การขับเคลื่อนสถาบันการเงินเฉพาะกิจเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday August 6, 2009 14:50 —มติคณะรัฐมนตรี

คณะรัฐมนตรีรับทราบเป้าหมายสินเชื่อใหม่ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ และแนวทางการแยกบัญชี ธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานของสถาบันการเงิน เฉพาะกิจในการทำหน้าที่เป็นกลไกของรัฐเพื่อฟื้นฟูและช่วยเหลือกลุ่มประชาชนและธุรกิจเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้

1. เป้าการอนุมัติสินเชื่อใหม่ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ สถาบันการเงินเฉพาะกิจได้ปรับเพิ่มเป้าหมายการอนุมัติการปล่อยสินเชื่อจากเป้าหมายเดิมที่กำหนดไว้ที่ 625,500 ล้านบาท อีก 301,500 ล้านบาท รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 927,000 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้

ตารางสรุปการปรับปรุงเป้าการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ

SFIs                              เป้าการอนุมัติ    เป้าการอนุมัติสินเชื่อเพิ่มเติม     เป้าการอนุมัติ
                                    สินเชื่อเดิม          เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ       สินเชื่อใหม่
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์            323,000                  147,000        470,000
การเกษตร*
ธนาคารออมสิน                          162,600                   80,000        242,600
ธนาคารอาคารสงเคราะห์                   73,500                   26,500        100,000
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลาง              26,000                   17,500         43,500
และขนาดย่อมแห่งประเทศไทย
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า             19,700                   17,500         37,200
แห่งประเทศไทย
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย               20,700                   13,000         33,700
รวม                                  625,500                  301,500        927,000
หมายเหตุ * ปีบัญชี ธ.ก.ส. เริ่มวันที่ 1 เมษายน — 31 มีนาคม

กระทรวงการคลังได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจจะเร่งการอนุมัติสินเชื่อเพิ่มอีก 301,500 ล้านบาท รวมเป็นเป้าการอนุมัติสินเชื่อ 927,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับการอนุมัติสินเชื่อของธนาคารกรุงไทยจำกัด (มหาชน) ซึ่งก็จะขยายการอนุมัติสินเชื่อเพิ่มอีก 50,000 ล้านบาท รวมเป็น 350,000 ล้านบาทนั้น จะสามารถทดแทนการอนุมัติสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ที่ลดลงได้อย่างเพียงพอ

2. การแยกบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการกำกับดูแล การตรวจสอบ และการประเมินผลการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจในการทำหน้าที่เป็นกลไกของรัฐเพื่อฟื้นฟูและช่วยเหลือกลุ่มประชาชนและธุรกิจเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในกลุ่มเป้าหมายที่มีวัตถุประสงค์ทางด้านเศรษฐกิจ เช่น ภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรม บริการและการส่งออก เป็นต้น หรือด้านสังคม เช่น มีผลช่วยลดปัญหาการว่างงานและปัญหาสังคมต่าง ๆ เป็นต้น โดยรัฐบาลให้การสนับสนุนทางการเงินเฉพาะธุรกรรมที่เป็นนโยบายรัฐในจำนวนและรูปแบบที่เหมาะสมและประหยัด จึงเห็นควรให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจแยกบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) ออกจากธุรกรรมเชิงพาณิชย์ โดยมีหลักการที่สำคัญดังนี้

2.1 วัตถุประสงค์ของการดำเนินโครงการแยกบัญชีฯ

2.1.1 เพื่อให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจสามารถดำเนินงานอย่างมั่นคงและยั่งยืนด้วยตนเองในระยะยาว (Self - sustainability) และสามารถดำเนินธุรกรรมนโยบายรัฐเพื่อฟื้นฟูหรือช่วยเหลือกลุ่มประชาชนและธุรกิจเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยรัฐบาลให้การสนับสนุนทางการเงินเฉพาะธุรกรรมที่เป็นนโยบายรัฐในจำนวนและรูปแบบที่เหมาะสมและประหยัด

2.1.2 เพื่อให้กระทรวงการคลังสามารถกำกับ ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจสำหรับการดำเนินธุรกรรมตามนโยบายรัฐและธุรกรรมเชิงพาณิชย์ได้อย่างถูกต้อง

2.2 กรอบในการพิจารณา กรอบในการพิจารณาเลือกธุรกรรมที่เป็นนโยบายรัฐจะต้องครอบคลุมธุรกรรมที่มีวัตถุประสงค์ข้อใดข้อหนึ่ง ดังนี้

2.2.1 ธุรกรรมมีวัตถุประสงค์และรูปแบบการให้บริการเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัย หรือการก่อวินาศกรรม ตามคำจำกัดความของพระราชบัญญัติป้องกันฝ่ายพลเรือน พ.ศ. 2522 หรือ ฟื้นฟูกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพ หรือยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน วิสาหกิจ และหน่วยธุรกิจ และต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี

2.2.2 ธุรกรรมของสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่มีเงื่อนไขผ่อนปรน หรือธุรกรรมที่รัฐบาลสั่งการให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจดำเนินการเป็นกรณีพิเศษ โดยต้องมีมติคณะรัฐมนตรีระบุให้มีการชดเชยหรือสนับสนุนเงินทุนจากรัฐบาลแก่สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ดำเนินการตามนโยบายรัฐอย่างชัดเจน

ทั้งนี้ ในการดำเนินธุรกรรมตามข้อ 2.2.1 หรือ ข้อ 2.2.2 อาจจำเป็นต้องผ่อนปรนกว่าเกณฑ์ปกติในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือหลายเรื่องประกอบกัน ได้แก่

  • อัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม ค่าบริการ และค่าเบี้ยประกัน เช่น อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าตลาด หรือมีการยกเว้นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ค่าบริการ และค่าเบี้ยประกัน
  • หลักประกัน เช่น ไม่มีหลักประกัน หรือหลักประกันต่ำกว่าสินเชื่อที่ให้บริการเป็นอย่างมาก
  • ระยะเวลา เช่น มีระยะเวลาการชำระคืนเงินกู้ หรือระยะเวลาปลอดการชำระหนี้มากกว่าระยะเวลาที่สถาบันการเงินทั่วไปพึงยึดถือปฏิบัติ ปลอดการชำระเงินต้น

อนึ่ง ในเบื้องต้นการบริหารจัดการธุรกรรมนโยบายรัฐ ต้องเป็นไปด้วยความรอบคอบระมัดระวังเพื่อลดความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อภาระงบประมาณ โดยสถาบันการเงินเฉพาะกิจต้องจัดให้มีการบริหารความเสี่ยง และมีคู่มือในการปฏิบัติงานที่ชัดเจนเพื่อป้องกันปัญหา Moral Hazard และการผิดพลาด

2.3 ขั้นตอน และวิธีการในการผ่อนปรน

2.3.1 โครงการที่จะเข้ารับการพิจารณาให้มีการแยกบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ สามารถถูกเสนอได้ 3 วิธี ได้แก่

(1) สถาบันการเงินเฉพาะกิจเสนอโครงการให้กระทรวงการคลังพิจารณาเพื่อขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรี

(2) กระทรวงการคลังพิจารณานำเสนอโครงการต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อขอความเห็นชอบโดยตรง

(3) คณะรัฐมนตรีมีมติให้โครงการหนึ่งโครงการใดที่คณะรัฐมนตรีเห็นควรให้กระทรวงการคลังพิจารณาเป็นโครงการภายใต้ PSA

2.3.2 ในกรณีที่เป็นการเสนอตามข้อ 2.3.1 (1) กระทรวงการคลัง โดยคณะกรรมการพิจารณาโครงการธุรกรรมนโยบายรัฐ (PSA) จะเป็นผู้พิจารณาโครงการและกำหนดมาตรฐานการคำนวณเงินชดเชย และสรุปวงเงินที่ควรได้รับการชดเชยเพื่อประกอบการขอตั้งงบประมาณ รวมถึงแนวทางในการแยกบัญชีและการกำหนดตัวชี้วัดในแต่ละโครงการ ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ จะต้องนำเสนอกระทรวงการคลังเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ

ทั้งนี้ เห็นควรให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงการคลังแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาโครงการธุรกรรมนโยบายรัฐ ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ อธิบดีกรมบัญชีกลาง ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นกรรมการ และมีผู้แทนสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นเลขานุการ และผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเป็นผู้ช่วยเลขานุการ

2.3.3 เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบโครงการที่จะเข้า PSA แล้วสถาบันการเงินเฉพาะกิจต้องดำเนินการในเรื่องต่อไปนี้

(1) ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณ

(2) รายงานผลการดำเนินงานตามโครงการธุรกรรมรัฐ ให้คณะกรรมการฯ ทราบเป็นประจำทุกเดือน

2.3.4 วิธีการคำนวณเงินชดเชย

การคำนวณเงินชดเชยกำหนดให้มีวิธีมาตรฐาน 2 วิธี ซึ่งคณะกรรมการฯ จะเลือกใช้ตามความเหมาะสม โดยสถาบันการเงินเฉพาะกิจจะต้องชี้แจงให้ชัดเจนว่าวงเงินเพื่อขอชดเชยสำหรับธุรกรรมนโยบายรัฐจะเป็นรูปแบบใดดังนี้

(1) ชดเชยส่วนต่างระหว่างต้นทุนการให้บริการตามนโยบายรัฐที่สูงกว่ารายรับของธุรกรรมนโยบายรัฐนั้น ๆ โดยมีการคำนวณเงินชดเชย ดังนี้

จำนวนเงินชดเชย= ต้นทุนการให้บริการตามนโยบายรัฐ — รายรับของธุรกรรมนโยบายรัฐเงื่อนไขผ่อนปรนที่ต้องดำเนินการ

(2) ชดเชยส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนจากการให้บริการตามมาตรฐานปกติที่สูงกว่าผลตอบแทนของธุรกรรมนโยบายรัฐนั้น ๆ โดยมีการคำนวณเงินชดเชย ดังนี้

จำนวนเงินชดเชย= ผลตอบแทนจากการให้บริการตามปกติ — ผลตอบแทนจากธุรกรรมนโยบายรัฐตามเงื่อนไขผ่อนปรนที่ต้องดำเนินการ

อนึ่ง ขณะนี้สถาบันการเงินเฉพาะกิจได้ทยอยส่งคำขอเพื่อเข้าโครงการแยกบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐของสถาบันการเงินเฉพาะกิจมาแล้ว (สถานะ ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2552) เช่น โครงการของธนาคารอาคารสงเคราะห์ 2 โครงการ คือ โครงการบ้านมั่นคง ซึ่งขอชดเชยส่วนต่างของดอกเบี้ยวงเงินประมาณ 172.5 ล้านบาท และโครงการบ้านเอื้ออาทร ขอชดเชยส่วนต่างดอกเบี้ยประมาณร้อยละ 3.75 ต่อปี และโครงการของสถาบันการเงินเฉพาะกิจอื่นๆ ซึ่งจะทยอยได้รับการพิจารณาเมื่อคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแนวทางการแยกบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐแล้ว

--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 5 สิงหาคม 2552 --จบ--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ