คณะรัฐมนตรีอนุมัติการขออัตรากำลังเพิ่มใหม่ของกรมศุลกากรเพื่อรองรับการปฏิบัติงานในกระบวนการตรวจของผู้โดยสารและตรวจปล่อยสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จำนวน 726 อัตรา (ทั้งนี้ ได้ตัดโอนอัตรากำลังข้าราชการที่ปฏิบัติงานสำนักงานศุลกากรท่าอากาศยานกรุงเทพแล้ว จำนวน 656 อัตรา) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. อนุมัติจัดสรรอัตรากำลังคืนทดแทนตำแหน่งที่ยุบเลิกจากการเกษียณอายุราชการของกรมศุลกากรในปีงบประมาณ 2548 จำนวน 48 อัตรา
2. อนุมัติอัตรากำลังข้าราชการเพิ่ม จำนวน 678 อัตรา
กระทรวงการคลังชี้แจงว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการทางอากาศ โดยพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้มีความทันสมัยได้มาตรฐานสากลเช่นเดียวกับสนามบินชั้นนำอื่น ๆ ของโลก ซึ่งมีกำหนดการเปิดบริการปลายปี 2549 นั้น กรมศุลกากรเป็นหน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบการปฏิบัติงานที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในการให้บริการทางศุลกากรแก่ผู้โดยสารขาเข้า — ออก การนำของเข้า — การส่งของออก จึงต้องเตรียมการรองรับการเปิดดำเนินการของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยการพัฒนาและปรับเปลี่ยนระบบงานศุลกากรเพื่อมุ่งเน้นการอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายผู้โดยสารและสินค้า โดยนำเทคโนโลยี เครื่องมือ เครื่องใช้ วัสดุอุปกรณ์ที่ทันสมัยมาใช้ในการปฏิบัติงานของศุลกากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิตามนโยบายด้านการคมนาคมของรัฐบาล
โดยที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีขนาดใหญ่กว่าท่าอากาศยานกรุงเทพมาก ทั้งขนาดของสนามบิน อาคารผู้โดยสาร และคลังสินค้า ในขณะเดียวกันปริมาณผู้โดยสารและสินค้าจะเพิ่มขึ้นอย่างมากจากนโยบายการพัฒนาให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นศูนย์กลางการเดินทาง และศูนย์กลางการกระจายสินค้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบกับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ดังนั้น กรมศุลกากรต้องเตรียมอัตรากำลังรองรับให้เพียงพอต่อการให้บริการ และการควบคุมทางศุลกากร เพื่อสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้โดยสารและนักท่องเที่ยว ในขณะเดียวกันจะต้องสามารถควบคุมจัดเก็บภาษีมิให้รั่วไหล และปกป้องสังคมจากของต้องห้ามต้องจำกัดที่เป็นอันตราย รวมทั้งการประสานงานในการป้องกันการก่อการร้ายข้ามชาติและความปลอดภัยของผู้โดยสาร
เนื่องจากการปฏิบัติงานศุลกากรที่ท่าอากาศยานกรุงเทพในปัจจุบัน ทั้งกระบวนงานตรวจสินค้าและกระบวนงานตรวจของผู้โดยสารยังมิได้แยกออกจากกันเด็ดขาดในลักษณะเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service) ดังนั้น การปฏิบัติงานที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จึงได้นำหลักการให้บริการแบบ One Stop Service ภายใต้อาคารและสำนักงานเดียวกันมาใช้ โดยแยกผู้โดยสารและสินค้าที่เป็น Cargo ออกจากกัน ซึ่งกระบวนการตรวจของผู้โดยสาร ได้แก่ การปฏิบัติพิธีการชำระภาษีอากร การปฏิบัติพิธีการ Express Consignment การควบคุมทางศุลกากร การดำเนินการด้านคดี ของกลาง ของตกค้าง มารวมปฏิบัติแบบเบ็ดเสร็จภายใต้อาคารผู้โดยสารเท่านั้น สำหรับกระบวนการตรวจสินค้า นำหลักการ Free Zone มาบริหารคลังสินค้าเพื่อให้เป็นศูนย์กลาง (Hub) ในการกระจายสินค้าตามนโยบายการส่งเสริมประสิทธิภาพการแข่งขันของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม และเพื่อให้มีการปฏิบัติงานที่พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง จึงต้องจัดอัตรากำลังเป็น 4 ผลัด เช่นเดียวกับศุลกากรนานาชาติตามมาตรฐานสากล ทำให้อัตรากำลังต้องเพิ่มเป็น 4 เท่าของงานบริการปกติที่ทำในเวลาราชการ อนึ่ง ตามมาตรฐานสากลองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศกำหนดให้กระบวนการให้บริการผู้โดยสารนับตั้งแต่ออกจากเครื่องบินจนกระทั่งออกจากอาคารผู้โดยสารต้องไม่เกิน 45 นาที ซึ่งงานด้านศุลกากรเป็นกระบวนการสุดท้าย จึงต้องเร่งการปฏิบัติงานให้สะดวกและรวดเร็วที่สุด
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) (รักษาการนายกรัฐมนตรี) วันที่ 5 กันยายน 2549--จบ--
1. อนุมัติจัดสรรอัตรากำลังคืนทดแทนตำแหน่งที่ยุบเลิกจากการเกษียณอายุราชการของกรมศุลกากรในปีงบประมาณ 2548 จำนวน 48 อัตรา
2. อนุมัติอัตรากำลังข้าราชการเพิ่ม จำนวน 678 อัตรา
กระทรวงการคลังชี้แจงว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการทางอากาศ โดยพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้มีความทันสมัยได้มาตรฐานสากลเช่นเดียวกับสนามบินชั้นนำอื่น ๆ ของโลก ซึ่งมีกำหนดการเปิดบริการปลายปี 2549 นั้น กรมศุลกากรเป็นหน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบการปฏิบัติงานที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในการให้บริการทางศุลกากรแก่ผู้โดยสารขาเข้า — ออก การนำของเข้า — การส่งของออก จึงต้องเตรียมการรองรับการเปิดดำเนินการของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยการพัฒนาและปรับเปลี่ยนระบบงานศุลกากรเพื่อมุ่งเน้นการอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายผู้โดยสารและสินค้า โดยนำเทคโนโลยี เครื่องมือ เครื่องใช้ วัสดุอุปกรณ์ที่ทันสมัยมาใช้ในการปฏิบัติงานของศุลกากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิตามนโยบายด้านการคมนาคมของรัฐบาล
โดยที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีขนาดใหญ่กว่าท่าอากาศยานกรุงเทพมาก ทั้งขนาดของสนามบิน อาคารผู้โดยสาร และคลังสินค้า ในขณะเดียวกันปริมาณผู้โดยสารและสินค้าจะเพิ่มขึ้นอย่างมากจากนโยบายการพัฒนาให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นศูนย์กลางการเดินทาง และศูนย์กลางการกระจายสินค้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบกับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ดังนั้น กรมศุลกากรต้องเตรียมอัตรากำลังรองรับให้เพียงพอต่อการให้บริการ และการควบคุมทางศุลกากร เพื่อสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้โดยสารและนักท่องเที่ยว ในขณะเดียวกันจะต้องสามารถควบคุมจัดเก็บภาษีมิให้รั่วไหล และปกป้องสังคมจากของต้องห้ามต้องจำกัดที่เป็นอันตราย รวมทั้งการประสานงานในการป้องกันการก่อการร้ายข้ามชาติและความปลอดภัยของผู้โดยสาร
เนื่องจากการปฏิบัติงานศุลกากรที่ท่าอากาศยานกรุงเทพในปัจจุบัน ทั้งกระบวนงานตรวจสินค้าและกระบวนงานตรวจของผู้โดยสารยังมิได้แยกออกจากกันเด็ดขาดในลักษณะเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service) ดังนั้น การปฏิบัติงานที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จึงได้นำหลักการให้บริการแบบ One Stop Service ภายใต้อาคารและสำนักงานเดียวกันมาใช้ โดยแยกผู้โดยสารและสินค้าที่เป็น Cargo ออกจากกัน ซึ่งกระบวนการตรวจของผู้โดยสาร ได้แก่ การปฏิบัติพิธีการชำระภาษีอากร การปฏิบัติพิธีการ Express Consignment การควบคุมทางศุลกากร การดำเนินการด้านคดี ของกลาง ของตกค้าง มารวมปฏิบัติแบบเบ็ดเสร็จภายใต้อาคารผู้โดยสารเท่านั้น สำหรับกระบวนการตรวจสินค้า นำหลักการ Free Zone มาบริหารคลังสินค้าเพื่อให้เป็นศูนย์กลาง (Hub) ในการกระจายสินค้าตามนโยบายการส่งเสริมประสิทธิภาพการแข่งขันของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม และเพื่อให้มีการปฏิบัติงานที่พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง จึงต้องจัดอัตรากำลังเป็น 4 ผลัด เช่นเดียวกับศุลกากรนานาชาติตามมาตรฐานสากล ทำให้อัตรากำลังต้องเพิ่มเป็น 4 เท่าของงานบริการปกติที่ทำในเวลาราชการ อนึ่ง ตามมาตรฐานสากลองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศกำหนดให้กระบวนการให้บริการผู้โดยสารนับตั้งแต่ออกจากเครื่องบินจนกระทั่งออกจากอาคารผู้โดยสารต้องไม่เกิน 45 นาที ซึ่งงานด้านศุลกากรเป็นกระบวนการสุดท้าย จึงต้องเร่งการปฏิบัติงานให้สะดวกและรวดเร็วที่สุด
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) (รักษาการนายกรัฐมนตรี) วันที่ 5 กันยายน 2549--จบ--