ขอนำร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอุซเบกิสถาน

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday January 20, 2010 15:34 —มติคณะรัฐมนตรี

เรื่อง ขอนำร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอุซเบกิสถานว่าด้วยความร่วมมือในการควบคุมยาเสพติด

วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท และสารตั้งต้น เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบและขออนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม

หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจ ฯ ฝ่ายไทย รวมทั้งขออนุมัติให้มีการแก้ไขในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หากมีความจำเป็น

คณะรัฐมนตรีเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอทั้ง 2 ข้อ ดังนี้

1. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอุซเบกิสถานว่าด้วยความร่วมมือในการควบคุมยาเสพติด วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท และสารตั้งต้น

2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ ฯ ฝ่ายไทย รวมทั้งอนุมัติให้มีการแก้ไขในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หากมีความจำเป็น

สาระสำคัญของเรื่อง

กระทรวงยุติธรรม (สำนักงาน ป.ป.ส.) รายงานว่า

1. รัฐบาลอุซเบกิสถานได้เสนอขอทำความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านยาเสพติดกับประเทศไทยพร้อมทั้งส่งร่างความตกลงฯ ระหว่างไทย-อุซเบกิสถานของฝ่ายอุซเบกิสถานให้ฝ่ายไทยพิจารณา ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ส. ในฐานะหน่วยงานกลางด้านยาเสพติดได้พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้ว่าประเทศไทยและอุซเบกิสถานต่างไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหายาเสพติดระหว่างกันมากนัก แต่โดยที่อุซเบกิสถานเป็นประเทศในเอเชียกลาง ซึ่งประเทศไทยมีนโยบายกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันในด้านต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจของไทยในภูมิภาคดังกล่าว รวมทั้งการประสบปัญหาคล้ายคลึงกันในแง่ที่เป็นทางผ่านของการลักลอบนำยาเสพติดที่ผลิตในประเทศเพื่อนบ้านส่งต่อไปยังประเทศที่สาม จึงเห็นควรจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านยาเสพติดระหว่างไทย — อุซเบกิสถาน ในลักษณะที่เป็นการแสดงเจตนารมณ์ที่จะมีความร่วมมือระหว่างกัน โดยเนื้อหาของความร่วมมือจะเป็นในกรอบกว้าง ไม่ลงรายละเอียดหรือกำหนดพันธะผูกพันที่จะเป็นภาระระหว่างกันมากเกินไป ซึ่งเป็นแนวทางที่สำนักงาน ป.ป.ส. ใช้ในการทำความตกลงกับประเทศต่าง ๆ ที่ไม่ได้มีปัญหาส่งผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทย

2. สำนักงาน ป.ป.ส. ได้ส่งร่างต้นแบบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านยาเสพติดซึ่งประเทศไทยทำกับประเทศต่างๆ ให้ฝ่ายอุซเบกิสถานพิจารณา ต่อมาฝ่ายอุซเบกิสถานได้ส่งร่างโต้ตอบบันทึกความเข้าใจฯ ให้ฝ่ายไทยพิจารณา สำนักงาน ป.ป.ส. จึงได้ส่งร่างโต้ตอบบันทึกความเข้าใจฯ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณา ซึ่งส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่าเนื้อหาสาระของร่างโต้ตอบบันทึกความเข้าใจฯ ส่วนใหญ่เป็นไปตามร่างต้นแบบบันทึกความเข้าใจ ฯ ที่ฝ่ายไทยเสนอ อย่างไรก็ตาม ยังมีส่วนที่ทั้งสองฝ่ายควรจะได้หารือร่วมกันในการปรับแก้ไขการใช้ถ้อยคำและทำความเข้าใจเกี่ยวกับ เจตนารมณ์ในการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจฯ ระหว่างกัน

3. ฝ่ายไทยได้จัดการประชุมหารือระหว่างฝ่ายไทยและฝ่ายอุซเบกิสถาน ซึ่งที่ประชุมสามารถตกลงร่วมกันได้และเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับที่เป็นกลาง (Common Draft) โดยสำนักงาน ป.ป.ส. ได้ส่งร่างบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับที่เป็นกลางดังกล่าว พร้อมทั้งร่างคำแปลให้กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ พิจารณาและได้รับแจ้งว่า ไม่ขัดข้องในด้านสารัตถะและขอปรับแก้ไขถ้อยคำเล็กน้อย ทั้งนี้ สำนักงาน ป.ป.ส. ได้ปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอุซเบกิสถานว่าด้วยความร่วมมือในการควบคุมยาเสพติด วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท และสารตั้งต้น ฉบับที่เป็นกลางพร้อมทั้งร่างคำแปล โดยพิจารณาจากความเห็นของกรมสนธิสัญญาและกฏหมายเรียบร้อยแล้ว

4. กระทรวงยุติธรรม ได้แจ้งข้อมูลเพิ่มเติมในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับบทบัญญัติตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยว่า โดยที่ขอบเขตความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ จักต้องกระทำภายใต้บังคับของกฎหมายภายในและระเบียบข้อบังคับของแต่ละฝ่าย และไม่ได้เปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตพื้นที่นอกอาณาเขต หรือมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ จึงไม่น่าเข้าข่ายเป็นหนังสือสัญญาตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 190 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย อย่างไรก็ตามเกี่ยวกับเรื่องนี้ สำนักงาน ป.ป.ส. ได้มีหนังสือถึงกรมสนธิสัญญาและกฎหมายขอความร่วมมือพิจารณาให้แนวปฏิบัติและขั้นตอนในการดำเนินงานต่อไป เพื่อให้การเสนอ เพื่อให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ ฯ สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งได้รับแจ้งว่า บันทึกความเข้าใจฯ ระบุพันธกรณีให้แต่ละฝ่ายกำหนดหน่วยงานกลางหรือผู้ประสานงาน และกำหนดความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ในการควบคุม พืชเสพติด อีกทั้งยังระบุให้มีการแลกเปลี่ยนข้อสนเทศเพื่อการป้องกันอาชญากรรมด้านยาเสพติดด้วย และโดยที่ขอบเขตความร่วมมือจักต้องกระทำภายใต้บังคับของกฎหมายภายในและระเบียบข้อบังคับของแต่ละฝ่าย จึงไม่น่าเข้าข่ายเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 190 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย อย่างไรก็ดี โดยที่บันทึกความเข้าใจฯ เข้าข่ายหนังสือตามมาตรา 190 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี

--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 19 มกราคม 2553--จบ--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ