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ความวิตกกังวลเรื่องเงินเฟ้อ และค่าของสกุลเงินหลักมีความผันผวน จึงมีการหันมาลงทุนทองคำแท่งเพื่อกระจายความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินสกุลหลักของโลก ได้แก่ ดอลลาร์ เยน และยูโร
- คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้ามาเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเพื่อส่งออกและไทยได้ดุลการค้าจากสินค้ากลุ่มนี้ตลอดมา สำหรับการนำเข้าในเดือนธันวาคม 2548 คาดว่าจะมีแนวโน้มการนำเข้าลดลงตามตัวเลขการใช้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบของเครื่องบันทึกข้อมูลที่เริ่มลดลง จึงคาดว่าเดือนธันวาคม 2548 จะนำเข้าประมาณ 433 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
- เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เป็นการนำเข้าเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตที่เป็นกิจการของตนเอง โดยเครื่องจักรที่นำเข้าส่วนใหญ่ไม่สามารถผลิตได้ภายในประเทศเพราะใช้เทคโนโลยีการผลิตสูง โดยคาดว่าเดือนธันวาคม 2548 จะนำเข้าประมาณ 931 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
- เคมีภัณฑ์ คาดว่าเดือนธันวาคมจะนำเข้าประมาณ 582 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนแนวโน้มการนำเข้าปี 2549 คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปี 2548 เนื่องจากเคมีภัณฑ์ที่นำเข้าใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น พลาสติก ฟิล์ม รองเท้า เครื่องสำอาง ปุ๋ยเคมี สี ยาปราบศัตรูพืช ปริมาณการนำเข้าจึงขึ้นอยู่กับการส่งออกและอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
- การนำเข้าสินค้าตามโครงการลงทุนขนาดใหญ่ จากการหารือและการแจ้งแผนการนำเข้าของ 17 หน่วยงาน พบว่า หน่วยงานแจ้งแผนนำเข้ามีมูลค่ารวม 250.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เช่น บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) นำเข้าเครื่องบินโดยสารมูลค่า 136.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) นำเข้าท่อส่งก๊าซ มีมูลค่า 71.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นต้น
4. ดุลการค้า เดือนพฤศจิกายน 2548 ไทยได้ดุลการค้า 55.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ดุลการค้าในระยะ 11 เดือนแรกของปี 2548 ขาดดุลรวม 7,197.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกของปี 2548 ซึ่งไทยขาดดุลการค้า 7,813.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จะเห็นได้ว่า ดุลการค้าของไทยมีแนวโน้มดีขึ้น เนื่องจากการส่งออกมีการขยายตัวในอัตราที่สูงกว่าช่วงต้นปี รวมทั้งมีการบริหารการนำเข้าทำให้การนำเข้าสินค้าสำคัญชะลอตัวลง โดยเฉพาะน้ำมันดิบ ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดมาตรการบริหารการนำเข้ามาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2548 ทำให้ปริมาณนำเข้าน้ำมันลดลงอย่างเห็นได้ชัดจากประมาณวันละ 0.92 ล้านบาร์เรลต่อวัน เหลือเพียง 0.79 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในปัจจุบัน
5. เป้าหมายการส่งออกปี 2549 กระทรวงพาณิชย์ได้มีการประชุมหารือกับผู้ส่งออกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (14-15 ธ.ค. 48) และได้กำหนดเป้าหมายการส่งออกปี 2549 ไว้ 130.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากประมาณการส่งออกมี 2548 ร้อยละ 17.5 ทั้งนี้ แม้ว่าในปี 2549 เศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าสำคัญ ๆ จะมีแนวโน้มชะลอตัวลง แต่ประเทศไทยได้มีการปรับยุทธศาสตร์และแผนงานสำคัญ ๆ ด้านการค้าระหว่างประเทศเป็นรายภูมิภาค โดยมีการจัดตั้งศูนย์ภูมิภาค (Regional Hub) ในตลาดสำคัญ ๆ 6 ศูนย์ คือ จีน อินเดีย อาเซียน เอเชียตะวันออก ยุโรป และอเมริกาเหนือ ซึ่งจะทำงานตามยุทธศาสตร์เป็นทีมระหว่างสำนักงานในภูมิภาคนั้น ๆ และส่วนกลาง รวมทั้งเพิ่มบทบาทเชิงรุกในด้านการค้าและการขยายธุรกิจไทยในต่างประเทศ โดยเน้นที่การขยายการค้าและธุรกิจด้านอาหาร ภัตตาคาร บริการสุขภาพของไทยในต่างประเทศ และการเพิ่มมูลค่าของสินค้าส่งออกสำคัญของไทย เป็นต้น ในขณะเดียวกัน จะมีการทบทวนยุทธศาสตร์การค้าภายในประเทศ โดยจะเน้นการเพิ่มขีดความสามารถให้แก่ธุรกิจและผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้ในสากล
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดเป้าหมายการขยายตัวของการส่งออกในแต่ละศูนย์ภูมิภาคไว้ โดย ศูนย์ภูมิภาคที่คาดว่าจะมีการขยายตัวในอัตราสูงได้แก่ อินเดีย จีน และอาเซียน ที่ร้อยละ 60.0 29.9 และ 18.7 ตามลำดับ สำหรับสาขาการส่งออกที่คาดว่าจะมีการขยายตัวมากที่สุดในปี 2549 คือสินค้าอุตสาหกรรม ที่ร้อยละ 20 ส่วนสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมเกษตร คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 8.9 สูงกว่าประมาณการปี 2548 ที่ร้อยละ 16.4 และ 6.6 ตามลำดับ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 10 มกราคม 2549--จบ--