คณะรัฐมนตรีเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบนำความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการไทย — คูเวต ที่ลงนามแล้วเพื่อขอความเห็นชอบต่อรัฐสภา
2. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศ มีหนังสือแจ้งฝ่ายคูเวตเมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบตามความตกลงดังกล่าวแล้ว
ข้อเท็จจริง
กระทรวงการต่างประเทศเสนอว่า
1. เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2551 ไทยและคูเวตได้ลงนามในความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการไทย — คูเวต ต่อมาเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2552 ฝ่ายคูเวตมีหนังสือแจ้งว่า ได้ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญของตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และประสงค์ขอทราบผลการดำเนินการตามกฎหมายภายในของไทย เพื่อให้ความตกลงดังกล่าวมีผลใช้บังคับตามข้อ 7 (1) ของความตกลงฯ ซึ่งระบุว่าความตกลงฉบับนี้จะเริ่มใช้บังคับในวันที่ภาคีคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายได้แจ้งให้กันและกันทราบเป็นครั้งสุดท้ายโดยผ่านช่องทางการทูตว่า บรรดาการต่างๆ อันจำเป็นทางรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การบังคับใช้ความตกลงฉบับนี้ ได้รับการดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
2. โดยที่ข้อ 2(3) (b) ของความตกลงฯ ระบุว่าความร่วมมือภายใต้ความตกลงฉบับนี้ ครอบคลุมถึงการสนับสนุนการลงทุนและการอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสินค้าบริการ และเงินทุนระหว่างประเทศทั้งสอง ซึ่งมีนัยเป็นการเปิดเสรีด้านการค้า การลงทุน จึงน่าจะเป็นหนังสือสัญญาที่มีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน อย่างมีนัยสำคัญ ตามมาตรา 190 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาก่อนดำเนินการให้มีผลผูกพัน
สาระสำคัญของร่างความตกลง
ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการไทย — คูเวต เป็นความตกลงกรอบกว้างๆ เพื่อจะนำไปสู่ความร่วมมือด้านต่างๆ ที่ทั้งสองประเทศเห็นชอบที่จะร่วมมือกันในอนาคตซึ่งเป็นความตกลงที่ประเทศไทยเคยลงนามกับประเทศต่างๆ มีการระบุรายละเอียดเกี่ยวกับความร่วมมือสาขาต่างๆ อาทิ ด้านเศรษฐกิจ การพาณิชย์ การบริการ การเงิน การธนาคาร อุตสาหกรรม พลังงาน การท่องเที่ยว วิชาการ ฯลฯ โดยเสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วม (JC) ระหว่างกัน โดยประธานร่วมจะเป็นระดับรัฐมนตรี ทั้งนี้ ฝ่ายไทยจะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธาน ส่วนฝ่ายคูเวตมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคูเวตเป็นประธาน
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 13 ตุลาคม 2552 --จบ--