คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยสำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สรุปสถานการณ์ภัยแล้งและการให้ความช่วยเหลือที่ได้ดำเนินการแล้ว (จนถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2549) ดังนี้
1. สภาพภูมิอากาศและสภาพฝนในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 26 ม.ค.—1 ก.พ. 2549)
ในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านบริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางปกคลุมประเทศไทยตอนบนตลอดสัปดาห์ โดยมีกำลังอ่อนลงในระยะครึ่งหลังของสัปดาห์ ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ตลอดสัปดาห์ ลักษณะดังกล่าวทำให้บริเวณประเทศไทยมีอากาศเย็นเกือบทั่วไปกับอากาศหนาวโดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนภาคใต้มีฝนในระยะครึ่งแรกของสัปดาห์ส่วนมากทาง ฝั่งตะวันออกของ ภาค ( ที่มา : กรมอุตุนิยมวิทยา )
2. สถานการณ์ภัยแล้งปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2549)
กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้รับรายงานจากจังหวัดว่าได้เกิดสถานการณ์ภัยแล้ง (ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2548 ถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2549) ดังนี้
2.1 พื้นที่ประสบภัย รวม 39 จังหวัด 235 อำเภอ 27 กิ่งฯ 1,525 ตำบล 13,474 หมู่บ้าน แยกเป็น
ที่ ภาค จังหวัด พื้นที่ประสบภัย
1 ภาคเหนือ 14 พิษณุโลก นครสวรรค์ ลำพูน แพร่ อุทัยธานี เชียงราย
กำแพงเพชร ตาก ลำปาง เพชรบูรณ์ น่าน พิจิตร อุตรดิตถ์
และสุโขทัย
2 ภาคตะวันออก 17 ชัยภูมิ ยโสธร มหาสารคาม นครราชสีมา บุรีรัมย์ ขอนแก่น
เฉียงเหนือ อุดรธานี เลย นครพนม ศรีสะเกษ อุบลราชธานี สกลนคร
หนองคาย หนองบัวลำภู กาฬสินธุ์ อำนาจเจริญ สุรินทร์
3 ภาคกลาง 3 ลพบุรี สุพรรณบุรี และราชบุรี
4 ภาคตะวันออก 4 ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา และจันทบุรี
5 ภาคใต้ 1 สตูล
รวม 39 รวม 39 จังหวัด 235 อำเภอ 27 กิ่งฯ 1,525 ตำบล 13,474 หมู่บ้าน
2.2 ราษฎรเดือดร้อน จำนวน 1,167,615 ครัวเรือน 4,786,384 คน
ตารางข้อมูลหมู่บ้านที่ประสบภัยแล้ง ณ ปัจจุบัน (2 กุมภาพันธ์ 2549) เปรียบเทียบกับจำนวนหมู่บ้านทั้งหมด
ที่ ภาค จำนวนหมู่บ้าน จำนวนหมู่บ้านที่ คิดเป็นร้อยละ
ทั้งหมด ประสบภัยแล้ง (ของหมู่บ้าน
ปัจจุบัน ทั้งประเทศ)
(ณ 2 ก.พ.2549)
1 ตะวันออกเฉียงเหนือ 32,576 10,418 31.98
2 เหนือ 16,306 2,740 16.80
3 ตะวันออก 4,816 213 4.42
4 กลาง 11,377 91 0.80
5 ใต้ 8,588 12 0.14
รวม 73,963 13,474 18.22
2.3 พื้นที่การเกษตรที่ประสบภัยแล้ง
ประเภทพืช พื้นที่การเกษตรที่ประสบ พื้นที่การเกษตรที่คาดว่า
ความเสียหายแล้ว (ไร่) จะประสบความเสียหาย (ไร่)
นาข้าว 727,761 ไร่ 1,469,685 ไร่
พืชไร่ 182,946 ไร่ 425,445 ไร่
พืชสวน 7,980 ไร่ 53,658 ไร่
รวม 918,687 ไร่ 1,948,788 ไร่
มูลค่าความเสียหาย 187,258,693 บาท 389,433,989 บาท
2.4 การให้ความช่วยเหลือของจังหวัด/อำเภอ/กิ่งอำเภอ
1) การจัดสรรน้ำเพื่อการเกษตร
(1) ใช้รถบรรทุกน้ำ จำนวน 51 คัน 746 เที่ยว
(2) ปริมาณน้ำที่แจกจ่าย จำนวน 7,052,600 ลิตร
(3) ใช้เครื่องสูบน้ำเข้าพื้นที่การเกษตรจากทุกหน่วยงานและของประชาชน รวม 119 เครื่อง
(4) สร้างทำนบ/ฝายเก็บกักน้ำ (ชั่วคราว) 1,396 แห่ง
(5) ขุดลอกแหล่งน้ำ 10 แห่ง
2) การแจกจ่ายน้ำอุปโภค/บริโภค
(1) ใช้รถบรรทุกน้ำ จำนวน 183 คัน 2,913 เที่ยว
(2) ปริมาณน้ำที่แจกจ่าย จำนวน 240,492,000 ลิตร
3) งบประมาณดำเนินการใช้จ่ายไปแล้ว
(1) งบฉุกเฉินทดรองราชการของจังหวัด (งบ 50 ล้านบาท) 66,448,408 บาท
(2) งบฉุกเฉินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 9,994,373 บาท
(3) งบประมาณอื่น ๆ เช่น งบจังหวัด CEO 219,830 บาท
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 76,662,611 บาท
3. การดำเนินการของกระทรวงมหาดไทย
สำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้มีหนังสือแจ้งให้จังหวัดซักซ้อมแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินทดรองราชการตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ พ.ศ. 2546 เพื่อเป็นการ ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งปี 2549 ตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้จังหวัดเร่งดำเนินการช่วยเหลือราษฎรโดยเร่งด่วนและทันต่อเหตุการณ์ โดยกำหนดแนวทางปฏิบัติ ดังนี้
1) เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดได้ประกาศให้ภัยแล้งเป็นภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินแล้ว การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในกรณีดังกล่าวต้องช่วยเหลือทันทีไม่ปล่อยให้เหตุการณ์หรือความเสียหายผ่านพ้นล่วงเลยเวลานาน ทั้งนี้ นอกจากจะไม่เป็นการเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาแล้วยังทำให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อน เป็นอย่างยิ่ง โดยให้ความช่วยเหลือในเรื่องน้ำอุปโภคบริโภคเป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกที่จะต้องดำเนินการโดยด่วนที่สุด นายอำเภอและปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอจะต้องรับผิดชอบจัดทำแผนและวงรอบการแจกจ่ายน้ำ ให้แก่ราษฎรที่ขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค โดยใช้สถานที่โรงเรียน วัด มัสยิด โบสถ์คริสต์ หรือสถานที่ที่เหมาะสมเป็นจุดรับน้ำและแจกจ่ายน้ำให้เพียงพอและทั่วถึง
สำหรับผลผลิตทางการเกษตรที่เสียหายจากภัยแล้งที่เกิดขึ้น หากมีเป็นจำนวนมากและจำเป็นต้องช่วยเหลือเป็นเงินชดเชยค่าพันธุ์พืชเป็นเงินงบประมาณจำนวนมาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อวงเงินทดรองราชการที่ คงเหลืออยู่และไม่เพียงพอเพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่มีความจำเป็นเร่งด่วนด้านอื่นๆได้อีก ให้จังหวัดขอความช่วยเหลือด้านพืชผลการเกษตรที่เสียหายดังกล่าวไปยังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อขอเงินงบกลางจากรัฐบาลให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรต่อไป
2) การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ให้ช่วยเหลือได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546 โดยเฉพาะภาชนะรองรับน้ำหรือถังน้ำกลางประจำหมู่บ้าน ตลอดจนบ่อน้ำบาดาลและบ่อน้ำตื้นประจำหมู่บ้านชำรุดเสียหายให้รีบดำเนินการซ่อมแซม ให้สามารถใช้การได้โดยเร็ว ยกเว้นการจัดหาภาชนะรองรับน้ำไม่ให้จัดหาภาชนะรองรับน้ำเพื่อแจกจ่ายแก่ราษฎร เช่น ถังไฟเบอร์กลาส โอ่งซีเมนต์ ถังเหล็กอาบสังกะสี หรือถังเก็บน้ำประเภทอื่นๆ โดยการช่วยเหลือควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาล ฯลฯ จัดหางบประมาณเองและสนับสนุนส่งเสริมให้ราษฎรได้มีส่วนร่วม เช่น สร้างถังปูนฉาบ ปั้นโอ่งซีเมนต์ไว้ประจำบ้านเรือนสำหรับช่วยเหลือตนเองในเบื้องต้น
3) การเป่าล้างบ่อบาดาลให้ใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์ได้แห่งละไม่เกิน 4,600 บาท และการปรับปรุงซ่อมแซมระบบประปาหมู่บ้านแห่งละไม่เกิน 26,580 บาท ตามหลักเกณฑ์ด้านการแพทย์และการสาธารณสุข
4) กรณีซ่อมแซมยานพาหนะ เช่น รถบรรทุกน้ำที่ชำรุดระหว่างช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้ซ่อมแซมตามสภาพที่เกิดชำรุดเสียหายระหว่างปฏิบัติงานจริงๆเท่านั้น สำหรับการซ่อมแซมปรับปรุงนอกเหนือจากนี้ เช่น ซ่อมแซมรถบรรทุกน้ำก่อนปฏิบัติงานช่วยเหลือหรือรถบรรทุกน้ำที่ชำรุดอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ให้ใช้งบประมาณปกติของหน่วยงานต้นสังกัดซ่อมแซมรถบรรทุกน้ำให้สามารถใช้งานได้ หรือหากไม่มีงบประมาณเพื่อซ่อมรถบรรทุกน้ำดังกล่าวให้จังหวัดขอรับการสนับสนุนรถบรรทุกน้ำไปยังส่วนราชการที่มีรถบรรทุกน้ำ เพื่อส่งไปปฏิบัติงานช่วยเหลือในพื้นที่โดยด่วนต่อไป
5) การเก็บกักน้ำจากลำน้ำ ลำห้วย สระ หนอง บึง และแหล่งน้ำอื่นๆ ที่ยังมีน้ำเพียงพอที่จะเก็บกักเพื่ออุปโภคบริโภคหรือเพื่อการเกษตร โดยจัดหาวัสดุ ได้แก่ กระสอบทราย เพื่อนำไปทำฝายเก็บกักน้ำชั่วคราว ให้คำนึงถึงความประหยัดและยึดถือราคาพาณิชย์จังหวัดหรือราคาท้องถิ่น หากราคาวัสดุสูงกว่าราคาที่กำหนดให้ชี้แจงรายละเอียดประกอบการเบิกจ่ายฯ ถึงเหตุผลความจำเป็น และมิให้เบิกจ่ายเป็นค่าแรงงานบรรจุทรายใส่กระสอบแต่ให้ราษฎรในพื้นที่ที่ได้รับประโยชน์ เสียสละแรงงานเข้าร่วมในการดำเนินการ
6) การจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงและหล่อลื่น สำหรับยานพาหนะบรรทุกน้ำของทางราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเอกชนที่นำมาช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในกรณีภัยแล้งให้พิจารณาถึงจำนวนราษฎร จำนวนวันที่ต้องจ่าย ระยะทางจากแหล่งน้ำถึงหมู่บ้านที่จะช่วยเหลือ จำนวนยานพาหนะบรรทุกน้ำ และความจุของการบรรทุกน้ำ โดยจัดทำแผนแจกจ่ายน้ำให้ครอบคลุมรายละเอียดให้มากที่สุด ทั้งนี้ การเบิกจ่ายเงินทดรองราชการเป็นค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้เบิกจ่ายเป็นงวดๆในแต่ละเดือน ไม่ควรจัดซื้อสำรองไว้ก่อนวันที่กำหนดในแผนแจกจ่ายน้ำ
7) การจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงและหล่อลื่น รวมทั้งค่ากระแสไฟฟ้าสำหรับเครื่องสูบน้ำของทางราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อสูบน้ำเข้าพื้นที่การเกษตรให้คำนึงถึงความจำเป็นและประหยัด โดยให้ราษฎรมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือตนเองเป็นสำคัญ หากเครื่องสูบน้ำของทางราชการมีจำนวนไม่เพียงพอ และเอกชนนำเครื่องสูบน้ำมาสนับสนุนช่วยเหลือสามารถเบิกจ่ายเงินทดรองราชการได้ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามอัตราที่กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์กำหนด ในกรณีที่เครื่องสูบน้ำหรือยานพาหนะของทางราชการและเอกชนที่นำมาช่วยเหลือไม่เพียงพอและไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากภาคเอกชนได้ ให้เช่าหรือจ้างเหมาเครื่องสูบน้ำหรือ รถยนต์บรรทุกน้ำหรือยานพาหนะอื่นๆ เพื่อนำไปช่วยเหลือได้เท่าที่จำเป็นเร่งด่วน โดยจ่ายค่าเช่าเป็นรายวัน ตามราคาท้องถิ่น
8) ในกรณีที่เกิดเหตุภัยแล้งรุนแรง มีผลกระทบให้ราษฎรต้องละทิ้งถิ่นฐานและขาดราย ได้เลี้ยงดูครอบครัว ให้จัดโครงการฝึกอบรมส่งเสริมอาชีพระยะสั้นให้แก่ราษฎร โดยให้คำนึงถึงความเหมาะสมและความจำเป็นกับสภาพปัญหาของพื้นที่ที่ประสบภัยเป็นสำคัญ โดยขอรับการสนับสนุนวิทยากรจากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด
9) กรณีแหล่งน้ำ บ่อน้ำ สระน้ำ หนองน้ำในหมู่บ้านที่ประสบปัญหาภัยแล้งหากสามารถดำเนินการสูบน้ำจากแหล่งน้ำใกล้เคียงที่มีเหลืออยู่มากักเก็บยังบ่อน้ำ สระน้ำต่างๆ เพื่อให้ราษฎรได้มีแหล่งน้ำสำหรับอุปโภคบริโภค ตลอดจนเพื่อให้มีน้ำสำหรับเลี้ยงโค กระบือ ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าก็สามารถใช้จ่ายเงินทดรองราชการเป็นค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าน้ำมันหล่อลื่นและค่าเบี้ยเลี้ยงเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องสูบน้ำได้
10) การขุดลอกระบายน้ำเพื่อเปิดทางน้ำกรณีภัยแล้ง หากมีความจำเป็นต้องผันน้ำเข้าพื้นที่การเกษตรก็สามารถกระทำได้ แต่จะต้องพิจารณาตามความจำเป็นที่จะต้องแก้ไขปัญหาโดยฉับพลันและเป็นไปอย่างเหมาะสมเพื่อมิให้เกิดความเสียหายแก่พื้นที่การเกษตรของราษฎร โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและใช้จ่ายงบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด สามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนหรือความเสียหายให้แก่ราษฎรที่ประสบภัยได้อย่างแท้จริง ทั้งนี้การขุดลอกเปิดทางน้ำจะต้องมีปริมาณน้ำในพื้นที่ตลอดคลองทั้งสายและมีปริมาณน้ำเพียงพอสำหรับการผันน้ำเข้าพื้นที่การเกษตร เช่น การขุดตะกอนดินปากคลองเพื่อเปิดทางน้ำให้ไหลเข้าคลองซอยส่งน้ำเข้าสู่พื้นที่การเกษตรเป็นต้น
สำหรับในกรณีที่มีความจำเป็นต้องขุดลอกลำน้ำ/ลำห้วย เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำหรือแหล่งน้ำสาธารณประโยชน์ที่มีอยู่ตื้นเขิน ให้จังหวัดประกาศเชิญชวนภาคเอกชนหรือผู้มีความประสงค์ดำเนินการขุดลอกแหล่งน้ำ คูคลองดังกล่าว โดยภาคเอกชนผู้ขุดลอกนำวัสดุที่ได้จากการขุดลอกนำไปเป็นประโยชน์แทนค่าจ้างตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยวิธีการเกี่ยวกับการขุดลอกแหล่งน้ำสาธารณประโยชน์ที่ตื้นเขิน พ.ศ. 2547
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2549--จบ--
1. สภาพภูมิอากาศและสภาพฝนในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 26 ม.ค.—1 ก.พ. 2549)
ในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านบริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางปกคลุมประเทศไทยตอนบนตลอดสัปดาห์ โดยมีกำลังอ่อนลงในระยะครึ่งหลังของสัปดาห์ ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ตลอดสัปดาห์ ลักษณะดังกล่าวทำให้บริเวณประเทศไทยมีอากาศเย็นเกือบทั่วไปกับอากาศหนาวโดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนภาคใต้มีฝนในระยะครึ่งแรกของสัปดาห์ส่วนมากทาง ฝั่งตะวันออกของ ภาค ( ที่มา : กรมอุตุนิยมวิทยา )
2. สถานการณ์ภัยแล้งปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2549)
กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้รับรายงานจากจังหวัดว่าได้เกิดสถานการณ์ภัยแล้ง (ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2548 ถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2549) ดังนี้
2.1 พื้นที่ประสบภัย รวม 39 จังหวัด 235 อำเภอ 27 กิ่งฯ 1,525 ตำบล 13,474 หมู่บ้าน แยกเป็น
ที่ ภาค จังหวัด พื้นที่ประสบภัย
1 ภาคเหนือ 14 พิษณุโลก นครสวรรค์ ลำพูน แพร่ อุทัยธานี เชียงราย
กำแพงเพชร ตาก ลำปาง เพชรบูรณ์ น่าน พิจิตร อุตรดิตถ์
และสุโขทัย
2 ภาคตะวันออก 17 ชัยภูมิ ยโสธร มหาสารคาม นครราชสีมา บุรีรัมย์ ขอนแก่น
เฉียงเหนือ อุดรธานี เลย นครพนม ศรีสะเกษ อุบลราชธานี สกลนคร
หนองคาย หนองบัวลำภู กาฬสินธุ์ อำนาจเจริญ สุรินทร์
3 ภาคกลาง 3 ลพบุรี สุพรรณบุรี และราชบุรี
4 ภาคตะวันออก 4 ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา และจันทบุรี
5 ภาคใต้ 1 สตูล
รวม 39 รวม 39 จังหวัด 235 อำเภอ 27 กิ่งฯ 1,525 ตำบล 13,474 หมู่บ้าน
2.2 ราษฎรเดือดร้อน จำนวน 1,167,615 ครัวเรือน 4,786,384 คน
ตารางข้อมูลหมู่บ้านที่ประสบภัยแล้ง ณ ปัจจุบัน (2 กุมภาพันธ์ 2549) เปรียบเทียบกับจำนวนหมู่บ้านทั้งหมด
ที่ ภาค จำนวนหมู่บ้าน จำนวนหมู่บ้านที่ คิดเป็นร้อยละ
ทั้งหมด ประสบภัยแล้ง (ของหมู่บ้าน
ปัจจุบัน ทั้งประเทศ)
(ณ 2 ก.พ.2549)
1 ตะวันออกเฉียงเหนือ 32,576 10,418 31.98
2 เหนือ 16,306 2,740 16.80
3 ตะวันออก 4,816 213 4.42
4 กลาง 11,377 91 0.80
5 ใต้ 8,588 12 0.14
รวม 73,963 13,474 18.22
2.3 พื้นที่การเกษตรที่ประสบภัยแล้ง
ประเภทพืช พื้นที่การเกษตรที่ประสบ พื้นที่การเกษตรที่คาดว่า
ความเสียหายแล้ว (ไร่) จะประสบความเสียหาย (ไร่)
นาข้าว 727,761 ไร่ 1,469,685 ไร่
พืชไร่ 182,946 ไร่ 425,445 ไร่
พืชสวน 7,980 ไร่ 53,658 ไร่
รวม 918,687 ไร่ 1,948,788 ไร่
มูลค่าความเสียหาย 187,258,693 บาท 389,433,989 บาท
2.4 การให้ความช่วยเหลือของจังหวัด/อำเภอ/กิ่งอำเภอ
1) การจัดสรรน้ำเพื่อการเกษตร
(1) ใช้รถบรรทุกน้ำ จำนวน 51 คัน 746 เที่ยว
(2) ปริมาณน้ำที่แจกจ่าย จำนวน 7,052,600 ลิตร
(3) ใช้เครื่องสูบน้ำเข้าพื้นที่การเกษตรจากทุกหน่วยงานและของประชาชน รวม 119 เครื่อง
(4) สร้างทำนบ/ฝายเก็บกักน้ำ (ชั่วคราว) 1,396 แห่ง
(5) ขุดลอกแหล่งน้ำ 10 แห่ง
2) การแจกจ่ายน้ำอุปโภค/บริโภค
(1) ใช้รถบรรทุกน้ำ จำนวน 183 คัน 2,913 เที่ยว
(2) ปริมาณน้ำที่แจกจ่าย จำนวน 240,492,000 ลิตร
3) งบประมาณดำเนินการใช้จ่ายไปแล้ว
(1) งบฉุกเฉินทดรองราชการของจังหวัด (งบ 50 ล้านบาท) 66,448,408 บาท
(2) งบฉุกเฉินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 9,994,373 บาท
(3) งบประมาณอื่น ๆ เช่น งบจังหวัด CEO 219,830 บาท
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 76,662,611 บาท
3. การดำเนินการของกระทรวงมหาดไทย
สำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้มีหนังสือแจ้งให้จังหวัดซักซ้อมแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินทดรองราชการตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ พ.ศ. 2546 เพื่อเป็นการ ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งปี 2549 ตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้จังหวัดเร่งดำเนินการช่วยเหลือราษฎรโดยเร่งด่วนและทันต่อเหตุการณ์ โดยกำหนดแนวทางปฏิบัติ ดังนี้
1) เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดได้ประกาศให้ภัยแล้งเป็นภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินแล้ว การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในกรณีดังกล่าวต้องช่วยเหลือทันทีไม่ปล่อยให้เหตุการณ์หรือความเสียหายผ่านพ้นล่วงเลยเวลานาน ทั้งนี้ นอกจากจะไม่เป็นการเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาแล้วยังทำให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อน เป็นอย่างยิ่ง โดยให้ความช่วยเหลือในเรื่องน้ำอุปโภคบริโภคเป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกที่จะต้องดำเนินการโดยด่วนที่สุด นายอำเภอและปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอจะต้องรับผิดชอบจัดทำแผนและวงรอบการแจกจ่ายน้ำ ให้แก่ราษฎรที่ขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค โดยใช้สถานที่โรงเรียน วัด มัสยิด โบสถ์คริสต์ หรือสถานที่ที่เหมาะสมเป็นจุดรับน้ำและแจกจ่ายน้ำให้เพียงพอและทั่วถึง
สำหรับผลผลิตทางการเกษตรที่เสียหายจากภัยแล้งที่เกิดขึ้น หากมีเป็นจำนวนมากและจำเป็นต้องช่วยเหลือเป็นเงินชดเชยค่าพันธุ์พืชเป็นเงินงบประมาณจำนวนมาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อวงเงินทดรองราชการที่ คงเหลืออยู่และไม่เพียงพอเพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่มีความจำเป็นเร่งด่วนด้านอื่นๆได้อีก ให้จังหวัดขอความช่วยเหลือด้านพืชผลการเกษตรที่เสียหายดังกล่าวไปยังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อขอเงินงบกลางจากรัฐบาลให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรต่อไป
2) การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ให้ช่วยเหลือได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546 โดยเฉพาะภาชนะรองรับน้ำหรือถังน้ำกลางประจำหมู่บ้าน ตลอดจนบ่อน้ำบาดาลและบ่อน้ำตื้นประจำหมู่บ้านชำรุดเสียหายให้รีบดำเนินการซ่อมแซม ให้สามารถใช้การได้โดยเร็ว ยกเว้นการจัดหาภาชนะรองรับน้ำไม่ให้จัดหาภาชนะรองรับน้ำเพื่อแจกจ่ายแก่ราษฎร เช่น ถังไฟเบอร์กลาส โอ่งซีเมนต์ ถังเหล็กอาบสังกะสี หรือถังเก็บน้ำประเภทอื่นๆ โดยการช่วยเหลือควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาล ฯลฯ จัดหางบประมาณเองและสนับสนุนส่งเสริมให้ราษฎรได้มีส่วนร่วม เช่น สร้างถังปูนฉาบ ปั้นโอ่งซีเมนต์ไว้ประจำบ้านเรือนสำหรับช่วยเหลือตนเองในเบื้องต้น
3) การเป่าล้างบ่อบาดาลให้ใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์ได้แห่งละไม่เกิน 4,600 บาท และการปรับปรุงซ่อมแซมระบบประปาหมู่บ้านแห่งละไม่เกิน 26,580 บาท ตามหลักเกณฑ์ด้านการแพทย์และการสาธารณสุข
4) กรณีซ่อมแซมยานพาหนะ เช่น รถบรรทุกน้ำที่ชำรุดระหว่างช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้ซ่อมแซมตามสภาพที่เกิดชำรุดเสียหายระหว่างปฏิบัติงานจริงๆเท่านั้น สำหรับการซ่อมแซมปรับปรุงนอกเหนือจากนี้ เช่น ซ่อมแซมรถบรรทุกน้ำก่อนปฏิบัติงานช่วยเหลือหรือรถบรรทุกน้ำที่ชำรุดอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ให้ใช้งบประมาณปกติของหน่วยงานต้นสังกัดซ่อมแซมรถบรรทุกน้ำให้สามารถใช้งานได้ หรือหากไม่มีงบประมาณเพื่อซ่อมรถบรรทุกน้ำดังกล่าวให้จังหวัดขอรับการสนับสนุนรถบรรทุกน้ำไปยังส่วนราชการที่มีรถบรรทุกน้ำ เพื่อส่งไปปฏิบัติงานช่วยเหลือในพื้นที่โดยด่วนต่อไป
5) การเก็บกักน้ำจากลำน้ำ ลำห้วย สระ หนอง บึง และแหล่งน้ำอื่นๆ ที่ยังมีน้ำเพียงพอที่จะเก็บกักเพื่ออุปโภคบริโภคหรือเพื่อการเกษตร โดยจัดหาวัสดุ ได้แก่ กระสอบทราย เพื่อนำไปทำฝายเก็บกักน้ำชั่วคราว ให้คำนึงถึงความประหยัดและยึดถือราคาพาณิชย์จังหวัดหรือราคาท้องถิ่น หากราคาวัสดุสูงกว่าราคาที่กำหนดให้ชี้แจงรายละเอียดประกอบการเบิกจ่ายฯ ถึงเหตุผลความจำเป็น และมิให้เบิกจ่ายเป็นค่าแรงงานบรรจุทรายใส่กระสอบแต่ให้ราษฎรในพื้นที่ที่ได้รับประโยชน์ เสียสละแรงงานเข้าร่วมในการดำเนินการ
6) การจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงและหล่อลื่น สำหรับยานพาหนะบรรทุกน้ำของทางราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเอกชนที่นำมาช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในกรณีภัยแล้งให้พิจารณาถึงจำนวนราษฎร จำนวนวันที่ต้องจ่าย ระยะทางจากแหล่งน้ำถึงหมู่บ้านที่จะช่วยเหลือ จำนวนยานพาหนะบรรทุกน้ำ และความจุของการบรรทุกน้ำ โดยจัดทำแผนแจกจ่ายน้ำให้ครอบคลุมรายละเอียดให้มากที่สุด ทั้งนี้ การเบิกจ่ายเงินทดรองราชการเป็นค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้เบิกจ่ายเป็นงวดๆในแต่ละเดือน ไม่ควรจัดซื้อสำรองไว้ก่อนวันที่กำหนดในแผนแจกจ่ายน้ำ
7) การจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงและหล่อลื่น รวมทั้งค่ากระแสไฟฟ้าสำหรับเครื่องสูบน้ำของทางราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อสูบน้ำเข้าพื้นที่การเกษตรให้คำนึงถึงความจำเป็นและประหยัด โดยให้ราษฎรมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือตนเองเป็นสำคัญ หากเครื่องสูบน้ำของทางราชการมีจำนวนไม่เพียงพอ และเอกชนนำเครื่องสูบน้ำมาสนับสนุนช่วยเหลือสามารถเบิกจ่ายเงินทดรองราชการได้ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามอัตราที่กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์กำหนด ในกรณีที่เครื่องสูบน้ำหรือยานพาหนะของทางราชการและเอกชนที่นำมาช่วยเหลือไม่เพียงพอและไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากภาคเอกชนได้ ให้เช่าหรือจ้างเหมาเครื่องสูบน้ำหรือ รถยนต์บรรทุกน้ำหรือยานพาหนะอื่นๆ เพื่อนำไปช่วยเหลือได้เท่าที่จำเป็นเร่งด่วน โดยจ่ายค่าเช่าเป็นรายวัน ตามราคาท้องถิ่น
8) ในกรณีที่เกิดเหตุภัยแล้งรุนแรง มีผลกระทบให้ราษฎรต้องละทิ้งถิ่นฐานและขาดราย ได้เลี้ยงดูครอบครัว ให้จัดโครงการฝึกอบรมส่งเสริมอาชีพระยะสั้นให้แก่ราษฎร โดยให้คำนึงถึงความเหมาะสมและความจำเป็นกับสภาพปัญหาของพื้นที่ที่ประสบภัยเป็นสำคัญ โดยขอรับการสนับสนุนวิทยากรจากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด
9) กรณีแหล่งน้ำ บ่อน้ำ สระน้ำ หนองน้ำในหมู่บ้านที่ประสบปัญหาภัยแล้งหากสามารถดำเนินการสูบน้ำจากแหล่งน้ำใกล้เคียงที่มีเหลืออยู่มากักเก็บยังบ่อน้ำ สระน้ำต่างๆ เพื่อให้ราษฎรได้มีแหล่งน้ำสำหรับอุปโภคบริโภค ตลอดจนเพื่อให้มีน้ำสำหรับเลี้ยงโค กระบือ ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าก็สามารถใช้จ่ายเงินทดรองราชการเป็นค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าน้ำมันหล่อลื่นและค่าเบี้ยเลี้ยงเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องสูบน้ำได้
10) การขุดลอกระบายน้ำเพื่อเปิดทางน้ำกรณีภัยแล้ง หากมีความจำเป็นต้องผันน้ำเข้าพื้นที่การเกษตรก็สามารถกระทำได้ แต่จะต้องพิจารณาตามความจำเป็นที่จะต้องแก้ไขปัญหาโดยฉับพลันและเป็นไปอย่างเหมาะสมเพื่อมิให้เกิดความเสียหายแก่พื้นที่การเกษตรของราษฎร โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและใช้จ่ายงบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด สามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนหรือความเสียหายให้แก่ราษฎรที่ประสบภัยได้อย่างแท้จริง ทั้งนี้การขุดลอกเปิดทางน้ำจะต้องมีปริมาณน้ำในพื้นที่ตลอดคลองทั้งสายและมีปริมาณน้ำเพียงพอสำหรับการผันน้ำเข้าพื้นที่การเกษตร เช่น การขุดตะกอนดินปากคลองเพื่อเปิดทางน้ำให้ไหลเข้าคลองซอยส่งน้ำเข้าสู่พื้นที่การเกษตรเป็นต้น
สำหรับในกรณีที่มีความจำเป็นต้องขุดลอกลำน้ำ/ลำห้วย เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำหรือแหล่งน้ำสาธารณประโยชน์ที่มีอยู่ตื้นเขิน ให้จังหวัดประกาศเชิญชวนภาคเอกชนหรือผู้มีความประสงค์ดำเนินการขุดลอกแหล่งน้ำ คูคลองดังกล่าว โดยภาคเอกชนผู้ขุดลอกนำวัสดุที่ได้จากการขุดลอกนำไปเป็นประโยชน์แทนค่าจ้างตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยวิธีการเกี่ยวกับการขุดลอกแหล่งน้ำสาธารณประโยชน์ที่ตื้นเขิน พ.ศ. 2547
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2549--จบ--