คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยสำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน รายงานสรุปผลความก้าวหน้าการให้ความ
ช่วยเหลือ ผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่มภาคเหนือ 5 จังหวัด และสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม - 11 กันยายน (ข้อมูลถึง
วันที่ 11 กันยายน 2549) ดังนี้
1. สรุปผลความก้าวหน้าการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่มภาคเหนือของกระทรวงมหาดไทย (จนถึงวันที่ 11 กันยายน
2549)
1.1 ความก้าวหน้าสร้างบ้านถาวร
บ้านพัง การสร้างบ้าน (หลัง) ราษฎรขอรับเงินชดเชย ความก้าวหน้าในการสร้างบ้าน (หลัง)
ที่ จังหวัด ทั้งหลัง (หลัง) ในที่ดินรัฐ ที่ราษฎรเอง สร้างเอง (หลัง) มูลนิธิชัยพัฒนา มูลนิธิไทยคม
กำลังสร้าง สร้างเสร็จ กำลังสร้าง สร้างเสร็จ
1 อุตรดิตถ์ 493 238 203 50 220 30 325 25
2 แพร่ 138 112 - 26 - - 71 23
3 สุโขทัย 90 90 - - - - 71 19
รวมทั้งหมด 721 440 203 76 220 30 467 67
หมายเหตุ
1) ที่ อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์ บ้านพังทั้งหลังเสียชีวิตทั้งครอบครัว จำนวน 2 หลัง ไม่มีการสร้างบ้านใหม่
2) มูลนิธิชัยพัฒนา จะดำเนินการสร้างบ้านพักถาวรให้แก่ราษฎรที่ประสบภัยในพื้นที่ อ.เมืองฯ จ.อุตรดิตถ์ ทั้งหมด จำนวน
161 หลัง และสร้างบ้านให้แก่ราษฎรในที่ดินของตนเองที่ไม่ต้องการอพยพมาอยู่ในพื้นที่รองรับที่ทางราชการจัดให้
ซึ่งเป็นผู้ประสบภัยในพื้นที่ อ.ลับแล จำนวน 37 หลัง อ.ท่าปลา จำนวน 52 หลัง รวมยอดดำเนินการ 250 หลัง
3) มูลนิธิไทยคม จะดำเนินการสร้างบ้านถาวรให้แก่ราษฎรผู้ประสบภัยในพื้นที่ จ.อุตรดิตถ์ จำนวน 350 หลัง สุโขทัย
จำนวน 90 หลัง และแพร่ จำนวน 94 หลัง รวมยอดดำเนินการ 534 หลัง
4) พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ จะสร้างบ้านถาวรที่ อ.เมืองฯ จ.แพร่ จำนวน 18 หลัง
1.2 การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคเหนือในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย
1.2.1) ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546
(ข้อมูล ณ วันที่ 11 กันยายน 2549 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
(1) ด้านการช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นเงิน 106,365,809 บาท แยกได้ดังนี้ ค่าด้านการจัดการศพ
จำนวน 88 ราย (ครบ 100 %) เป็นเงิน 1,920,000 บาท ค่าช่วยเหลือญาติผู้สูญหาย จำนวน 29 ราย (ครบ 100 % ) เป็นเงิน
810,000 บาท ค่าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ 1,107 ราย (ครบ 100 %) เป็นเงิน 2,321,000 บาท ค่าที่อยู่อาศัย จำนวน 5,002 ราย
(คิดเป็น 100 % ) เป็นเงิน 51,730,121 บาท ค่าเครื่องมือ/ทุนประกอบอาชีพ จำนวน 862 ราย เป็นเงิน 4,439,270 บาท
ค่าเครื่องนุ่งห่ม จำนวน 9,034 ราย เป็นเงิน 5,073,650 บาท ค่าอาหารจัดเลี้ยง จำนวน 237,491 ราย เป็นเงิน
19,072,053 บาท ค่าอื่นๆ เป็นเงิน 20,996,715 บาท
(2) ด้านป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นเงิน 67,987,094 บาท
(3) ด้านการปฏิบัติงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นเงิน 38,782,142 บาท
สรุปให้ความช่วยเหลือไปแล้ว 244,530 คน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 213,135,046 บาท
1.2.2) การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ประเภทผู้ประกอบการรายย่อย (ข้อมูล ณ วันที่ 11 กันยายน 2549
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น)
(1) จังหวัดแพร่ จ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 291 ราย เป็นเงิน 3,186,605 บาท
(2) จังหวัดสุโขทัย จ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 806 ราย เป็นเงิน 9,428,775 บาท
(3) จังหวัดอุตรดิตถ์ จ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 3,474 ราย เป็นเงิน 42,551,890 บาท
รวมจ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 4,571 ราย ( คิดเป็น 99.15 %) เป็นเงิน 55,167,270 บาท
คงค้างจ่าย จำนวน 39 ราย เนื่องจากไปทำงานนอกพื้นที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นติดตามตัวเพื่อจ่ายเงิน
ให้ต่อไป
2. สรุปสถานการณ์อุทกภัยจากอิทธิพลร่องความกดอากาศต่ำ (ระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม—11 กันยายน 2549)
2.1 ระหว่างวันที่ 27 — 31 สิงหาคม 2549 ร่องความกดอากาศต่ำหรือร่องฝนกำลังแรงพาดผ่านภาคเหนือ ทำให้มีฝนตกหนัก
มากในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ สุโขทัย พิษณุโลก ตาก เป็นเหตุทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำปิง แม่น้ำกวง แม่น้ำทา แม่น้ำยม
และแม่น้ำวัง มีระดับน้ำสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในหลายพื้นที่
2.2 พื้นที่ประสบภัย รวม 16 จังหวัด 33 อำเภอ 2 กิ่งอำเภอ 113 ตำบล ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน สุโขทัย
พิษณุโลก แพร่ กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ ลำพูน ลำปาง ตาก เพชรบูรณ์ พิจิตร พะเยา จันทบุรี พังงา นครสวรรค์
2.3 ความเสียหาย
1) ผู้เสียชีวิต 5 คน จังหวัดลำปาง 2 คน (อำเภอแม่เมาะ 1 คน อำเภองาว 1 คน ) จังหวัดสุโขทัย 3 คน
(อำเภอเมืองฯ 1 คน อำเภอสวรรคโลก 2 คน)
2) ด้านทรัพย์สิน บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 19 หลัง (อ.แม่ทา จ.ลำพูน) ความเสียหายด้านอื่น ๆ อยู่ระหว่างการสำรวจ
2.4 สถานการณ์ปัจจุบัน ( ข้อมูล ณ วันที่ 11 กันยายน 2549)
2.4.1) พื้นที่สถานการณ์อุทกภัยคลี่คลายแล้ว 12 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน อุตรดิตถ์ เชียงใหม่ ลำปาง แพร่
ลำพูน เพชรบูรณ์ กำแพงเพชร จันทบุรี พะเยา พังงา และตาก โดยทุกหน่วยงาน ยังคงปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้ประสบภัย แจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค
น้ำดื่ม การฟื้นฟู ล้างทำความสะอาดโรงเรียน สถานีอนามัย และการซ่อมแซมถนน สะพาน ที่ชำรุดเสียหายอย่างต่อเนื่อง
2.4.2) พื้นที่ที่ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย 4 จังหวัด เนื่องจากระดับน้ำในแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านพื้นที่สูงกว่าตลิ่ง ได้แก่
จังหวัดสุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร และนครสวรรค์
1. จังหวัดสุโขทัย ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ 2 อำเภอ ดังนี้
1) อำเภอเมือง ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่การเกษตร 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลยางซ้าย (หมู่ที่ 2,9,11,12) และ
ตำบลปากพระ (หมู่ที่ 1-6) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20 เมตร สำหรับตำบลบ้านกล้วย (หมู่ที่ 1,2,5,12,13,14) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.30
เมตร เนื่องจากมีพื้นที่เป็นที่ลุ่มแอ่งกะทะ และเป็นจุดรวมน้ำ ระดับน้ำทรงตัว
2) อำเภอกงไกรลาศ น้ำจากแม่น้ำยมได้ไหลเอ่อเข้าท่วมขังในพื้นที่การเกษตร 11 ตำบล ได้แก่ ตำบลท่าฉนวน
(หมู่ที่ 1,3-12) ตำบลบ้านกร่าง (หมู่ที่ 3-5) ตำบลกง (หมู่ที่ 1,2,5,6,12) ตำบลป่าแฝก (หมู่ที่ 2,3-9) ตำบลหนองตูม (หมู่ที่ 2-6)
ตำบลไกรกลาง (หมู่ที่ 1-5,7,8) ตำบลไกรใน (หมู่ที่ 3-5,7,11,14,15) ตำบลกกแรด (หมู่ที่ 1-10,12) ตำบลบ้านใหม่สุขเกษม (หมู่ที่ 1-8)
ตำบลไกรนอก (หมู่ที่ 1-3,7-8) และตำบลดงเดือย (หมู่ที่ 1,6-10) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.50-0.80 เมตร เนื่องจากเป็นพื้นที่รับน้ำ และ
เป็นที่ลุ่มแอ่งกะทะ ระดับน้ำทรงตัว
การให้ความช่วยเหลือ
1) ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 8 กำแพงเพชร สำนักงานป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัยจังหวัด
สุโขทัย มอบถุงยังชีพ จำนวน 3,000 ถุง เรือท้องแบน จำนวน 7 ลำ รถบรรทุก จำนวน 1 คัน รถบรรทุกน้ำขนาด 6,000 ลิตร จำนวน 1 คัน
ให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย
2) กำลังพลจาก ตชด. กองกำกับการ 6 กองบังคับการฝึกพิเศษ จังหวัดพิษณุโลก จัดชุดร่วมปฏิบัติการในพื้นที่
ระดับน้ำในแม่น้ำยม เมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 11 ก.ย. 49 ที่สถานี Y.33 อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย
ระดับน้ำสูง 7.20 เมตร (ระดับตลิ่ง 10.00 เมตร) ต่ำกว่าตลิ่ง 2.80 เมตร ที่สถานี Y.4 อำเภอเมืองฯ จังหวัดสุโขทัย ระดับน้ำสูง 5.30
เมตร (ระดับตลิ่ง 7.45 เมตร) ต่ำกว่าตลิ่ง 2.15 เมตร และที่ฝายยางบ้านกง อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย ระดับน้ำสูง 10.05 เมตร
(ระดับตลิ่ง 9.00 เมตร) สูงกว่าตลิ่ง 1.05 เมตร
2. จังหวัดพิษณุโลก ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎร และพื้นที่ทางการเกษตร จำนวน 2 อำเภอ ได้แก่
1) อำเภอบางระกำ น้ำในแม่น้ำยมจากอำเภอกงไกรลาศไหลเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรและ พื้นที่การเกษตร
5 ตำบล ได้แก่ตำบลชุมแสงสงคราม (หมู่ที่ 1-9) ตำบลคุยม่วง (หมู่ที่ 6,8,9) ตำบลท่านางงาม (หมู่ที่ 1,2,3) ตำบลนิคมพัฒนา และตำบล-
บางระกำ (หมู่ที่ 7,15) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.30-0.50 เมตร เนื่องจากเป็นพื้นที่รับน้ำจากอำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย และจากจังหวัด-
กำแพงเพชร แนวโน้มสถานการณ์อุทกภัย ปริมาณน้ำในพื้นที่จังหวัดสุโขทัยยังมีมาก คาดว่า พื้นที่น้ำท่วมขังในอำเภอบางระกำจะขยายวงกว้างออก
ไปอีกมากกว่าเดิม
2) อำเภอพรหมพิราม ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร 12 ตำบล ได้แก่ ตำบลหอกลอง
(หมู่ที่ 4) ตำบลศรีภิรมย์ (หมู่ที่ 1-8,11,12) ตำบลดงประคำ (หมู่ที่ 7,11,12) ตำบลวงฆ้อง (หมู่ที่ 3,4) ตำบลตลุกกระเทียม (หมู่ที่ 2,3,9)
ตำบลท่าช้าง (หมู่ที่ 2,5,7-9) ตำบลหนองแขม (หมู่ที่ 2,4,8,10) ตำบลพรหมพิราม (หมู่ที่ 5,11,12) ตำบลวังวน (หมู่ที่ 1,2,4,8,10)
ตำบลมะต้อง (หมู่ที่ 7,8,10,11) ตำบลมะตูม (หมู่ที่ 1-6) และตำบลทับยายเชียง (หมู่ที่ 6) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.40-0.80 เมตร
การให้ความช่วยเหลือ
1) จังหวัดได้ส่งเรือท้องแบน จำนวน 12 ลำ กระสอบทราย 3,300 ถุง เสาเข็ม 200 ต้น ถุงยังชีพ
300 ชุด ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย
2) จังหวัดและอำเภอ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ช่วยเหลืออพยพสัตว์เลี้ยง
ขนย้ายทรัพย์สินไปไว้ในที่สูง และเร่งสูบน้ำในพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง
3) สำนักงานก่อสร้างเขื่อนที่ 2 (เขื่อนแควน้อย) สนับสนุนรถบรรทุก จำนวน 4 คัน ช่วยเหลือผู้ประสบภัย
3. จังหวัดพิจิตร น้ำจากแม่น้ำยมและแม่น้ำน่านไหลเอ่อเข้าท่วมขังในพื้นที่ลุ่มริมน้ำ 3 อำเภอ ได้แก่
1) อำเภอเมือง น้ำท่วมในพื้นที่ 8 ตำบล ได้แก่ ตำบลในเมือง ตำบลฆะมัง (หมู่ที่ 3,9) ตำบลบ้านบุ่ง
(หมู่ที่ 2,3,5,6) ตำบลปากทาง (หมู่ที่ 3,6,7) ตำบลย่านยาว (หมู่ที่ 2,6) ตำบลสายคำโห้ (หมู่ที่ 1-5) ตำบลป่ามะคาบ (หมู่ที่ 1,2,7,13)
และตำบลหัวดง (หมู่ที่ 6,9) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.10-0.20 เมตร ระดับน้ำทรงตัว
2) อำเภอสามง่าม น้ำท่วมในพื้นที่ 1 ตำบล ได้แก่ ตำบลรังนก (หมู่ที่ 1,2,9) ระดับน้ำสูงประมาณ
0.30-0.50 เมตร เนื่องจากมีพื้นที่เป็นที่ลุ่มแอ่งกะทะ
3) อำเภอวชิรบารมี น้ำท่วมในพื้นที่ 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลวังโมกข์ (หมู่ที่ 1,3,7,9) ตำบลหนองหลุม
(หมู่ 2,10) และตำบลบ้านนา (หมู่ที่ 1,13) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20-0.30 เมตร ระดับน้ำทรงตัว
การให้ความช่วยเหลือ
1) กรมชลประทาน โดยโครงการชลประทานพิจิตร ได้ยุบฝายบ้านบางคลาน และฝายยางพญาวัง เพื่อลดระดับ
น้ำแม่น้ำยมลง พร้อมเตรียมเครื่องสูบน้ำไว้ช่วยเหลือแล้ว 40 เครื่อง
2) กิ่งอำเภอดงเจริญ ได้นำรถขุดตักไฮดรอลิก กำจัดเศษวัชพืชในลำคลองเพื่อเร่งการระบายน้ำและเสริม
คันดินริมคลองเป็นแนวป้องกันน้ำเอ่อล้น อำเภอตะพานหิน ได้จัดหาทรายบรรจุถุง จำนวน 500 ใบ ทำแนวกั้นน้ำและอุดท่อระบายน้ำเพื่อป้องกัน
น้ำทะลักเข้าพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทางการเกษตรของราษฎร
3) สำนักงานทางหลวงชนบทจังหวัด ได้นำเครื่องจักรกลไปเสริมถนนเพื่อเป็นพนังกั้นน้ำแม่น้ำน่าน บริเวณ
หมู่ที่ 3 ตำบลฆะมัง อำเภอเมืองพิจิตร
4) มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ ได้นำสิ่งของพระราชทาน ถุงยังชีพมอบให้กับผู้ประสบภัยที่ตำบลรังนก
ที่วัดกระบุ่มน้ำเดือด จำนวน 500 ชุด และพื้นที่ประสบภัยอื่น โดยมอบให้ทางจังหวัดดำเนินการ จำนวน 500 ชุด
4. จังหวัดนครสวรรค์ น้ำจากแม่น้ำยมและแม่น้ำน่านได้ไหลเอ่อเข้าท่วมขังในพื้นที่ลุ่มริมน้ำ 5 อำเภอ ได้แก่
1) อำเภอเมือง มีน้ำท่วมขังในพื้นการเกษตร 8 ตำบล ได้แก่ ตำบลเกรียงไกร ตำบล บางพระหลวง
ตำบลบึงเสนาท ตำบลแควใหญ่ ตำบลวัดไทรย์ ตำบลบ้านแก่ง ตำบลกลางแดด และตำบลสวรรค์ออกระดับสูงประมาณ 0.10-0.20 เมตร
2) อำเภอบรรพตพิสัย มีน้ำท่วมขังในพื้นที่การเกษตร ที่ตำบลหนองกรด (หมู่ที่,7,10, 13,15) ระดับน้ำสูง
ประมาณ 0.10-0.20 เมตร
3) อำเภอชุมแสง มีน้ำท่วมขังในพื้นการเกษตร 10 ตำบล ได้แก่ ตำบลโคกหม้อ ตำบลบางเคียน
ตำบลท่าไม้ ตำบลฆะมัง ตำบลพิกุล ตำบลหนองกระเจา ตำบลพันลาน ตำบลเกยไชย ตำบลทับกฤชใต้ และตำบลทับกฤช ระดับสูงประมาณ
0.10-0.30 เมตร
4) อำเภอหนองบัว มีน้ำท่วมขังในพื้นการเกษตร 2 ตำบล ได้แก่ ตำบลห้วยร่วม และตำบลห้วยถั่วเหนือ
ระดับสูงประมาณ 0.10-0.20 เมตร
5) อำเภอเก้าเลี้ยว มีน้ำท่วมในพื้นการเกษตรที่ ตำบลหนองเต่า (หมู่ที่ 1,2,7-9) ระดับสูงประมาณ
0.10-0.20 เมตร
การให้ความช่วยเหลือ
1) อำเภอบรรพตพิสัย ร่วมกับ อบต.และกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ได้นำรถแบ็คโฮมาทำพนังกั้นคันคลองสูงขึ้น 1 เมตร
ยาวตลอดแนวในพื้นที่ หมู่ที่ 7,13,15 ตำบลหนองกรด และวางท่อระบายน้ำข้ามคลอง 6 ท่อน ที่หมู่ที่ 10 ตำบลหนองกรด
2) อำเภอชุมแสง ได้นำเรือท้องแบนไปอำนวยความสะดวกให้กับราษฎร หมู่ที่ 6 ตำบลฆะมัง และได้ติดตั้ง
เครื่องสูบน้ำ จำนวน 2 เครื่อง เพื่อสูบน้ำออกจากพื้นที่นาข้าว หมู่ที่ 4,6 ตำบลฆะมัง
3) อำเภอเก้าเลี้ยว ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสร้างสะพานไม้ชั่วคราว 3 จุด ที่หมู่ที่ 1,9 พร้อมติดตั้ง
เครื่องสูบน้ำที่หมู่ที่ 8 และนำรถขุดเข้าไปปิดกั้นคลองบริเวณ หมู่ที่ 1,2,8,9 ที่ตำบลหนองเต่า
2.5 การให้ความช่วยเหลือของกระทรวงมหาดไทย
1) อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (นายอนุชา โมกขะเวส) ได้สั่งการให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
เขต 8 กำแพงเพชร เขต 9 พิษณุโลก เขต 10 ลำปาง นำเรือท้องแบน ถุงยังชีพ ไปสนับสนุนจังหวัดที่ประสบภัยในเขตพื้นที่รับผิดชอบแล้ว
2) การช่วยเหลือผู้ประสบภัยในภาวะฉุกเฉินเร่งด่วน ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ใช้จ่ายเงินทดรอง ราชการ (งบ 50 ล้านบาท)
เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในด้านเครื่องอุปโภคบริโภค ค่าซ่อมแซมบ้านเรือนที่เสียหาย ค่าจัดการศพ ซ่อมแซมสิ่งสาธารณประโยชน์ รวมทั้ง
พื้นที่การเกษตรและปศุสัตว์ บ่อปลาที่เสียหาย
2.6 สิ่งของพระราชทาน
1) ระหว่างวันที่ 1 - 6 กันยายน 2549 พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ องค์ประธานศูนย์ปฏิบัติการบิน
อาสาอนุรักษ์และกู้ภัยสิริภาจุฑาภรณ์ พร้อมคณะผู้ติดตามได้เสด็จไปทรงติดตามความคืบหน้าการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่บ้านนาตอง อำเภอเมืองแพร่
จังหวัดแพร่ เพื่อดูแลการก่อสร้าง “บ้านอาสากู้ภัยร่วมใจสิริภาจุฑาภรณ์” หลังแรก โดยบ้านหลังแรกดังกล่าวสร้างประทานให้กับนางปิ่น แก้วมณี
อายุ 77 ปี ที่ประสบภัยบ้านเสียหายทั้งหลัง ทั้งนี้ บ้านอาสากู้ภัยร่วมใจสิริภาจุฑาภรณ์ จะดำเนินการก่อสร้างทั้งสิ้น 18 หลัง
2) เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2549 มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมป์ ได้นำสิ่งของพระราชทานถุงยังชีพมอบ
ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน เพื่อนำไปมอบให้แก่ผู้ประสบภัยที่ วัดทาปลาดุก หมู่ที่ 5 ตำบลทาปลาดุก อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน จำนวน 600 ชุด
และที่วัดวังไฮ ตำบลเวียงยอง อำเภอเมืองฯ จังหวัดลำพูน จำนวน 400 ชุด
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) (รักษาการนายกรัฐมนตรี) วันที่ 12 กันยายน 2549--จบ--
ช่วยเหลือ ผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่มภาคเหนือ 5 จังหวัด และสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม - 11 กันยายน (ข้อมูลถึง
วันที่ 11 กันยายน 2549) ดังนี้
1. สรุปผลความก้าวหน้าการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่มภาคเหนือของกระทรวงมหาดไทย (จนถึงวันที่ 11 กันยายน
2549)
1.1 ความก้าวหน้าสร้างบ้านถาวร
บ้านพัง การสร้างบ้าน (หลัง) ราษฎรขอรับเงินชดเชย ความก้าวหน้าในการสร้างบ้าน (หลัง)
ที่ จังหวัด ทั้งหลัง (หลัง) ในที่ดินรัฐ ที่ราษฎรเอง สร้างเอง (หลัง) มูลนิธิชัยพัฒนา มูลนิธิไทยคม
กำลังสร้าง สร้างเสร็จ กำลังสร้าง สร้างเสร็จ
1 อุตรดิตถ์ 493 238 203 50 220 30 325 25
2 แพร่ 138 112 - 26 - - 71 23
3 สุโขทัย 90 90 - - - - 71 19
รวมทั้งหมด 721 440 203 76 220 30 467 67
หมายเหตุ
1) ที่ อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์ บ้านพังทั้งหลังเสียชีวิตทั้งครอบครัว จำนวน 2 หลัง ไม่มีการสร้างบ้านใหม่
2) มูลนิธิชัยพัฒนา จะดำเนินการสร้างบ้านพักถาวรให้แก่ราษฎรที่ประสบภัยในพื้นที่ อ.เมืองฯ จ.อุตรดิตถ์ ทั้งหมด จำนวน
161 หลัง และสร้างบ้านให้แก่ราษฎรในที่ดินของตนเองที่ไม่ต้องการอพยพมาอยู่ในพื้นที่รองรับที่ทางราชการจัดให้
ซึ่งเป็นผู้ประสบภัยในพื้นที่ อ.ลับแล จำนวน 37 หลัง อ.ท่าปลา จำนวน 52 หลัง รวมยอดดำเนินการ 250 หลัง
3) มูลนิธิไทยคม จะดำเนินการสร้างบ้านถาวรให้แก่ราษฎรผู้ประสบภัยในพื้นที่ จ.อุตรดิตถ์ จำนวน 350 หลัง สุโขทัย
จำนวน 90 หลัง และแพร่ จำนวน 94 หลัง รวมยอดดำเนินการ 534 หลัง
4) พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ จะสร้างบ้านถาวรที่ อ.เมืองฯ จ.แพร่ จำนวน 18 หลัง
1.2 การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคเหนือในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย
1.2.1) ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546
(ข้อมูล ณ วันที่ 11 กันยายน 2549 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
(1) ด้านการช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นเงิน 106,365,809 บาท แยกได้ดังนี้ ค่าด้านการจัดการศพ
จำนวน 88 ราย (ครบ 100 %) เป็นเงิน 1,920,000 บาท ค่าช่วยเหลือญาติผู้สูญหาย จำนวน 29 ราย (ครบ 100 % ) เป็นเงิน
810,000 บาท ค่าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ 1,107 ราย (ครบ 100 %) เป็นเงิน 2,321,000 บาท ค่าที่อยู่อาศัย จำนวน 5,002 ราย
(คิดเป็น 100 % ) เป็นเงิน 51,730,121 บาท ค่าเครื่องมือ/ทุนประกอบอาชีพ จำนวน 862 ราย เป็นเงิน 4,439,270 บาท
ค่าเครื่องนุ่งห่ม จำนวน 9,034 ราย เป็นเงิน 5,073,650 บาท ค่าอาหารจัดเลี้ยง จำนวน 237,491 ราย เป็นเงิน
19,072,053 บาท ค่าอื่นๆ เป็นเงิน 20,996,715 บาท
(2) ด้านป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นเงิน 67,987,094 บาท
(3) ด้านการปฏิบัติงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นเงิน 38,782,142 บาท
สรุปให้ความช่วยเหลือไปแล้ว 244,530 คน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 213,135,046 บาท
1.2.2) การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ประเภทผู้ประกอบการรายย่อย (ข้อมูล ณ วันที่ 11 กันยายน 2549
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น)
(1) จังหวัดแพร่ จ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 291 ราย เป็นเงิน 3,186,605 บาท
(2) จังหวัดสุโขทัย จ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 806 ราย เป็นเงิน 9,428,775 บาท
(3) จังหวัดอุตรดิตถ์ จ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 3,474 ราย เป็นเงิน 42,551,890 บาท
รวมจ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 4,571 ราย ( คิดเป็น 99.15 %) เป็นเงิน 55,167,270 บาท
คงค้างจ่าย จำนวน 39 ราย เนื่องจากไปทำงานนอกพื้นที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นติดตามตัวเพื่อจ่ายเงิน
ให้ต่อไป
2. สรุปสถานการณ์อุทกภัยจากอิทธิพลร่องความกดอากาศต่ำ (ระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม—11 กันยายน 2549)
2.1 ระหว่างวันที่ 27 — 31 สิงหาคม 2549 ร่องความกดอากาศต่ำหรือร่องฝนกำลังแรงพาดผ่านภาคเหนือ ทำให้มีฝนตกหนัก
มากในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ สุโขทัย พิษณุโลก ตาก เป็นเหตุทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำปิง แม่น้ำกวง แม่น้ำทา แม่น้ำยม
และแม่น้ำวัง มีระดับน้ำสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในหลายพื้นที่
2.2 พื้นที่ประสบภัย รวม 16 จังหวัด 33 อำเภอ 2 กิ่งอำเภอ 113 ตำบล ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน สุโขทัย
พิษณุโลก แพร่ กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ ลำพูน ลำปาง ตาก เพชรบูรณ์ พิจิตร พะเยา จันทบุรี พังงา นครสวรรค์
2.3 ความเสียหาย
1) ผู้เสียชีวิต 5 คน จังหวัดลำปาง 2 คน (อำเภอแม่เมาะ 1 คน อำเภองาว 1 คน ) จังหวัดสุโขทัย 3 คน
(อำเภอเมืองฯ 1 คน อำเภอสวรรคโลก 2 คน)
2) ด้านทรัพย์สิน บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 19 หลัง (อ.แม่ทา จ.ลำพูน) ความเสียหายด้านอื่น ๆ อยู่ระหว่างการสำรวจ
2.4 สถานการณ์ปัจจุบัน ( ข้อมูล ณ วันที่ 11 กันยายน 2549)
2.4.1) พื้นที่สถานการณ์อุทกภัยคลี่คลายแล้ว 12 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน อุตรดิตถ์ เชียงใหม่ ลำปาง แพร่
ลำพูน เพชรบูรณ์ กำแพงเพชร จันทบุรี พะเยา พังงา และตาก โดยทุกหน่วยงาน ยังคงปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้ประสบภัย แจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค
น้ำดื่ม การฟื้นฟู ล้างทำความสะอาดโรงเรียน สถานีอนามัย และการซ่อมแซมถนน สะพาน ที่ชำรุดเสียหายอย่างต่อเนื่อง
2.4.2) พื้นที่ที่ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย 4 จังหวัด เนื่องจากระดับน้ำในแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านพื้นที่สูงกว่าตลิ่ง ได้แก่
จังหวัดสุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร และนครสวรรค์
1. จังหวัดสุโขทัย ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ 2 อำเภอ ดังนี้
1) อำเภอเมือง ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่การเกษตร 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลยางซ้าย (หมู่ที่ 2,9,11,12) และ
ตำบลปากพระ (หมู่ที่ 1-6) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20 เมตร สำหรับตำบลบ้านกล้วย (หมู่ที่ 1,2,5,12,13,14) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.30
เมตร เนื่องจากมีพื้นที่เป็นที่ลุ่มแอ่งกะทะ และเป็นจุดรวมน้ำ ระดับน้ำทรงตัว
2) อำเภอกงไกรลาศ น้ำจากแม่น้ำยมได้ไหลเอ่อเข้าท่วมขังในพื้นที่การเกษตร 11 ตำบล ได้แก่ ตำบลท่าฉนวน
(หมู่ที่ 1,3-12) ตำบลบ้านกร่าง (หมู่ที่ 3-5) ตำบลกง (หมู่ที่ 1,2,5,6,12) ตำบลป่าแฝก (หมู่ที่ 2,3-9) ตำบลหนองตูม (หมู่ที่ 2-6)
ตำบลไกรกลาง (หมู่ที่ 1-5,7,8) ตำบลไกรใน (หมู่ที่ 3-5,7,11,14,15) ตำบลกกแรด (หมู่ที่ 1-10,12) ตำบลบ้านใหม่สุขเกษม (หมู่ที่ 1-8)
ตำบลไกรนอก (หมู่ที่ 1-3,7-8) และตำบลดงเดือย (หมู่ที่ 1,6-10) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.50-0.80 เมตร เนื่องจากเป็นพื้นที่รับน้ำ และ
เป็นที่ลุ่มแอ่งกะทะ ระดับน้ำทรงตัว
การให้ความช่วยเหลือ
1) ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 8 กำแพงเพชร สำนักงานป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัยจังหวัด
สุโขทัย มอบถุงยังชีพ จำนวน 3,000 ถุง เรือท้องแบน จำนวน 7 ลำ รถบรรทุก จำนวน 1 คัน รถบรรทุกน้ำขนาด 6,000 ลิตร จำนวน 1 คัน
ให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย
2) กำลังพลจาก ตชด. กองกำกับการ 6 กองบังคับการฝึกพิเศษ จังหวัดพิษณุโลก จัดชุดร่วมปฏิบัติการในพื้นที่
ระดับน้ำในแม่น้ำยม เมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 11 ก.ย. 49 ที่สถานี Y.33 อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย
ระดับน้ำสูง 7.20 เมตร (ระดับตลิ่ง 10.00 เมตร) ต่ำกว่าตลิ่ง 2.80 เมตร ที่สถานี Y.4 อำเภอเมืองฯ จังหวัดสุโขทัย ระดับน้ำสูง 5.30
เมตร (ระดับตลิ่ง 7.45 เมตร) ต่ำกว่าตลิ่ง 2.15 เมตร และที่ฝายยางบ้านกง อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย ระดับน้ำสูง 10.05 เมตร
(ระดับตลิ่ง 9.00 เมตร) สูงกว่าตลิ่ง 1.05 เมตร
2. จังหวัดพิษณุโลก ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎร และพื้นที่ทางการเกษตร จำนวน 2 อำเภอ ได้แก่
1) อำเภอบางระกำ น้ำในแม่น้ำยมจากอำเภอกงไกรลาศไหลเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรและ พื้นที่การเกษตร
5 ตำบล ได้แก่ตำบลชุมแสงสงคราม (หมู่ที่ 1-9) ตำบลคุยม่วง (หมู่ที่ 6,8,9) ตำบลท่านางงาม (หมู่ที่ 1,2,3) ตำบลนิคมพัฒนา และตำบล-
บางระกำ (หมู่ที่ 7,15) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.30-0.50 เมตร เนื่องจากเป็นพื้นที่รับน้ำจากอำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย และจากจังหวัด-
กำแพงเพชร แนวโน้มสถานการณ์อุทกภัย ปริมาณน้ำในพื้นที่จังหวัดสุโขทัยยังมีมาก คาดว่า พื้นที่น้ำท่วมขังในอำเภอบางระกำจะขยายวงกว้างออก
ไปอีกมากกว่าเดิม
2) อำเภอพรหมพิราม ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร 12 ตำบล ได้แก่ ตำบลหอกลอง
(หมู่ที่ 4) ตำบลศรีภิรมย์ (หมู่ที่ 1-8,11,12) ตำบลดงประคำ (หมู่ที่ 7,11,12) ตำบลวงฆ้อง (หมู่ที่ 3,4) ตำบลตลุกกระเทียม (หมู่ที่ 2,3,9)
ตำบลท่าช้าง (หมู่ที่ 2,5,7-9) ตำบลหนองแขม (หมู่ที่ 2,4,8,10) ตำบลพรหมพิราม (หมู่ที่ 5,11,12) ตำบลวังวน (หมู่ที่ 1,2,4,8,10)
ตำบลมะต้อง (หมู่ที่ 7,8,10,11) ตำบลมะตูม (หมู่ที่ 1-6) และตำบลทับยายเชียง (หมู่ที่ 6) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.40-0.80 เมตร
การให้ความช่วยเหลือ
1) จังหวัดได้ส่งเรือท้องแบน จำนวน 12 ลำ กระสอบทราย 3,300 ถุง เสาเข็ม 200 ต้น ถุงยังชีพ
300 ชุด ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย
2) จังหวัดและอำเภอ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ช่วยเหลืออพยพสัตว์เลี้ยง
ขนย้ายทรัพย์สินไปไว้ในที่สูง และเร่งสูบน้ำในพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง
3) สำนักงานก่อสร้างเขื่อนที่ 2 (เขื่อนแควน้อย) สนับสนุนรถบรรทุก จำนวน 4 คัน ช่วยเหลือผู้ประสบภัย
3. จังหวัดพิจิตร น้ำจากแม่น้ำยมและแม่น้ำน่านไหลเอ่อเข้าท่วมขังในพื้นที่ลุ่มริมน้ำ 3 อำเภอ ได้แก่
1) อำเภอเมือง น้ำท่วมในพื้นที่ 8 ตำบล ได้แก่ ตำบลในเมือง ตำบลฆะมัง (หมู่ที่ 3,9) ตำบลบ้านบุ่ง
(หมู่ที่ 2,3,5,6) ตำบลปากทาง (หมู่ที่ 3,6,7) ตำบลย่านยาว (หมู่ที่ 2,6) ตำบลสายคำโห้ (หมู่ที่ 1-5) ตำบลป่ามะคาบ (หมู่ที่ 1,2,7,13)
และตำบลหัวดง (หมู่ที่ 6,9) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.10-0.20 เมตร ระดับน้ำทรงตัว
2) อำเภอสามง่าม น้ำท่วมในพื้นที่ 1 ตำบล ได้แก่ ตำบลรังนก (หมู่ที่ 1,2,9) ระดับน้ำสูงประมาณ
0.30-0.50 เมตร เนื่องจากมีพื้นที่เป็นที่ลุ่มแอ่งกะทะ
3) อำเภอวชิรบารมี น้ำท่วมในพื้นที่ 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลวังโมกข์ (หมู่ที่ 1,3,7,9) ตำบลหนองหลุม
(หมู่ 2,10) และตำบลบ้านนา (หมู่ที่ 1,13) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20-0.30 เมตร ระดับน้ำทรงตัว
การให้ความช่วยเหลือ
1) กรมชลประทาน โดยโครงการชลประทานพิจิตร ได้ยุบฝายบ้านบางคลาน และฝายยางพญาวัง เพื่อลดระดับ
น้ำแม่น้ำยมลง พร้อมเตรียมเครื่องสูบน้ำไว้ช่วยเหลือแล้ว 40 เครื่อง
2) กิ่งอำเภอดงเจริญ ได้นำรถขุดตักไฮดรอลิก กำจัดเศษวัชพืชในลำคลองเพื่อเร่งการระบายน้ำและเสริม
คันดินริมคลองเป็นแนวป้องกันน้ำเอ่อล้น อำเภอตะพานหิน ได้จัดหาทรายบรรจุถุง จำนวน 500 ใบ ทำแนวกั้นน้ำและอุดท่อระบายน้ำเพื่อป้องกัน
น้ำทะลักเข้าพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทางการเกษตรของราษฎร
3) สำนักงานทางหลวงชนบทจังหวัด ได้นำเครื่องจักรกลไปเสริมถนนเพื่อเป็นพนังกั้นน้ำแม่น้ำน่าน บริเวณ
หมู่ที่ 3 ตำบลฆะมัง อำเภอเมืองพิจิตร
4) มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ ได้นำสิ่งของพระราชทาน ถุงยังชีพมอบให้กับผู้ประสบภัยที่ตำบลรังนก
ที่วัดกระบุ่มน้ำเดือด จำนวน 500 ชุด และพื้นที่ประสบภัยอื่น โดยมอบให้ทางจังหวัดดำเนินการ จำนวน 500 ชุด
4. จังหวัดนครสวรรค์ น้ำจากแม่น้ำยมและแม่น้ำน่านได้ไหลเอ่อเข้าท่วมขังในพื้นที่ลุ่มริมน้ำ 5 อำเภอ ได้แก่
1) อำเภอเมือง มีน้ำท่วมขังในพื้นการเกษตร 8 ตำบล ได้แก่ ตำบลเกรียงไกร ตำบล บางพระหลวง
ตำบลบึงเสนาท ตำบลแควใหญ่ ตำบลวัดไทรย์ ตำบลบ้านแก่ง ตำบลกลางแดด และตำบลสวรรค์ออกระดับสูงประมาณ 0.10-0.20 เมตร
2) อำเภอบรรพตพิสัย มีน้ำท่วมขังในพื้นที่การเกษตร ที่ตำบลหนองกรด (หมู่ที่,7,10, 13,15) ระดับน้ำสูง
ประมาณ 0.10-0.20 เมตร
3) อำเภอชุมแสง มีน้ำท่วมขังในพื้นการเกษตร 10 ตำบล ได้แก่ ตำบลโคกหม้อ ตำบลบางเคียน
ตำบลท่าไม้ ตำบลฆะมัง ตำบลพิกุล ตำบลหนองกระเจา ตำบลพันลาน ตำบลเกยไชย ตำบลทับกฤชใต้ และตำบลทับกฤช ระดับสูงประมาณ
0.10-0.30 เมตร
4) อำเภอหนองบัว มีน้ำท่วมขังในพื้นการเกษตร 2 ตำบล ได้แก่ ตำบลห้วยร่วม และตำบลห้วยถั่วเหนือ
ระดับสูงประมาณ 0.10-0.20 เมตร
5) อำเภอเก้าเลี้ยว มีน้ำท่วมในพื้นการเกษตรที่ ตำบลหนองเต่า (หมู่ที่ 1,2,7-9) ระดับสูงประมาณ
0.10-0.20 เมตร
การให้ความช่วยเหลือ
1) อำเภอบรรพตพิสัย ร่วมกับ อบต.และกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ได้นำรถแบ็คโฮมาทำพนังกั้นคันคลองสูงขึ้น 1 เมตร
ยาวตลอดแนวในพื้นที่ หมู่ที่ 7,13,15 ตำบลหนองกรด และวางท่อระบายน้ำข้ามคลอง 6 ท่อน ที่หมู่ที่ 10 ตำบลหนองกรด
2) อำเภอชุมแสง ได้นำเรือท้องแบนไปอำนวยความสะดวกให้กับราษฎร หมู่ที่ 6 ตำบลฆะมัง และได้ติดตั้ง
เครื่องสูบน้ำ จำนวน 2 เครื่อง เพื่อสูบน้ำออกจากพื้นที่นาข้าว หมู่ที่ 4,6 ตำบลฆะมัง
3) อำเภอเก้าเลี้ยว ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสร้างสะพานไม้ชั่วคราว 3 จุด ที่หมู่ที่ 1,9 พร้อมติดตั้ง
เครื่องสูบน้ำที่หมู่ที่ 8 และนำรถขุดเข้าไปปิดกั้นคลองบริเวณ หมู่ที่ 1,2,8,9 ที่ตำบลหนองเต่า
2.5 การให้ความช่วยเหลือของกระทรวงมหาดไทย
1) อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (นายอนุชา โมกขะเวส) ได้สั่งการให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
เขต 8 กำแพงเพชร เขต 9 พิษณุโลก เขต 10 ลำปาง นำเรือท้องแบน ถุงยังชีพ ไปสนับสนุนจังหวัดที่ประสบภัยในเขตพื้นที่รับผิดชอบแล้ว
2) การช่วยเหลือผู้ประสบภัยในภาวะฉุกเฉินเร่งด่วน ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ใช้จ่ายเงินทดรอง ราชการ (งบ 50 ล้านบาท)
เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในด้านเครื่องอุปโภคบริโภค ค่าซ่อมแซมบ้านเรือนที่เสียหาย ค่าจัดการศพ ซ่อมแซมสิ่งสาธารณประโยชน์ รวมทั้ง
พื้นที่การเกษตรและปศุสัตว์ บ่อปลาที่เสียหาย
2.6 สิ่งของพระราชทาน
1) ระหว่างวันที่ 1 - 6 กันยายน 2549 พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ องค์ประธานศูนย์ปฏิบัติการบิน
อาสาอนุรักษ์และกู้ภัยสิริภาจุฑาภรณ์ พร้อมคณะผู้ติดตามได้เสด็จไปทรงติดตามความคืบหน้าการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่บ้านนาตอง อำเภอเมืองแพร่
จังหวัดแพร่ เพื่อดูแลการก่อสร้าง “บ้านอาสากู้ภัยร่วมใจสิริภาจุฑาภรณ์” หลังแรก โดยบ้านหลังแรกดังกล่าวสร้างประทานให้กับนางปิ่น แก้วมณี
อายุ 77 ปี ที่ประสบภัยบ้านเสียหายทั้งหลัง ทั้งนี้ บ้านอาสากู้ภัยร่วมใจสิริภาจุฑาภรณ์ จะดำเนินการก่อสร้างทั้งสิ้น 18 หลัง
2) เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2549 มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมป์ ได้นำสิ่งของพระราชทานถุงยังชีพมอบ
ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน เพื่อนำไปมอบให้แก่ผู้ประสบภัยที่ วัดทาปลาดุก หมู่ที่ 5 ตำบลทาปลาดุก อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน จำนวน 600 ชุด
และที่วัดวังไฮ ตำบลเวียงยอง อำเภอเมืองฯ จังหวัดลำพูน จำนวน 400 ชุด
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) (รักษาการนายกรัฐมนตรี) วันที่ 12 กันยายน 2549--จบ--