คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2549 และเห็นชอบให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) ทดรองจ่ายให้กับสถาบันเกษตรกรก่อน ตามจำนวนที่รัฐบาลต้องจ่ายชดเชยให้กับสถาบันเกษตรกร และเห็นชอบหลักการเงินงบกลางปีงบประมาณ 2549 ตามจำนวนที่ดำเนินการได้จริง เพื่อจ่ายคืนให้กับ กฟก. โดยตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเมื่อมีการเบิกจ่าย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2549 สรุปสาระสำคัญดังนี้
1. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาความเหมาะสมการโอนหนี้สมาชิกสถาบันเกษตรกรไปอยู่ที่ กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.)
2. คณะกรรมการตามข้อ 1 ได้ประชุมเพื่อพิจารณาแนวทางการดำเนินการจ่ายเงินชดเชยดังกล่าว เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2549 สรุปได้ดังนี้
(1) ขอความร่วมมือจากกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ตรวจสอบหนี้ของสมาชิกที่ได้ขึ้นทะเบียนหนี้ไว้กับ กฟก. ภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2548 และเป็นหนี้เสียภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2548 ตามรายชื่อที่ได้รับจาก กฟก. จำนวน 3,657 ราย ซึ่ง กฟก. ได้พิจารณารับรองให้ได้รับสิทธิการจัดการหนี้แล้ว โดยให้กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ดำเนินการตรวจสอบความมีอยู่จริงของหนี้และเป็นหนี้เสียตามเงื่อนไขหรือไม่ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้เสร็จภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2549 โดย กฟก. รับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้กับกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ในการดำเนินการครั้งนี้ เพื่อให้ กฟก. เข้าไปรับโอนหนี้สมาชิกจากสถาบันเกษตรกรให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2549
(2) ให้ กฟก. ทดรองจ่ายเงินในส่วนที่รัฐบาลจะจ่ายชดเชยให้กับสถาบันเกษตรกรไปก่อน เพื่อจูงใจให้สถาบันเกษตรกรโอนหนี้สมาชิกเร็วขึ้น โดยให้กรมส่งเสริมสหกรณ์เสนอขอเปลี่ยนแปลงมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2549 ดังกล่าว และขอใช้งบประมาณจากเงินงบกลางปี 2549 เบิกจ่ายคืนให้กับ กฟก. แทนสถาบันเกษตรกรตามจำนวนที่ กฟก. ได้จ่ายไปจริงต่อไป
(3) สำหรับกรณีที่สถาบันเกษตรกรเจ้าหนี้โต้แย้งเกี่ยวกับพฤติกรรมของสมาชิกรายที่มีสิทธิได้รับการจัดการหนี้ว่า ไม่ใช่คนจนจริงหรือบิดพลิ้วไม่ยอมชำระหนี้ กฟก. ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาข้อโต้แย้งดังกล่าว โดยมีองค์ประกอบจาก 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายกฎหมายของ กฟก.ส่วนกลาง หัวหน้าจัดการหนี้ กฟก. สาขาจังหวัด และสถาบันเกษตรกรเจ้าหนี้ แล้วรายงานผลให้คณะกรรมการจัดการหนี้ของเกษตรกรพิจารณาชี้ขาดสำหรับผลการรับโอนหนี้ของ กฟก.
กฟก. ดำเนินการรับโอนหนี้แล้ว รวม 5 จังหวัด 12 สหกรณ์ สมาชิก 77 ราย ดังนี้
(1) จังหวัดเชียงใหม่ 8 สหกรณ์ สมาชิก 37 ราย
(2) จังหวัดชัยนาท 1 สหกรณ์ สมาชิก 23 ราย
(3) จังหวัดอ่างทอง 1 สหกรณ์ สมาชิก 14 ราย
(4) จังหวัดขอนแก่น 1 สหกรณ์ สมาชิก 1 ราย
(5) จังหวัดนครราชสีมา 1 สหกรณ์ สมาชิก 2 ราย
ซึ่งจะเห็นได้ว่าการรับโอนหนี้ของ กฟก. มีผลน้อยมาก เพียงร้อยละ 2.11 ของสมาชิกกลุ่มเป้าหมายที่ กฟก. ยืนยันแล้วว่า มีจำนวน 3,657 ราย ที่จะได้รับการจัดการหนี้ตามวิธีการนี้ อันมีผลมาจากสถาบันเกษตรกรขาดความมั่นใจในระยะเวลาที่จะได้รับเงินชดเชย เนื่องจากสถาบันเกษตรกรต้องกู้เงินจากภายนอกหรือนำเงินฝากของสมาชิกรายอื่นเป็นทุนให้สมาชิกกู้ยืม จึงมีภาระที่จะต้องจ่ายคืน อีกทั้ง สถาบันเกษตรกรส่วนใหญ่ต้องการเงินชดเชยทันทีที่มีการโอนหนี้สมาชิกไปอยู่ที่ กฟก.
ดังนั้น หากให้ กฟก. ทดรองจ่ายเงินให้กับสถาบันเกษตรไปก่อนทันทีที่มีการโอนหนี้ จะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับสถาบันเกษตรกร จูงใจให้สถาบันเกษตรกรต้องการโอนหนี้สมาชิกมากขึ้น ประกอบกับ กฟก. เอง ก็มีความพร้อมที่จะทดรองจ่ายให้กับสถาบันเกษตรกรไปก่อนอยู่แล้ว โดยประโยชน์ที่จะได้รับ (1) ช่วยเหลือให้เกษตรกรผู้ยากจนได้รับการจัดการหนี้โดยเร็ว สร้างโอกาสให้ได้รับการฟื้นฟูอาชีพใหม่กับ กฟก. ส่งผลให้ชีวิตและครอบครัวมี ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น (2) สถาบันเกษตรกรได้รับการแก้ปัญหาหนี้เสีย (NPLs) มีเงินทุนหมุนเวียนมากขึ้น และ (3) นโยบาย การจัดการหนี้ของ กฟก. บรรลุผลเร็วขึ้น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) (รักษาการนายกรัฐมนตรี) วันที่ 8 สิงหาคม 2549--จบ--
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2549 สรุปสาระสำคัญดังนี้
1. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาความเหมาะสมการโอนหนี้สมาชิกสถาบันเกษตรกรไปอยู่ที่ กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.)
2. คณะกรรมการตามข้อ 1 ได้ประชุมเพื่อพิจารณาแนวทางการดำเนินการจ่ายเงินชดเชยดังกล่าว เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2549 สรุปได้ดังนี้
(1) ขอความร่วมมือจากกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ตรวจสอบหนี้ของสมาชิกที่ได้ขึ้นทะเบียนหนี้ไว้กับ กฟก. ภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2548 และเป็นหนี้เสียภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2548 ตามรายชื่อที่ได้รับจาก กฟก. จำนวน 3,657 ราย ซึ่ง กฟก. ได้พิจารณารับรองให้ได้รับสิทธิการจัดการหนี้แล้ว โดยให้กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ดำเนินการตรวจสอบความมีอยู่จริงของหนี้และเป็นหนี้เสียตามเงื่อนไขหรือไม่ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้เสร็จภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2549 โดย กฟก. รับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้กับกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ในการดำเนินการครั้งนี้ เพื่อให้ กฟก. เข้าไปรับโอนหนี้สมาชิกจากสถาบันเกษตรกรให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2549
(2) ให้ กฟก. ทดรองจ่ายเงินในส่วนที่รัฐบาลจะจ่ายชดเชยให้กับสถาบันเกษตรกรไปก่อน เพื่อจูงใจให้สถาบันเกษตรกรโอนหนี้สมาชิกเร็วขึ้น โดยให้กรมส่งเสริมสหกรณ์เสนอขอเปลี่ยนแปลงมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2549 ดังกล่าว และขอใช้งบประมาณจากเงินงบกลางปี 2549 เบิกจ่ายคืนให้กับ กฟก. แทนสถาบันเกษตรกรตามจำนวนที่ กฟก. ได้จ่ายไปจริงต่อไป
(3) สำหรับกรณีที่สถาบันเกษตรกรเจ้าหนี้โต้แย้งเกี่ยวกับพฤติกรรมของสมาชิกรายที่มีสิทธิได้รับการจัดการหนี้ว่า ไม่ใช่คนจนจริงหรือบิดพลิ้วไม่ยอมชำระหนี้ กฟก. ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาข้อโต้แย้งดังกล่าว โดยมีองค์ประกอบจาก 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายกฎหมายของ กฟก.ส่วนกลาง หัวหน้าจัดการหนี้ กฟก. สาขาจังหวัด และสถาบันเกษตรกรเจ้าหนี้ แล้วรายงานผลให้คณะกรรมการจัดการหนี้ของเกษตรกรพิจารณาชี้ขาดสำหรับผลการรับโอนหนี้ของ กฟก.
กฟก. ดำเนินการรับโอนหนี้แล้ว รวม 5 จังหวัด 12 สหกรณ์ สมาชิก 77 ราย ดังนี้
(1) จังหวัดเชียงใหม่ 8 สหกรณ์ สมาชิก 37 ราย
(2) จังหวัดชัยนาท 1 สหกรณ์ สมาชิก 23 ราย
(3) จังหวัดอ่างทอง 1 สหกรณ์ สมาชิก 14 ราย
(4) จังหวัดขอนแก่น 1 สหกรณ์ สมาชิก 1 ราย
(5) จังหวัดนครราชสีมา 1 สหกรณ์ สมาชิก 2 ราย
ซึ่งจะเห็นได้ว่าการรับโอนหนี้ของ กฟก. มีผลน้อยมาก เพียงร้อยละ 2.11 ของสมาชิกกลุ่มเป้าหมายที่ กฟก. ยืนยันแล้วว่า มีจำนวน 3,657 ราย ที่จะได้รับการจัดการหนี้ตามวิธีการนี้ อันมีผลมาจากสถาบันเกษตรกรขาดความมั่นใจในระยะเวลาที่จะได้รับเงินชดเชย เนื่องจากสถาบันเกษตรกรต้องกู้เงินจากภายนอกหรือนำเงินฝากของสมาชิกรายอื่นเป็นทุนให้สมาชิกกู้ยืม จึงมีภาระที่จะต้องจ่ายคืน อีกทั้ง สถาบันเกษตรกรส่วนใหญ่ต้องการเงินชดเชยทันทีที่มีการโอนหนี้สมาชิกไปอยู่ที่ กฟก.
ดังนั้น หากให้ กฟก. ทดรองจ่ายเงินให้กับสถาบันเกษตรไปก่อนทันทีที่มีการโอนหนี้ จะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับสถาบันเกษตรกร จูงใจให้สถาบันเกษตรกรต้องการโอนหนี้สมาชิกมากขึ้น ประกอบกับ กฟก. เอง ก็มีความพร้อมที่จะทดรองจ่ายให้กับสถาบันเกษตรกรไปก่อนอยู่แล้ว โดยประโยชน์ที่จะได้รับ (1) ช่วยเหลือให้เกษตรกรผู้ยากจนได้รับการจัดการหนี้โดยเร็ว สร้างโอกาสให้ได้รับการฟื้นฟูอาชีพใหม่กับ กฟก. ส่งผลให้ชีวิตและครอบครัวมี ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น (2) สถาบันเกษตรกรได้รับการแก้ปัญหาหนี้เสีย (NPLs) มีเงินทุนหมุนเวียนมากขึ้น และ (3) นโยบาย การจัดการหนี้ของ กฟก. บรรลุผลเร็วขึ้น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) (รักษาการนายกรัฐมนตรี) วันที่ 8 สิงหาคม 2549--จบ--