การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday February 10, 2010 14:42 —มติคณะรัฐมนตรี

คณะรัฐมนตรีเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้

1. เห็นชอบการปรับลดวงเงินและอนุมัติให้หน่วยงานเบิกจ่ายแทนกันของโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน (ต้นกล้าอาชีพ) ตามนัยข้อ 1

2. อนุมัติร่างหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติในการจัดสรรเงินสำรองจ่ายสำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ที่ได้รับจัดสรรเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 ตามนัยข้อ 2

3. อนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย และเห็นชอบในหลักการให้สำนักงบประมาณพิจารณาการอนุมัติแก้ไขรายละเอียดโครงการในลักษณะดังกล่าว และรายงานต่อคณะกรรมการฯ และคณะรัฐมนตรีทราบต่อไปตามนัยข้อ 3

4. อนุมัติการปรับปรุงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินของมหาวิทยาลัยนเรศวรและมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเห็นชอบในหลักการให้สำนักงบประมาณพิจารณาการอนุมัติปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินในลักษณะดังกล่าว และรายงานต่อคณะกรรมการฯ และคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ตามนัยข้อ 4

5. เห็นชอบการกำหนดเวลาการจัดสรรเงินตามโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 โดยหน่วยงานส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงินให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2553 ทั้งนี้ สำนักงบประมาณจะดำเนินการอนุมัติภายใน 15 วันทำการ โดยหลังจากได้รับอนุมัติแล้ว หน่วยงานจะต้องลงนามในสัญญาให้ แล้วเสร็จภายในวันที่ 8 เมษายน 2553 ตามนัยข้อ 5

สาระสำคัญ

กระทรวงการคลังรายงานว่า คณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (คณะกรรมการฯ) ซึ่งมีหน้าที่ในการกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงานและเป้าหมายที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติได้พิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 และนำเสนอคณะรัฐมนตรี ดังนี้

1. การปรับลดวงเงินและการขออนุมัติให้หน่วยงานเบิกจ่ายแทนกันสำหรับโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน (ต้นกล้าอาชีพ)

คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2552 รับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน และเห็นชอบให้ยุติการดำเนินโครงการฯ โดยให้บริหารโครงการและเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้แล้วเสร็จและให้หน่วยงานต่างๆ ที่มีภารกิจในการฝึกอบรมดำเนินการตามภารกิจต่อไป รายละเอียดปรากฏตามหนังสือที่อ้างถึง 6 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จึงเสนอคณะกรรมการฯ พิจารณา

1.1 เห็นชอบการปรับลดแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่ได้รับจัดสรรจำนวน 7,509.2000 ล้านบาท เหลือจำนวน 2,965.8077 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1) ค่าใช้จ่ายสำหรับการอบรมเดือนพฤศจิกายน (โครงการต้นกล้าปกติ) ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) วงเงิน 225.2160 ล้านบาท

2) ค่าใช้จ่ายโครงการสร้างผู้สอบบัญชีกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ของสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง วงเงิน 75.2000 ล้านบาท

3) ค่าใช้จ่ายโครงการสำมะโนประชากรและเคหะ ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ วงเงิน 436.1000 ล้านบาท

4) เงินอุดหนุนเพื่อการประกอบอาชีพแก่ผู้แจ้งความประสงค์กลับไปประกอบอาชีพในภูมิลำเนา สำหรับเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2552 วงเงิน 1,809.2917 ล้านบาท

5) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการต้นกล้าอาชีพ สำหรับพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ วงเงิน 420.0000 ล้านบาท รับผิดชอบโดยกองบัญชาการกองทัพไทย (หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา) และหน่วยงานอื่น

1.2 อนุมัติให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการ เป็นผู้เบิกจ่ายโดยตรง เนื่องจากค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นรายการที่มีอยู่ในโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน ประกอบกับหน่วยงานต่าง ๆ มีภาระหน้าที่ในการฝึกอบรมการดำเนินการตามภารกิจให้แล้วเสร็จ

คณะกรรมการฯ พิจารณาแล้ว เห็นชอบการปรับลดวงเงินของโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน (ต้นกล้าอาชีพ) และเห็นควรอนุมัติการขอเบิกจ่ายแทนกันของหน่วยงานดำเนินโครงการ เนื่องจากเป็นการบูรณาการโครงการร่วมกันของหลายหน่วยงาน ดังนั้น สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจึงไม่สามารถดำเนินโครงการได้เพียงหน่วยงานเดียว ต้องให้ส่วนราชการอื่นที่เกี่ยวข้องร่วมกันดำเนินการ ซึ่งในกรณีนี้ กรมบัญชีกลาง ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่จัดทำระบบการเบิกจ่ายเงินตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552 ข้อ 8 ได้เตรียมแนวทางในการเบิกจ่ายเงินกรณีดังกล่าว โดยให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีหารือกรมบัญชีกลางโดยตรงต่อไป

2. ร่างหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติในการจัดสรรเงินสำรองจ่ายสำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ที่ได้รับจัดสรรเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552

มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2552 อนุมัติการจัดสรรเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 สำหรับเงินสำรองจ่ายตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552 ข้อ 16 วงเงิน 8,500 ล้านบาท และโดยที่ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552 ข้อ 12 (6) กำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกลั่นกรอง และบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ในการจัดทำประกาศ ข้อบังคับ หรือหลักเกณฑ์ และวิธีปฏิบัติที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานตามระเบียบฯ คณะกรรมการฯ จึงได้ยกร่างหลักเกณฑ์และวิธีการ ปฏิบัติในการจัดสรรเงินสำรองจ่ายสำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้

1. การจัดสรรเงินสำรองจ่ายสำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ให้จัดสรรภายใต้วัตถุประสงค์ของแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 โดยเน้นโครงการหรือรายการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน และคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ดำเนินการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555

2. การจัดสรรเงินสำรองจ่ายดังกล่าวจะต้องไม่ซ้ำซ้อนกับโครงการที่ได้รับจัดสรรไปแล้ว ยกเว้นในกรณีที่เมื่อเริ่มเตรียมการจัดซื้อจัดจ้างแล้วมีวงเงินไม่เพียงพอในการดำเนินโครงการ หรือจัดสรรเพื่อสมทบในกรณีที่วงเงินของโครงการที่เริ่มดำเนินการไปแล้วไม่เพียงพออันเนื่องมาจากปัจจัยต่างๆ ที่ใช้ในการดำเนินโครงการมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ การดำเนินการต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตวัตถุประสงค์และเป้าหมายเดิมที่ได้รับอนุมัติ

3. การจัดสรรเงินสำรองจ่ายสำหรับชดเชยค่างานก่อสร้าง (ค่า K ) สำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555

4. การขอรับจัดสรรเงินสำรองจ่ายดังกล่าว ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเจ้าสังกัดของหน่วยงานที่ดำเนินการพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน และนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พิจารณาและนำเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติต่อไป ทั้งนี้ ต้องเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 31 ธันวาคม 2553

3. การขอปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555

3.1 ระเบียบที่เกี่ยวข้อง

ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552

  • หมวด 4 ข้อ 19 “...หากหน่วยงานเจ้าของโครงการประสงค์จะโอนหรือเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเสนอคำขอดังกล่าวพร้อมเหตุผลความจำเป็นต่อสำนักงบประมาณ...”
  • หมวด 7 ข้อ 15 วรรคสอง “ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องโอนเปลี่ยนแปลงโครงการ หรือใช้เงินเหลือจ่ายจากโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ให้เสนอคณะกรรมการรัฐมนตรีพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้อนุมัติ” (สำหรับโครงการที่จะดำเนินงานในพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้)

3.2 การขออนุมัติปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555

ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2552 และวันที่ 20 ตุลาคม 2552 อนุมัติการจัดสรรเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 วงเงิน 349,960.4382 ล้านบาท คณะกรรมการฯ รายงานว่า มีหน่วยงานดำเนินโครงการแจ้งขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการเข้ามาเป็นจำนวนมาก สรุปสาระสำคัญของคำขอได้ ดังนี้

1) กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขอแก้ไขการพิมพ์ชื่อรายการให้ถูกต้องและสมบูรณ์ตามข้อเท็จจริง และปรับปรุงชื่อพื้นที่ให้ถูกต้องตามเขตการปกครอง

2) กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคมขอแก้ไขชื่อระดับจังหวัดจากพื้นที่หน่วยเบิกจ่ายเป็นพื้นที่ดำเนินการ และการแก้ไขชื่อรายการให้ถูกต้องและสมบูรณ์ตามข้อเท็จจริง

3) กระทรวงศึกษาธิการขอแก้ไขชื่อรายการให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง และแก้ไขรายละเอียดให้ถูกต้องสอดคล้องกับประเภทครุภัณฑ์และรายจ่าย

4) โครงการจังหวัดและกลุ่มจังหวัด : จังหวัดระยอง ขอเปลี่ยนแปลงวงเงินครุภัณฑ์ให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงภายใต้รายการและวงเงินโครงการเดิม

คณะกรรมการฯ มีความเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการข้างต้น เป็นการแก้ไข ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนให้ถูกต้องตามความเป็นจริง โดยไม่ทำให้วัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการตามที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ลดลงในสาระสำคัญ จึงเห็นควรให้แก้ไขตามที่ขออนุมัติได้ อย่างไรก็ตามคณะกรรมการฯ มีความเห็นเพิ่มเติมว่า เพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการได้โดยเร็ว การแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องดังกล่าว อาทิ การพิมพ์ข้อความคลาดเคลื่อนตกหล่น แต่ไม่รวมถึงสถานที่ตั้งของการดำเนินงานของโครงการ รวมทั้งการแก้ไขรายละเอียดของรายการที่ระบุไว้ในใบจัดสรรเงินเฉพาะในส่วนที่ไม่กระทบต่อการเพิ่มขึ้นหรือลดลงในสาระสำคัญของรายการดังกล่าวนั้น เห็นควรให้สำนักงบประมาณพิจารณาการอนุมัติการแก้ไขรายละเอียดโครงการในลักษณะดังกล่าวและรายงานต่อ คณะกรรมการฯ และคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป

5) กระทรวงวัฒนธรรม ขอปรับปรุงรายละเอียด 2 โครงการ คือ (1) โครงการลานบุญ ลานปัญญา กรมการศาสนา ขอปรับปรุงจากเดิมดำเนินการในวัด 75 จังหวัดๆ ละ 1 วัด รวม 75 วัด เป็นดำเนินการในศาสนสถานของทุกศาสนา ได้แก่ ศาสนาพุทธ อิสลาม คริสต์ พราหมณ์ ฮินดู และซิกข์ จังหวัดละ 8 แห่ง 75 จังหวัด รวม 600 แห่ง และ (2) โครงการเทศกาลศิลปวัฒนธรรมเชิงสร้างสรรค์ สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ขออนุมัติเพิ่มพื้นที่ดำเนินการของโครงการจากเดิมดำเนินการในกรุงเทพมหานคร 2 พื้นที่ และส่วนภูมิภาค 4 พื้นที่ เป็นการดำเนินการในกรุงเทพมหานคร 11 พื้นที่และส่วนภูมิภาค 15 พื้นที่

6) โครงการจังหวัดและกลุ่มจังหวัด : จังหวัดนนทบุรี ขอปรับลดเป้าหมายในการดำเนินโครงการภายใต้วงเงินเดิมตามราคามาตรฐานและราคากลาง

คณะกรรมการฯ มีความเห็นว่า ทั้ง 2 หน่วยงาน เป็นการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดโครงการให้สามารถดำเนินการได้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงภายใต้วงเงินของโครงการตามที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี จึงเห็นควรให้เปลี่ยนแปลงตามที่ขออนุมัติได้

7) จังหวัดและกลุ่มจังหวัดขอแก้ไขรายการซ้ำซ้อนกับรายการที่หน่วยงานอื่นได้รับจัดสรรแล้ว โดยโครงการจังหวัดและกลุ่มจังหวัดซึ่งมีรายการซ้ำซ้อน คณะกรรมการฯ เห็นชอบให้นำโครงการลำดับที่ 2 ตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดและของกลุ่มจังหวัดปี 2553 มาดำเนินการแทน

4. การขออนุมัติปรับปรุงแผนการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555

มหาวิทยาลัยนเรศวรและมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ขอปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการ ใช้จ่ายเงินในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 และปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 คณะกรรมการฯ พิจารณาแล้ว เห็นว่า กรณีดังกล่าวเป็นการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินเพื่อให้สอดคล้องกับความสามารถในการเบิกจ่ายเงินอันเป็นผลจากการพิจารณา ความเหมาะสมของราคา การแบ่งงวดงาน และงวดการเบิกจ่ายเงินของการจ้างเหมาก่อสร้างรายการดังกล่าว ภายใต้วงเงินที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี โดยไม่ได้เกิดจากความล่าช้าในการดำเนินโครงการของหน่วยงานเจ้าของโครงการ จึงเห็นสมควรอนุมัติการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินมหาวิทยาลัยนเรศวร และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 และปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ดังกล่าวได้

ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ มีความเห็นเพิ่มเติมว่า เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินงาน การเสนอขออนุมัติปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินในลักษณะดังกล่าว ซึ่งไม่ได้เกิดจากความล่าช้าในการดำเนินโครงการของหน่วยงานและอยู่ภายใต้วงเงินที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี เห็นควรให้สำนักงบประมาณพิจารณาการอนุมัติปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินในลักษณะดังกล่าวและรายงานต่อคณะกรรมการฯ และคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป

5. การกำหนดเวลาการจัดสรรเงินตามโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555

คณะกรรมการฯ ขอเรียนว่า คณะกรรมการฯ ได้หารือถึงประเด็นการขยายเวลาการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 และมีความเห็นว่า ในการพิจารณากลั่นกรองโครงการคณะกรรมการฯ ได้พิจารณาความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ความเหมาะสมของโครงการ รวมถึงความพร้อมในการดำเนินโครงการ เพื่อให้ตอบสนองเป้าหมายการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาล ดังนั้น หน่วยงานเจ้าของโครงการจึงควรทบทวนในเรื่องความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ความพร้อมที่จะดำเนินการตามกรอบเวลา ซึ่งภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 มาตรา 3 วรรค 2 กำหนดว่าการกู้เงินให้กระทำได้ภายในกำหนดเวลาไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2553 ดังนั้นระยะเวลาการดำเนินโครงการจึงควรจะต้องสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 ด้วย คณะกรรมการฯ จึงเห็นว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2553 เห็นชอบให้หน่วยงานต่างๆ เร่งรัดดำเนินการขอรับการจัดสรรเงินโดยด่วน รายละเอียดปรากฏตามหนังสือที่อ้างถึง 7 ควรกำหนดกรอบเวลาในการดำเนินการสำหรับหน่วยงานที่ยังไม่ได้ขอรับการจัดสรรเงินด้วย โดยหน่วยงานจะต้องส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2553 และสำนักงบประมาณจะดำเนินการอนุมัติภายใน 15 วันทำการ โดยหลังจากได้รับอนุมัติแล้ว หน่วยงานจะต้องลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 8 เมษายน 2553 ทั้งนี้ หากหน่วยงานไม่สามารถขอรับการจัดสรรเงินภายในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2553 เห็นควรให้ขอใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีหรือแหล่งเงินอื่นแทนเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 ต่อไป

--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2553--จบ--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ