เรื่อง หลักเกณฑ์การกู้ยืมเงิน การถือหุ้นหรือการเข้าเป็นหุ้นส่วน การเข้าร่วมทุนในกิจการของนิติบุคคลอื่น
การจำหน่ายทรัพย์สินจากบัญชีเป็นสูญขององค์การมหาชน
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้
1. หลักเกณฑ์ในการกู้ยืมเงินขององค์การมหาชน
2. แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการถือหุ้นหรือการเข้าเป็นหุ้นส่วน การเข้าร่วมทุนในกิจการของนิติบุคคลอื่นขององค์การมหาชน
3. หลักเกณฑ์การจำหน่ายทรัพย์สินจากบัญชีเป็นสูญขององค์การมหาชน
ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาด้วย
สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอว่า
1. โดยที่มาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 บัญญัติให้การกู้ยืมเงิน การถือหุ้นหรือการเข้าเป็นหุ้นส่วน การเข้าร่วมทุนในกิจการของนิติบุคคลอื่น การจำหน่ายทรัพย์สินจากบัญชีเป็นสูญ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
2. สืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรี (24 มีนาคม 2552) สำนักงาน ก.พ.ร. ได้จัดทำหลักเกณฑ์ดังกล่าว และนำหลักเกณฑ์เสนอต่อ อ.ก.พ.ร. เกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาองค์การมหาชนและองค์กรรูปแบบอื่นในกำกับของราชการฝ่ายบริหารที่มิใช่ส่วนราชการ และเสนอ ก.พ.ร. เพื่อพิจารณาแล้ว ซึ่งในการประชุม ก.พ.ร. ครั้งที่ 3/2552 เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2552 ได้มีมติ ดังนี้
2.1 หลักเกณฑ์ในการกู้ยืมเงินขององค์การมหาชน เห็นชอบตามหลักเกณฑ์ที่ อ.ก.พ.ร. เสนอ แต่ให้กำหนดยอดเงินกู้คงค้างต้องไม่เกินร้อยละห้าของเงินทุน ทั้งนี้ ยอดเงินกู้คงค้างต้องไม่เกินห้าล้านบาท
2.2 หลักเกณฑ์การถือหุ้นหรือการเข้าเป็นหุ้นส่วน และหลักเกณฑ์การเข้าร่วมทุนในกิจการของนิติบุคคลอื่น ไม่สมควรกำหนดเป็นหลักเกณฑ์กลาง แต่ให้กำหนดเป็นแนวปฏิบัติว่า หากองค์การมหาชนแห่งใดประสงค์จะถือหุ้น เข้าเป็นหุ้นส่วนหรือเข้าร่วมทุนในกิจการของนิติบุคคลอื่นให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติเป็นรายกรณีๆ ไป
2.3 หลักเกณฑ์การจำหน่ายทรัพย์สินจากบัญชีเป็นสูญขององค์การมหาชน เห็นชอบตามหลักเกณฑ์ที่ อ.ก.พ.ร.เสนอ และให้เพิ่มเติมการคงความรับผิดชอบทางหนี้ของลูกหนี้และองค์การมหาชนต้องดำเนินการฟ้องร้องจนกว่าคดีถึงที่สุด รวมทั้งให้คงรายการของทรัพย์สินที่มีมูลค่าเป็นสูญไว้ในบัญชีทรัพย์สินขององค์การมหาชนจนกว่าจะมีการอนุมัติให้จำหน่ายออกจากบัญชี
สาระสำคัญของเรื่อง
1. หลักเกณฑ์ในการกู้ยืมเงินขององค์การมหาชน
1.1 กำหนดนิยามคำว่า “การกู้ยืมเงิน” และ “เงินทุน”
1.2 กำหนดหลักเกณฑ์การกู้ยืมเงินขององค์การมหาชน เช่น
- สามารถกระทำได้ต่อเมื่อได้มีการบัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง
- จะต้องนำไปใช้ในกิจการตามวัตถุประสงค์ขององค์การเป็นหลัก
- คณะกรรมการต้องรับผิดชอบในกรณีเกิดผลเสียหายเนื่องมาจากการกู้ยืมเงิน
- ต้องเป็นการกู้เงินเพื่อนำไปใช้เป็นทุนหมุนเวียน
- ยอดเงินกู้คงค้างต้องไม่เกินร้อยละห้าของเงินกองทุน ทั้งนี้ ยอดเงินกู้คงค้างต้องไม่เกินห้าล้านบาท
- กู้ยืมเงินได้เฉพาะจากธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจหรือธนาคารพาณิชย์ที่กระทรวงการคลังเห็นชอบ (ข้อ 1 - ข้อ 8)
2. การถือหุ้นหรือการเข้าเป็นหุ้นส่วน การเข้าร่วมทุนในกิจการของนิติบุคคลอื่นขององค์การมหาชน (โดยไม่กำหนดเป็นหลักเกณฑ์กลาง แต่กำหนดเป็นแนวทางปฏิบัติไว้)
2.1 กำหนดนิยามคำว่า “การถือหุ้น” “การเข้าเป็นหุ้นส่วน” “การเข้าร่วมทุน” “การร่วมทุนโดยทำสัญญา” “การร่วมทุนโดยการถือหุ้น” “การร่วมลงทุน” และ “เงินทุน”
2.2 กำหนดแนวทางปฏิบัติการถือหุ้นหรือการเข้าเป็นหุ้นส่วน การเข้าร่วมทุนในกิจการของนิติบุคคลอื่นขององค์การมหาชน เช่น
- สามารถกระทำได้ต่อเมื่อได้มีการบัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง
- จะต้องเป็นไปตามภารกิจขององค์การมหาชนนั้นเป็นหลัก
- ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติเป็นรายกรณี ๆ ไป (ข้อ 1 — ข้อ 4)
3. หลักเกณฑ์การจำหน่ายทรัพย์สินจากบัญชีเป็นสูญขององค์การมหาชน
3.1 กำหนดนิยามคำว่า “พัสดุ” “วัสดุ” “ครุภัณฑ์” “ผู้ดูแลลูกหนี้” และ “เงินสำรองหนี้สูญ”
3.2 กำหนดหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญ เช่น
- ต้องมีการกันสำรองหนี้สูญ
- ต้องมีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบหนี้สูญ
- ให้คงความรับผิดชอบทางหนี้ และต้องดำเนินการฟ้องร้องจนกว่าคดีถึงที่สุด (ข้อ 1 — ข้อ 7)
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 23 มิถุนายน 2552 --จบ--