คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยในระยะ 2 เดือนแรกของปี 2549 (มกราคม — กุมภาพันธ์) สรุปได้ดังนี้
1. การส่งออก
การส่งออกเดือนกุมภาพันธ์ มีมูลค่า 9,515 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 22.8 การส่งออกยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยเป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราสูงทั้งสินค้าเกษตรกรรม/อุตสาหกรรมการเกษตร และ สินค้าอุตสาหกรรม ร้อยละ 23.1 และ 21.0 ตามลำดับ
สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตร สินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพารา มันสำปะหลัง กุ้งแช่แข็งและแปรรูป อาหารกระป๋องและแปรรูป ผัก ผลไม้ กระป๋องและแปรรูป ไก่แปรรูป รวมทั้งข้าวที่กลับมาส่งออกเพิ่มขึ้น โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของราคา ขณะที่ปริมาณลดลง สินค้าที่ส่งออกลดลงได้แก่ น้ำตาล โดยลดลงทั้งปริมาณและมูลค่า เนื่องจากผลผลิตในประเทศลดลง
สินค้าอุตสาหกรรม การส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สินค้าที่ขยายตัวในอัตราสูงต่อเนื่อง ได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอ เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้เดินทาง สิ่งพิมพ์และกระดาษ เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เภสัช และของเล่น สำหรับสินค้าที่ส่งออกลดลง ได้แก่ วัสดุก่อสร้าง เนื่องจากความต้องการของโลกชะลอตัวลง ต้องแข่งขันกับประเทศคู่แข่งโดยเฉพาะจีน รวมทั้งต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น และอัญมณี เนื่องจากการแข่งขันกับประเทศอินเดีย ปัญหาการขาดแคลนแรงงานและต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น
การส่งออกในระยะ 2 เดือนแรกของปี 2549 (ม.ค.-ก.พ.) มีมูลค่า 18,461 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 18.2 เป็นการขยายตัวของการส่งออกสินค้าเกษตรกรรม/อุตสาหกรรมการเกษตรร้อยละ 13.5 และสินค้าอุตสาหกรรมร้อยละ 17.2
สินค้าสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพารา มันสำปะหลัง กุ้งแช่แข็งและแปรรูป อาหารกระป๋องและแปรรูป ผัก ผลไม้ กระป๋องและแปรรูป ไก่แปรรูป เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอ เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้เดินทาง สิ่งพิมพ์และกระดาษ เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เภสัช และของเล่น
สินค้าสำคัญที่ส่งออกลดลง ได้แก่ ข้าว (เนื่องจากต้องแข่งขันด้านราคากับเวียดนาม) น้ำตาล (เนื่องจากผลผลิตในประเทศลดลง) วัสดุก่อสร้าง (ต้องแข่งขันกับจีนและความต้องการโลกชะลอตัวลง)
ตลาดส่งออกสำคัญ การส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งในตลาดหลักและตลาดใหม่ โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.0 และ 28.1 ตามลำดับ การส่งออกไปตลาดหลักขยายตัวเพิ่มขึ้นในทุกตลาด คือ อาเซียน(5) ร้อยละ 13.9 สหรัฐฯ ร้อยละ 15.5 สหภาพยุโรป ร้อยละ 11.0 และญี่ปุ่น ร้อยละ 6.9 ตลาดใหม่ที่ขยายตัวในอัตราสูง ได้แก่ ยุโรปตะวันออก (ร้อยละ 47.8) จีน (ร้อยละ 42.9) ละตินอเมริกา (ร้อยละ 41.3) ตะวันออกกลาง (ร้อยละ 35.8) อินโดจีนและพม่า (ร้อยละ 33.2) ออสเตรเลีย (ร้อยละ 31.5) เกาหลีใต้ (ร้อยละ 29.8) และ ฮ่องกง (ร้อยละ 24.0)
2. การนำเข้า
การนำเข้าในเดือนกุมภาพันธ์ 2549 มีมูลค่า 9,801.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.0 และเทียบกับเดือนมกราคม 2549 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 โดยหมวดสินค้าที่มีมูลค่าการนำเข้าสูง ได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง ทุน วัตถุดิบ/กึ่งสำเร็จรูป โดยการนำเข้าเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 78.3, 21.7 และ 3.0 ตามลำดับ แยกเป็นประเภทสินค้านำเข้าที่สำคัญดังนี้
- สินค้าเชื้อเพลิง นำเข้ามูลค่า 1,893 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 78.3 (สัดส่วนร้อยละ 19.3 ของมูลค่านำเข้ารวม) โดยเป็นการนำเข้าน้ำมันดิบมูลค่า 1,423 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 77.3
- เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 901 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 (สัดส่วนร้อยละ 9.2 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 686 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 (สัดส่วนร้อยละ 7.0 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 568 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.8 (สัดส่วนร้อยละ 5.8 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ นำเข้ามูลค่า 617.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับ เดือนเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 20.1 (สัดส่วนร้อยละ 6.3 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- ทองคำ นำเข้ามูลค่า 181 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวของปีก่อนลดลง ร้อยละ 26.8 (สัดส่วนร้อยละ 1.9 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เครื่องบิน บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) นำเข้าเครื่องบินจำนวน 2 ลำ มูลค่า 287.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
การนำเข้าในระยะ 2 เดือนแรกของปี 2549 (มกราคม-กุมภาพันธ์) มีมูลค่า 19,189.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.0 เป็นการขยายตัวของการนำเข้าในหมวดที่สำคัญ ได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง สินค้าทุน สินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 42.9, 15.9 และ 13.5 ตามลำดับ
3. ดุลการค้า ดุลการค้าในเดือนกุมภาพันธ์ 2549 ไทยขาดดุลการค้า 286.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนมกราคม 2549 การขาดดุลลดลง ร้อยละ 35.1 (เดือน มกราคม 2549 ขาดดุล 442.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ทำให้ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2549 ไทยขาดดุลการค้า 728.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณร้อยละ 60.0 (เดือนมกราคม — กุมภาพันธ์ 2548 ขาดดุล 1,817.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ)
4. สรุปแนวโน้มการส่งออก การนำเข้าและดุลการค้าของปี 2549
แนวโน้มการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ได้ติดตามสถานการณ์และแนวโน้มการส่งออกอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง โดยได้จัดให้มีการประชุมหารือกับผู้ส่งออกสินค้าสำคัญเป็นประจำทุกเดือนซึ่งผู้ส่งออกสินค้าสำคัญทั้งหมดยังมีความเชื่อมั่นว่าการส่งออกสินค้าสำคัญในปี 2549 จะสามารถส่งออกได้ใกล้เคียงหรือตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ คือเพิ่มขึ้นจากปี 2548 ร้อยละ 17.5 คิดเป็นมูลค่าการส่งออกประมาณ 130.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
แนวโน้มการนำเข้า จากมาตรการดูแลการนำเข้าโดยความร่วมมือจากภาคเอกชนในการแจ้งแผนการนำเข้าปี 2549 สำหรับ 6 กลุ่มสินค้าสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดิบ เหล็ก ทองคำ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเคมีภัณฑ์ รวมทั้งการติดตามการนำเข้าสินค้าตามโครงการลงทุนของรัฐ ทำให้เอกชนปรับลดการสะสมสต๊อกสินค้า และเพิ่มการนำเข้าสินค้าทุนและวัตถุดิบ โดยเฉพาะในกลุ่มการผลิตเพื่อส่งออก
สำหรับการนำเข้าน้ำมันดิบ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยขาดดุลการค้า ได้มีการหารือกับผู้นำเข้า และในปี 2549 ได้กำหนดเป้าหมายการนำเข้าน้ำมันดิบไว้ 765,000 บาร์เรลต่อวัน (ลดลงจากปี 2548 ร้อยละ 10 ) ซึ่งขณะนี้ในช่วง 2 เดือนแรกมีการนำเข้าน้ำมันเฉลี่ย 795,000 บาร์เรลต่อวัน ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อน แต่ยังคงสูงกว่าเป้าหมาย จึงควรมีการรณรงค์เพิ่มขึ้นในเรื่องการประหยัดพลังงาน ซึ่งจะช่วยลดการขาดดุลการค้า
แนวโน้มดุลการค้า คาดว่าดุลการค้าของไทยจะขาดดุลลดลง หากการส่งออกมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมาย และการนำเข้าชะลอตัวลดลง จากการบริหารและวางแผนการนำเข้าร่วมกับภาคเอกชนเพื่อดูแลการนำเข้าสินค้าสำคัญ และชะลอการนำเข้าสินค้าที่ไม่จำเป็น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ยังคงเป็นเรื่องของราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงขึ้น การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น และการระบาดของไข้หวัดนก รวมถึงขีดความสามารถในการส่งออกที่เพิ่มขึ้นของประเทศคู่แข่งสำคัญ เช่น จีน อินเดีย และเวียดนาม
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) (รักษาการนายกรัฐมนตรี) วันที่ 4 เมษายน 2549--จบ--
1. การส่งออก
การส่งออกเดือนกุมภาพันธ์ มีมูลค่า 9,515 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อนร้อยละ 22.8 การส่งออกยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยเป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราสูงทั้งสินค้าเกษตรกรรม/อุตสาหกรรมการเกษตร และ สินค้าอุตสาหกรรม ร้อยละ 23.1 และ 21.0 ตามลำดับ
สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตร สินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพารา มันสำปะหลัง กุ้งแช่แข็งและแปรรูป อาหารกระป๋องและแปรรูป ผัก ผลไม้ กระป๋องและแปรรูป ไก่แปรรูป รวมทั้งข้าวที่กลับมาส่งออกเพิ่มขึ้น โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของราคา ขณะที่ปริมาณลดลง สินค้าที่ส่งออกลดลงได้แก่ น้ำตาล โดยลดลงทั้งปริมาณและมูลค่า เนื่องจากผลผลิตในประเทศลดลง
สินค้าอุตสาหกรรม การส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สินค้าที่ขยายตัวในอัตราสูงต่อเนื่อง ได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอ เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้เดินทาง สิ่งพิมพ์และกระดาษ เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เภสัช และของเล่น สำหรับสินค้าที่ส่งออกลดลง ได้แก่ วัสดุก่อสร้าง เนื่องจากความต้องการของโลกชะลอตัวลง ต้องแข่งขันกับประเทศคู่แข่งโดยเฉพาะจีน รวมทั้งต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น และอัญมณี เนื่องจากการแข่งขันกับประเทศอินเดีย ปัญหาการขาดแคลนแรงงานและต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น
การส่งออกในระยะ 2 เดือนแรกของปี 2549 (ม.ค.-ก.พ.) มีมูลค่า 18,461 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 18.2 เป็นการขยายตัวของการส่งออกสินค้าเกษตรกรรม/อุตสาหกรรมการเกษตรร้อยละ 13.5 และสินค้าอุตสาหกรรมร้อยละ 17.2
สินค้าสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพารา มันสำปะหลัง กุ้งแช่แข็งและแปรรูป อาหารกระป๋องและแปรรูป ผัก ผลไม้ กระป๋องและแปรรูป ไก่แปรรูป เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอ เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้เดินทาง สิ่งพิมพ์และกระดาษ เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เภสัช และของเล่น
สินค้าสำคัญที่ส่งออกลดลง ได้แก่ ข้าว (เนื่องจากต้องแข่งขันด้านราคากับเวียดนาม) น้ำตาล (เนื่องจากผลผลิตในประเทศลดลง) วัสดุก่อสร้าง (ต้องแข่งขันกับจีนและความต้องการโลกชะลอตัวลง)
ตลาดส่งออกสำคัญ การส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งในตลาดหลักและตลาดใหม่ โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.0 และ 28.1 ตามลำดับ การส่งออกไปตลาดหลักขยายตัวเพิ่มขึ้นในทุกตลาด คือ อาเซียน(5) ร้อยละ 13.9 สหรัฐฯ ร้อยละ 15.5 สหภาพยุโรป ร้อยละ 11.0 และญี่ปุ่น ร้อยละ 6.9 ตลาดใหม่ที่ขยายตัวในอัตราสูง ได้แก่ ยุโรปตะวันออก (ร้อยละ 47.8) จีน (ร้อยละ 42.9) ละตินอเมริกา (ร้อยละ 41.3) ตะวันออกกลาง (ร้อยละ 35.8) อินโดจีนและพม่า (ร้อยละ 33.2) ออสเตรเลีย (ร้อยละ 31.5) เกาหลีใต้ (ร้อยละ 29.8) และ ฮ่องกง (ร้อยละ 24.0)
2. การนำเข้า
การนำเข้าในเดือนกุมภาพันธ์ 2549 มีมูลค่า 9,801.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.0 และเทียบกับเดือนมกราคม 2549 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 โดยหมวดสินค้าที่มีมูลค่าการนำเข้าสูง ได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง ทุน วัตถุดิบ/กึ่งสำเร็จรูป โดยการนำเข้าเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 78.3, 21.7 และ 3.0 ตามลำดับ แยกเป็นประเภทสินค้านำเข้าที่สำคัญดังนี้
- สินค้าเชื้อเพลิง นำเข้ามูลค่า 1,893 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 78.3 (สัดส่วนร้อยละ 19.3 ของมูลค่านำเข้ารวม) โดยเป็นการนำเข้าน้ำมันดิบมูลค่า 1,423 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 77.3
- เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 901 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 (สัดส่วนร้อยละ 9.2 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 686 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 (สัดส่วนร้อยละ 7.0 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 568 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.8 (สัดส่วนร้อยละ 5.8 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ นำเข้ามูลค่า 617.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับ เดือนเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 20.1 (สัดส่วนร้อยละ 6.3 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- ทองคำ นำเข้ามูลค่า 181 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวของปีก่อนลดลง ร้อยละ 26.8 (สัดส่วนร้อยละ 1.9 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เครื่องบิน บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) นำเข้าเครื่องบินจำนวน 2 ลำ มูลค่า 287.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
การนำเข้าในระยะ 2 เดือนแรกของปี 2549 (มกราคม-กุมภาพันธ์) มีมูลค่า 19,189.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.0 เป็นการขยายตัวของการนำเข้าในหมวดที่สำคัญ ได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง สินค้าทุน สินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 42.9, 15.9 และ 13.5 ตามลำดับ
3. ดุลการค้า ดุลการค้าในเดือนกุมภาพันธ์ 2549 ไทยขาดดุลการค้า 286.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนมกราคม 2549 การขาดดุลลดลง ร้อยละ 35.1 (เดือน มกราคม 2549 ขาดดุล 442.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ทำให้ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2549 ไทยขาดดุลการค้า 728.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณร้อยละ 60.0 (เดือนมกราคม — กุมภาพันธ์ 2548 ขาดดุล 1,817.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ)
4. สรุปแนวโน้มการส่งออก การนำเข้าและดุลการค้าของปี 2549
แนวโน้มการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ได้ติดตามสถานการณ์และแนวโน้มการส่งออกอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง โดยได้จัดให้มีการประชุมหารือกับผู้ส่งออกสินค้าสำคัญเป็นประจำทุกเดือนซึ่งผู้ส่งออกสินค้าสำคัญทั้งหมดยังมีความเชื่อมั่นว่าการส่งออกสินค้าสำคัญในปี 2549 จะสามารถส่งออกได้ใกล้เคียงหรือตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ คือเพิ่มขึ้นจากปี 2548 ร้อยละ 17.5 คิดเป็นมูลค่าการส่งออกประมาณ 130.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
แนวโน้มการนำเข้า จากมาตรการดูแลการนำเข้าโดยความร่วมมือจากภาคเอกชนในการแจ้งแผนการนำเข้าปี 2549 สำหรับ 6 กลุ่มสินค้าสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดิบ เหล็ก ทองคำ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเคมีภัณฑ์ รวมทั้งการติดตามการนำเข้าสินค้าตามโครงการลงทุนของรัฐ ทำให้เอกชนปรับลดการสะสมสต๊อกสินค้า และเพิ่มการนำเข้าสินค้าทุนและวัตถุดิบ โดยเฉพาะในกลุ่มการผลิตเพื่อส่งออก
สำหรับการนำเข้าน้ำมันดิบ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยขาดดุลการค้า ได้มีการหารือกับผู้นำเข้า และในปี 2549 ได้กำหนดเป้าหมายการนำเข้าน้ำมันดิบไว้ 765,000 บาร์เรลต่อวัน (ลดลงจากปี 2548 ร้อยละ 10 ) ซึ่งขณะนี้ในช่วง 2 เดือนแรกมีการนำเข้าน้ำมันเฉลี่ย 795,000 บาร์เรลต่อวัน ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อน แต่ยังคงสูงกว่าเป้าหมาย จึงควรมีการรณรงค์เพิ่มขึ้นในเรื่องการประหยัดพลังงาน ซึ่งจะช่วยลดการขาดดุลการค้า
แนวโน้มดุลการค้า คาดว่าดุลการค้าของไทยจะขาดดุลลดลง หากการส่งออกมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมาย และการนำเข้าชะลอตัวลดลง จากการบริหารและวางแผนการนำเข้าร่วมกับภาคเอกชนเพื่อดูแลการนำเข้าสินค้าสำคัญ และชะลอการนำเข้าสินค้าที่ไม่จำเป็น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ยังคงเป็นเรื่องของราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงขึ้น การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น และการระบาดของไข้หวัดนก รวมถึงขีดความสามารถในการส่งออกที่เพิ่มขึ้นของประเทศคู่แข่งสำคัญ เช่น จีน อินเดีย และเวียดนาม
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) (รักษาการนายกรัฐมนตรี) วันที่ 4 เมษายน 2549--จบ--