คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
ข้อเท็จจริง
กระทรวงการคลังเสนอว่า
1. ประเทศไทยประสบปัญหาการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะนำมาซึ่งภาระเลี้ยงดูผู้สูงอายุและหากไม่ดำเนินการใด ๆ รายได้ภาษีของรัฐบาลที่ได้จากวัยทำงานจะไม่พอเลี้ยงดูผู้สูงอายุ อันจะนำมาซึ่งปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรุนแรง
2. ปัจจุบันเครื่องมือการออมระยะยาวเพื่อการชราภาพแม้จะมีอยู่หลายกองทุน แต่ครอบคลุมแรงงานที่มีนายจ้างเพียงร้อยละ 30 ของผู้มีงานทำทั้งประเทศ ซึ่งยังมีแรงงานอีกร้อยละ 70 ของผู้มีงานทำ ที่ยังไม่สามารถเข้าถึงระบบกองทุนต่างๆ และไม่ได้รับการคุ้มครองใดๆ จึงได้ทำการศึกษาวิเคราะห์แนวทางการสร้างเครื่องมือการออมเพื่อการชราภาพที่เหมาะสม โดยการศึกษาวิจัย ลงพื้นที่สำรวจความเป็นไปได้และความต้องการของแรงงาน และจัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นจากผู้แทน องค์กรการเงินชุมชน ผู้แทนแรงงานตามกลุ่มอาชีพในหลายจังหวัด รวมทั้งจัดประชุมกลุ่มย่อยเพื่อรับฟังความคิดเห็นระหว่างตัวแทนภาครัฐ นักวิชาการ และตัวแทนกองทุนประกันสังคม เพื่อให้ได้ข้อสรุปของโครงการกองทุนการออมแห่งชาติในรูปแบบของกองทุน โดยไม่ซ้ำซ้อนกับกองทุนที่มีอยู่แล้ว
3. กระทรวงการคลังจึงได้จัดทำข้อเสนอกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เสนอคณะอนุกรรมการผลักดันระบบ การออมเพื่อวัยสูงอายุแห่งชาติ ซึ่งมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน และเสนอต่อคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2552 โดยที่ประชุมมีมติรับทราบและให้กระทรวงการคลังนำความเห็นของคณะกรรมการไปประกอบการดำเนินการต่อไป
4. การจัดตั้ง กอช. นี้ จะสามารถครอบคลุมแรงงานที่ยังไม่มีระบบการคุ้มครองเพื่อการชราภาพใดๆ ประมาณ 24 ล้านคน ได้อย่างทั่วถึง และสมาชิกของ กอช. จะได้รับรายได้หลังเกษียณไปตลอดอายุขัย โดยกรณีออมขั้นต่ำตั้งแต่อายุ 20 ปี จนครบอายุ 60 ปี จะได้รับบำนาญเดือนละ 1,710 บาท (รวมเบี้ยยังชีพเป็นเงิน 2,210 บาท) และหากออมเพิ่มขึ้นจะได้รับบำนาญเพิ่มขึ้นด้วย รวมทั้งเงินกองทุนจะเพิ่มขึ้นด้วยและนำมาซึ่งแหล่งเงินทุนระยะยาวที่มั่นคงเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืนและเป็นการลดการกู้ยืมจากต่างประเทศที่อาจจะกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้อีกด้วย อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน ตามที่กระทรวงการคลังได้จัดทำแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ระยะ 5 ปี (ปี 2552-2556) รวมทั้งการลดความผันผวนของการเคลื่อนย้ายเงินลงทุน นอกจากนี้ ยังมีผลต่อการพัฒนาตราสารรูปแบบใหม่ ๆ ในตลาดตามอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น นำมาซึ่งการพัฒนาคุณภาพและความหลากหลายของสินค้าและบริการ และการลดต้นทุนทางการเงิน (Cost of fund) ให้ผู้ระดมทุน
5. ผลกระทบของการจัดตั้ง กอช. จะทำให้รัฐบาลมีภาระจากการจ่ายเงินสมทบในกองทุนปีแรก ดังนี้
จำนวนผู้เข้า กอช. การจ่ายเงินสมทบของรัฐ (ล้านบาท) ร้อยละ/GDP ร้อยละ 100 22,955 0.27 ร้อยละ 50 11,477 0.14 ร้อยละ 30 6,887 0.08
โดยในระยะยาวจะมีทิศทางลดลงอย่างต่อเนื่องตามโครงสร้างประชากร ซึ่งวัยแรงงานจะมีแนวโน้มลดลง ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างแรงงานจากระบบลูกจ้าง นายจ้าง เป็นระบบไม่มีนายจ้าง จะต้องไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
6. จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องมีการจัดตั้ง กอช.ขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมแรงงานที่ยังไม่ได้รับความคุ้มครองใด ๆ และเพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับเก็บออมตั้งแต่วัยทำงานเพื่อเลี้ยงดูตนเองในอนาคต สามารถนำไปสู่การบริหารเงินออมให้ เกิดผลประโยชน์เพิ่มพูนกับผู้ออม และเกิดประโยชน์กับเศรษฐกิจของประเทศได้ รวมทั้งเป็นระบบการออมที่มีความเหมาะสม และสอดคล้องกับวิถีการดำเนินชีวิตของผู้ออม
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
ร่างพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
ประเด็น สาระสำคัญ 1. การจัดตั้งกองทุน - กำหนดให้มีการจัดตั้ง “กองทุนการออมแห่งชาติ” เรียกโดยย่อว่า
“กอช.” เพื่อส่งเสริมการออมทรัพย์และเป็นหลักประกันการจ่ายบำเหน็จ
บำนาญและให้ประโยชน์ตอบแทนแก่สมาชิก (ร่างมาตรา 6)
2. คุณสมบัติสมาชิก กอช. 2.1 เป็นบุคคลสัญชาติไทย มีอายุไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ และไม่เป็นสมาชิกที่
ได้รับความคุ้มครองและหลักประกันทางสังคมตามกฎหมายอื่นที่มีนายจ้าง
หรือรัฐบาลจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนหรืออยู่ในระบบบำเหน็จบำนาญภาครัฐ
2.2 ให้สมาชิกสิ้นสภาพเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ (ร่างมาตรา 26 และ
ร่างมาตรา 32)
3. การจ่ายเงินสะสมและสมทบเข้ากองทุน 3.1 ให้สมาชิกจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุน และให้รัฐบาลจ่ายเงินสมทบตามที่
กำหนดในกฎกระทรวง
3.2 กรณีสมาชิกทุพพลภาพซึ่งไม่ต้องการจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนให้รัฐบาล
จ่ายเงินสมทบกึ่งหนึ่งของอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง
3.3 กรณีสมาชิกมีเหตุจำเป็นไม่สามารถจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนได้ ให้
สมาชิกนั้นยังคงเป็นสมาชิกต่อไป และรัฐไม่ต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน
สำหรับสมาชิกรายนั้น (ร่างมาตรา 31)
3.4 กระทรวงการคลังได้กำหนดแนวทางการจ่ายเงินสะสมและสมทบเข้ากอง
ทุน ดังนี้
3.4.1 ผู้ออม จ่ายสะสมขั้นต่ำเดือนละ 100 บาท และจ่ายสะสมเพิ่ม
ตามความสมัครใจได้อีกเดือนละ 100-1,000 บาท
3.4.2 รัฐบาล จ่ายสมทบตามอายุของผู้ออม คือ
(1) ผู้ออมอายุต่ำกว่า 20 ปี รัฐไม่จ่ายสมทบ
(2) ผู้ออมอายุ 20-30 ปี รัฐจ่ายสมทบเดือนละ 50 บาท
(3) ผู้ออมอายุมากกว่า30-50 ปี รัฐจ่ายสมทบเดือนละ80 บาท
(4) ผู้ออมอายุมากกว่า50-60 ปีรัฐจ่ายสมทบเดือนละ100 บาท
4. คณะกรรมการกองทุน - คณะกรรมการกองทุนประกอบด้วย กรรมการโดยตำแหน่ง 6 คน กรรมการ
ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ด้านบัญชีและด้านการเงิน ด้านละ 1 คน รวม3 คน
ผู้แทนสมาชิกจำนวน 5 คน โดยมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานและ
เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติเป็นกรรมการและ
เลขานุการ (ร่างมาตรา 12 และ 19)
5. สำนักงานกองทุน - กำหนดให้กองทุนมีสำนักงานใหญ่ ณ สถานที่ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดใน
ราชกิจจานุเบกษาและจะจัดตั้งสาขาหรือตัวแทนขึ้น ณ ที่อื่นใดได้ตามความ
จำเป็น (ร่างมาตรา 8)
6. การจ่ายเงินให้สมาชิก กอช. 6.1 กรณีสมาชิกสิ้นสภาพเพราะอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ มีสิทธิได้รับบำนาญ
จากเงินสะสม เงินสมทบและผลประโยชน์จากเงินสะสม เงินสมทบไปตลอด
อายุขัย (ร่างมาตรา 33)
6.2 กรณีสมาชิกถึงแก่ความตายและมิได้มีหนังสือกำหนดบุคคลผู้พึงได้รับเงิน
จากกองทุน ให้จ่ายบำเหน็จจากกองทุนแก่บุคคลดังต่อไปนี้
6.2.1 บุตรได้รับ 2 ส่วน ถ้าผู้ตายมีบุตร 3 คนขึ้นไปให้ได้รับ 3 ส่วน
6.2.2 คู่สมรสได้รับ 1 ส่วน
6.2.3 บิดามารดาได้รับ 1 ส่วน กรณีผู้ตายไม่มีบุคคลตาม 6.2.1-
6.2.3 ให้เงินดังกล่าวตกเป็นของกองทุน (ร่างมาตรา 34)
6.3 กรณีสมาชิกทุพพลภาพก่อนอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จ
จากกองทุน เว้นแต่จะแสดงความจำนงขอรับเงินตามข้อ 6.1
(ร่างมาตรา 35)
6.4 กรณีสมาชิกอายุครบ 50 ปีบริบูรณ์และมีเหตุจำเป็น มีสิทธิขอรับเงินจาก
กองทุนอัตราไม่เกินร้อยละ 40 ของเงินสะสมและผลประโยชน์ของเงินสะสม
ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการประกาศกำหนด (ร่างมาตรา 38)
7. การคงเงินไว้ในกองทุน - กรณีสมาชิกรายใดได้รับความคุ้มครองและหลักประกันทางสังคมกรณีชราภาพ
ตามกฎหมายอื่นก่อนสิ้นสมาชิกภาพ ให้คงการเป็นสมาชิกต่อไป โดยไม่ต้อง
จ่ายเงินสะสมเข้ากองทุน และรัฐไม่ต้องจ่ายเงินสมทบ (ร่างมาตรา 37)
8. การชดเชยเงินให้แก่กองทุน - กรณีกองทุนได้รับความเสียหายจากการลงทุน หรือได้รับประโยชน์น้อยกว่า
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน โดยเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์แห่ง
ใหญ่ 5 แห่ง ธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การ
เกษตร ให้รัฐบาลจัดสรรเงินงบประมาณประจำปี ชดเชยให้แก่กองทุน
(ร่างมาตรา 39)
9. สิทธิเรียกร้องเงินจากกองทุน - เงินกองทุนสมาชิกไม่อาจนำไปใช้เป็นหลักประกันเพื่อการชำระหนี้หรือไม่
อาจโอนกันได้และไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี(ร่างมาตรา 40)
10. การบริหารจัดการกองทุน - คณะกรรมการกองทุนจะเป็นผู้บริหารกองทุน และจะมอบหมายให้บริษัท
จัดการลงทุนบางรายที่ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนส่วน
บุคคลตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ร่วมบริหารตามความ
เหมาะสมก็ได้ (ร่างมาตรา 42)
11. ผู้รับฝากทรัพย์สิน - ให้ผู้รับฝากทรัพย์สินที่ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลัก
ทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ทำหน้าที่ดูแลและเก็บรักษาทรัพย์สินอื่นของกองทุน
(ร่างมาตรา 57)
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 20 ตุลาคม 2552 --จบ--