คณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องการกำหนดราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในประเทศ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ แล้วมีมติดังนี้
1. เห็นชอบให้กำหนดราคาน้ำตาลทราย ณ หน้าโรงงาน ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นดังนี้
- น้ำตาลทรายขาว 14 บาทต่อกิโลกรัม
- น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ 15 บาทต่อกิโลกรัม
2. เห็นชอบให้มีการเรียกเก็บเงินจากชาวไร่อ้อยส่งเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อชำระหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในกรณีที่ราคาอ้อยขั้นสุดท้ายสูงกว่าราคาอ้อยขั้นต้น ให้นำส่วนต่างบางส่วนไปชำระหนี้ตามแผนการชำระหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบไว้แล้ว
3. การควบคุมดูแลจำหน่ายปลีกน้ำตาลทรายให้เป็นไปตามกลไกตลาด ตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด
ซึ่งเดิมกระทรวงอุตสาหกรรมได้รับรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ว่า คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายในการประชุมครั้งที่ 1/2549 เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2549 ได้พิจารณาข้อร้องเรียนของสถาบันชาวไร่อ้อยว่า ปัจจุบันปัจจัยการผลิตอ้อยเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ประกอบกับเกิดภาวะแห้งแล้ง ผลผลิตตกต่ำ ทำให้ราคาอ้อยที่ได้รับอยู่ในระดับต่ำไม่คุ้มต้นทุนการผลิต และได้รับผลตอบแทนต่ำกว่าการปลูกพืชชนิดอื่นส่งผลให้ปริมาณอ้อยลดลงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ฤดูการผลิตปี 2545/46 เป็นต้นมา
นอกจากนี้ยังได้พิจารณาข้อร้องเรียนจากประชาชนผู้บริโภค ตลอดจนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาว่า น้ำตาลทรายในท้องตลาดหาซื้อยากและมีราคาแพงเกินกว่าราคาที่รัฐบาลควบคุม จนทำให้ประชาชนประสบความเดือดร้อน เกิดการตื่นตระหนกว่าจะเกิดภาวะน้ำตาลขาดแคลนและทำให้เกิดการกักตุน แต่จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กระทรวงอุตสาหกรรม พบว่าตั้งแต่การเปิดหีบอ้อยในฤดูการผลิตปี 2548/49 ได้มีการผลิตและจัดสรรน้ำตาลทรายโควตา ก. สำหรับการบริโภคภายในประเทศมีการขึ้นงวดและการขนย้ายน้ำตาลเข้าสู่ตลาดเป็นไปตามสถานการณ์ปกติเช่นเดียวกับปีก่อน ๆ ซึ่งจากการวิเคราะห์สรุปได้ว่าสถานการณ์ดังกล่าวเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้
(1) ต้นทุนการผลิตอ้อยของไทยสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
(1.1) ปัจจัยการผลิตเพิ่มสูงขึ้น สืบเนื่องจากราคาปัจจัยการผลิตสำคัญได้แก่ ค่าขนส่ง ค่าจ้างแรงงาน ค่าปุ๋ยและสารเคมีกำจัดวัชพืช และค่าพันธุ์อ้อย ได้ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตอ้อยเพิ่มสูงขึ้น 70% จากปี 2546/47
(1.2) ประสิทธิภาพการผลิตอ้อยและน้ำตาลทรายลดต่ำลง ผลผลิตอ้อยเฉลี่ยลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก 11.13 ตันต่อไร่ ในปี 2545/46 เหลือเพียง 7.29 ตันต่อไร่ ในปี 2548/49 เนื่องจากราคาไม่จูงใจให้ชาวไร่อ้อยลงทุนบำรุงรักษาและเพิ่มประสิทธิภาพอ้อย ประจวบกับเกิดภาวะแห้งแล้งอย่างต่อเนื่อง ทำให้รายได้ของชาวไร่อ้อยต่ำลงจนไม่คุ้มต้นทุนการผลิต ชาวไร่อ้อยจึงหันไปปลูกพืชอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า หากยังปล่อยให้สภาวะยังเป็นเช่นนี้ จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและความอยู่รอดของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย
(2) ราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สูงกว่าราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายในประเทศมาก โดยที่ราคาน้ำตาลทรายขาวตลาดลอนดอน เดือนกุมภาพันธ์ 2549 ส่งมอบเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2549 อยู่ที่ 442.73 เหรียญสหรัฐฯ ต่อต้น หรือ 17.40 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อรวมค่าพรีเมียมของน้ำตาลทรายไทย (45 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน) แล้วราคาส่งออกของน้ำตาลทรายขาวของไทยจะอยู่ที่ 487.73 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน หรือ 19.17 บาทต่อกิโลกรัม สาเหตุที่ราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น เนื่องมาจากการเร่งปฏิรูปน้ำตาลของสหภาพ ยุโรป และราคาน้ำมันดิบสูงขึ้น ซึ่งในตลาดโลกราคาน้ำตาลมีความสัมพันธ์กับราคาเอทานอลและราคาน้ำมันดิบ โดยแปรผันไปในทิศทางที่สอดคล้องกัน
หากต้องนำเข้าน้ำตาลทรายขาวเพื่อบริโภคในประเทศแล้ว คำนวณจากการนำเข้าน้ำตาลทรายขาว CIF จากออสเตรเลีย รวมค่าขนส่ง ค่าประกันภัย ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2549 จะได้ราคาน้ำตาลนำเข้าที่ท่าเรือกรุงเทพฯ เป็น 19.17 บาทต่อกิโลกรัม แต่ ณ วันที่ 3 มีนาคม 2549 ราคาน้ำตาลทรายขาว CIF จะอยู่ที่ (448+45=493 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน) หรือเท่ากับ 19.38 บาทต่อกิโลกรัม
(3) ราคาจำหน่ายปลีกน้ำตาลทรายขาวในประเทศเปรียบเทียบกับต่างประเทศ พบว่าราคาน้ำตาลทรายจำหน่ายปลีกในประเทศไทยต่ำที่สุดในโลก และจากสถานการณ์ราคาจำหน่ายปลีกในประเทศไทยถูกกว่าประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงอย่างมากนี้เอง อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ให้เกิดการลักลอบนำน้ำตาลทรายออกไปจำหน่ายในประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในบางช่วงเวลาเกิดภาวะการขาดแคลนน้ำตาลทรายสำหรับการบริโภคในประเทศ
(4) จากข้อมูลของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ และคณะกรรมการส่วนจังหวัดว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ได้ประกาศกำหนดราคาน้ำตาลทรายใน 62 จังหวัดโดยราคาน้ำตาลทรายขาว อยู่ระหว่าง 13.25 — 17.00 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ที่ราคา 15.00 บาทต่อกิโลกรัม และราคาน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ อยู่ระหว่าง 14.25 — 18.00 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ที่ 16.00 บาทต่อกิโลกรัม อย่างไรก็ตาม ยังปรากฏว่าราคาน้ำตาลทรายที่ประชาชนผู้บริโภคหาซื้อได้สูงกว่าราคาควบคุม
คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่อุตสาหกรรมนี้ และเพื่อคลี่คลายสภาวะการขาดแคลนน้ำตาลทรายในประเทศ อันเป็นผลจากความแตกต่างของราคาน้ำตาลทรายในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านจึงมีมติให้กำหนดราคาน้ำตาลทราย ณ หน้าโรงงาน ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นดังนี้
- น้ำตาลทรายขาว 14 บาทต่อกิโลกรัม
- น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ 15 บาทต่อกิโลกรัม
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) (รักษาการนายกรัฐมนตรี) วันที่ 7 มีนาคม 2549--จบ--
1. เห็นชอบให้กำหนดราคาน้ำตาลทราย ณ หน้าโรงงาน ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นดังนี้
- น้ำตาลทรายขาว 14 บาทต่อกิโลกรัม
- น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ 15 บาทต่อกิโลกรัม
2. เห็นชอบให้มีการเรียกเก็บเงินจากชาวไร่อ้อยส่งเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อชำระหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในกรณีที่ราคาอ้อยขั้นสุดท้ายสูงกว่าราคาอ้อยขั้นต้น ให้นำส่วนต่างบางส่วนไปชำระหนี้ตามแผนการชำระหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบไว้แล้ว
3. การควบคุมดูแลจำหน่ายปลีกน้ำตาลทรายให้เป็นไปตามกลไกตลาด ตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด
ซึ่งเดิมกระทรวงอุตสาหกรรมได้รับรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ว่า คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายในการประชุมครั้งที่ 1/2549 เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2549 ได้พิจารณาข้อร้องเรียนของสถาบันชาวไร่อ้อยว่า ปัจจุบันปัจจัยการผลิตอ้อยเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ประกอบกับเกิดภาวะแห้งแล้ง ผลผลิตตกต่ำ ทำให้ราคาอ้อยที่ได้รับอยู่ในระดับต่ำไม่คุ้มต้นทุนการผลิต และได้รับผลตอบแทนต่ำกว่าการปลูกพืชชนิดอื่นส่งผลให้ปริมาณอ้อยลดลงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ฤดูการผลิตปี 2545/46 เป็นต้นมา
นอกจากนี้ยังได้พิจารณาข้อร้องเรียนจากประชาชนผู้บริโภค ตลอดจนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาว่า น้ำตาลทรายในท้องตลาดหาซื้อยากและมีราคาแพงเกินกว่าราคาที่รัฐบาลควบคุม จนทำให้ประชาชนประสบความเดือดร้อน เกิดการตื่นตระหนกว่าจะเกิดภาวะน้ำตาลขาดแคลนและทำให้เกิดการกักตุน แต่จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กระทรวงอุตสาหกรรม พบว่าตั้งแต่การเปิดหีบอ้อยในฤดูการผลิตปี 2548/49 ได้มีการผลิตและจัดสรรน้ำตาลทรายโควตา ก. สำหรับการบริโภคภายในประเทศมีการขึ้นงวดและการขนย้ายน้ำตาลเข้าสู่ตลาดเป็นไปตามสถานการณ์ปกติเช่นเดียวกับปีก่อน ๆ ซึ่งจากการวิเคราะห์สรุปได้ว่าสถานการณ์ดังกล่าวเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้
(1) ต้นทุนการผลิตอ้อยของไทยสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
(1.1) ปัจจัยการผลิตเพิ่มสูงขึ้น สืบเนื่องจากราคาปัจจัยการผลิตสำคัญได้แก่ ค่าขนส่ง ค่าจ้างแรงงาน ค่าปุ๋ยและสารเคมีกำจัดวัชพืช และค่าพันธุ์อ้อย ได้ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตอ้อยเพิ่มสูงขึ้น 70% จากปี 2546/47
(1.2) ประสิทธิภาพการผลิตอ้อยและน้ำตาลทรายลดต่ำลง ผลผลิตอ้อยเฉลี่ยลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก 11.13 ตันต่อไร่ ในปี 2545/46 เหลือเพียง 7.29 ตันต่อไร่ ในปี 2548/49 เนื่องจากราคาไม่จูงใจให้ชาวไร่อ้อยลงทุนบำรุงรักษาและเพิ่มประสิทธิภาพอ้อย ประจวบกับเกิดภาวะแห้งแล้งอย่างต่อเนื่อง ทำให้รายได้ของชาวไร่อ้อยต่ำลงจนไม่คุ้มต้นทุนการผลิต ชาวไร่อ้อยจึงหันไปปลูกพืชอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า หากยังปล่อยให้สภาวะยังเป็นเช่นนี้ จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและความอยู่รอดของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย
(2) ราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สูงกว่าราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายในประเทศมาก โดยที่ราคาน้ำตาลทรายขาวตลาดลอนดอน เดือนกุมภาพันธ์ 2549 ส่งมอบเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2549 อยู่ที่ 442.73 เหรียญสหรัฐฯ ต่อต้น หรือ 17.40 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อรวมค่าพรีเมียมของน้ำตาลทรายไทย (45 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน) แล้วราคาส่งออกของน้ำตาลทรายขาวของไทยจะอยู่ที่ 487.73 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน หรือ 19.17 บาทต่อกิโลกรัม สาเหตุที่ราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น เนื่องมาจากการเร่งปฏิรูปน้ำตาลของสหภาพ ยุโรป และราคาน้ำมันดิบสูงขึ้น ซึ่งในตลาดโลกราคาน้ำตาลมีความสัมพันธ์กับราคาเอทานอลและราคาน้ำมันดิบ โดยแปรผันไปในทิศทางที่สอดคล้องกัน
หากต้องนำเข้าน้ำตาลทรายขาวเพื่อบริโภคในประเทศแล้ว คำนวณจากการนำเข้าน้ำตาลทรายขาว CIF จากออสเตรเลีย รวมค่าขนส่ง ค่าประกันภัย ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2549 จะได้ราคาน้ำตาลนำเข้าที่ท่าเรือกรุงเทพฯ เป็น 19.17 บาทต่อกิโลกรัม แต่ ณ วันที่ 3 มีนาคม 2549 ราคาน้ำตาลทรายขาว CIF จะอยู่ที่ (448+45=493 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน) หรือเท่ากับ 19.38 บาทต่อกิโลกรัม
(3) ราคาจำหน่ายปลีกน้ำตาลทรายขาวในประเทศเปรียบเทียบกับต่างประเทศ พบว่าราคาน้ำตาลทรายจำหน่ายปลีกในประเทศไทยต่ำที่สุดในโลก และจากสถานการณ์ราคาจำหน่ายปลีกในประเทศไทยถูกกว่าประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงอย่างมากนี้เอง อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ให้เกิดการลักลอบนำน้ำตาลทรายออกไปจำหน่ายในประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในบางช่วงเวลาเกิดภาวะการขาดแคลนน้ำตาลทรายสำหรับการบริโภคในประเทศ
(4) จากข้อมูลของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ และคณะกรรมการส่วนจังหวัดว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ได้ประกาศกำหนดราคาน้ำตาลทรายใน 62 จังหวัดโดยราคาน้ำตาลทรายขาว อยู่ระหว่าง 13.25 — 17.00 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ที่ราคา 15.00 บาทต่อกิโลกรัม และราคาน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ อยู่ระหว่าง 14.25 — 18.00 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ที่ 16.00 บาทต่อกิโลกรัม อย่างไรก็ตาม ยังปรากฏว่าราคาน้ำตาลทรายที่ประชาชนผู้บริโภคหาซื้อได้สูงกว่าราคาควบคุม
คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่อุตสาหกรรมนี้ และเพื่อคลี่คลายสภาวะการขาดแคลนน้ำตาลทรายในประเทศ อันเป็นผลจากความแตกต่างของราคาน้ำตาลทรายในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านจึงมีมติให้กำหนดราคาน้ำตาลทราย ณ หน้าโรงงาน ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นดังนี้
- น้ำตาลทรายขาว 14 บาทต่อกิโลกรัม
- น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ 15 บาทต่อกิโลกรัม
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) (รักษาการนายกรัฐมนตรี) วันที่ 7 มีนาคม 2549--จบ--