คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่ กระทรวงมหาดไทย โดยสำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
ได้สรุปผลความก้าวหน้าการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่มภาคเหนือ 5 จังหวัด และสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่
27 สิงหาคม - 18 กันยายน 2549 (ข้อมูลถึงวันที่ 18 กันยายน 2549) ดังนี้
1. สรุปผลความก้าวหน้าการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่มภาคเหนือของกระทรวงมหาดไทย (จนถึงวันที่ 18 กันยายน
2549)
1.1 ความก้าวหน้าสร้างบ้านถาวร
บ้านพัง การสร้างบ้าน (หลัง) ราษฎรขอรับเงินชดเชย ความก้าวหน้าในการสร้างบ้าน (หลัง)
ที่ จังหวัด ทั้งหลัง (หลัง) ในที่ดินรัฐ ที่ราษฎรเอง สร้างเอง (หลัง) มูลนิธิชัยพัฒนา มูลนิธิไทยคม
กำลังสร้าง สร้างเสร็จ กำลังสร้าง สร้างเสร็จ
1 อุตรดิตถ์ 493 238 203 50 220 30 320 30
2 แพร่ 138 112 - 26 - - 71 23
3 สุโขทัย 90 90 - - - - 71 19
รวมทั้งหมด 721 440 203 76 220 30 462 72
หมายเหตุ
1) ที่ อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์ บ้านพังทั้งหลังเสียชีวิตทั้งครอบครัว จำนวน 2 หลัง ไม่มีการสร้างบ้านใหม่
2) มูลนิธิชัยพัฒนา จะดำเนินการสร้างบ้านพักถาวรให้แก่ราษฎรที่ประสบภัยในพื้นที่ อ.เมืองฯ จ.อุตรดิตถ์ ทั้งหมด จำนวน
161 หลัง และสร้างบ้านให้แก่ราษฎรในที่ดินของตนเองที่ไม่ต้องการอพยพมาอยู่ในพื้นที่รองรับที่ทางราชการจัดให้ ซึ่งเป็นผู้ประสบภัยในพื้นที่ อ.ลับแล
จำนวน 37 หลัง อ.ท่าปลา จำนวน 52 หลัง รวมยอดดำเนินการ 250 หลัง
3) มูลนิธิไทยคม จะดำเนินการสร้างบ้านถาวรให้แก่ราษฎรผู้ประสบภัยในพื้นที่ จ.อุตรดิตถ์ จำนวน 350 หลัง สุโขทัย
จำนวน 90 หลัง และแพร่ จำนวน 94 หลัง รวมยอดดำเนินการ 534 หลัง
4) พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ กำหนดสร้างบ้านถาวรที่ อ.เมืองฯ จ.แพร่ จำนวน 18 หลัง ขณะนี้ได้
สร้างแล้วเสร็จ จำนวน 1 หลัง
1.2 การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคเหนือในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย
1.2.1) ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546
(ข้อมูล ณ วันที่ 18 กันยายน 2549 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
(1) ด้านการช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นเงิน 106,365,809 บาท แยกได้ดังนี้
- ค่าด้านการจัดการศพ จำนวน 88 ราย (ครบ 100 %) เป็นเงิน 1,920,000 บาท
- ค่าช่วยเหลือญาติผู้สูญหาย จำนวน 29 ราย (ครบ 100 % ) เป็นเงิน 810,000 บาท
- ค่าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ 1,107 ราย (ครบ 100 %) เป็นเงิน 2,321,000 บาท
- ค่าที่อยู่อาศัย จำนวน 5,002 ราย (คิดเป็น 100 % ) เป็นเงิน 51,730,121 บาท
- ค่าเครื่องมือ/ทุนประกอบอาชีพ จำนวน 862 ราย เป็นเงิน 4,439,270 บาท
- ค่าเครื่องนุ่งห่ม จำนวน 9,034 ราย เป็นเงิน 5,073,650 บาท
- ค่าอาหารจัดเลี้ยง จำนวน 237,491 ราย เป็นเงิน 19,072,053 บาท
- ค่าอื่นๆ เป็นเงิน 20,996,715 บาท
(2) ด้านป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นเงิน 67,987,094 บาท
(3) ด้านการปฏิบัติงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นเงิน 38,782,142 บาท
สรุปให้ความช่วยเหลือไปแล้ว 244,530 คน ร รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 213,135,046บาท
1.2.2) การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ประเภทผู้ประกอบการรายย่อย (ข้อมูล ณ วันที่ 18 กันยายน 2549
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น)
(1) จังหวัดแพร่ จ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 291 ราย เป็นเงิน 3,186,605 บาท
(2) จังหวัดสุโขทัย จ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 806 ราย เป็นเงิน 9,428,775 บาท
(3) จังหวัดอุตรดิตถ์ จ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 3,474 ราย เป็นเงิน 42,551,890 บาท
รวมจ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 4,571 ราย ( คิดเป็น 99.15 %) เป็นเงิน 55,167,270 บาท
คงค้างจ่าย จำนวน 39 ราย เนื่องจากไปทำงานนอกพื้นที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นติดตามตัวเพื่อจ่ายเงินให้ต่อไป
2. สรุปสถานการณ์อุทกภัยจากอิทธิพลร่องความกดอากาศต่ำ (ระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม—18 กันยายน 2549)
2.1 ระหว่างวันที่ 27 — 31 สิงหาคม 2549 ร่องความกดอากาศต่ำหรือร่องฝนกำลังแรงพาดผ่านภาคเหนือ ทำให้มีฝนตกหนักมาก
ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ สุโขทัย พิษณุโลก ตาก เป็นเหตุทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำปิง แม่น้ำกวง แม่น้ำทา แม่น้ำยม
และแม่น้ำวัง มีระดับน้ำสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในหลายพื้นที่
2.2 พื้นที่ประสบภัย รวม 21 จังหวัด 78 อำเภอ 5 กิ่งอำเภอ 314 ตำบล 1,249 หมู่บ้าน ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน
สุโขทัย พิษณุโลก แพร่ กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ ลำพูน ลำปาง ตาก พิจิตร พะเยา เพชรบูรณ์ จันทบุรี พังงา นครสวรรค์ นครศรีธรรมราช
สุราษฎร์ธานี อ่างทอง สระบุรี และพระนครศรีอยุธยา
2.3 ความเสียหาย
1) ผู้เสียชีวิต 7 คน จังหวัดลำปาง 2 คน (อำเภอแม่เมาะ 1 อำเภองาว 1) จังหวัดสุโขทัย 3 คน (อำเภอเมืองฯ 1 คน
อำเภอสวรรคโลก 2 คน) จังหวัดพิษณุโลก 1 คน (อำเภอบางระกำ) และจังหวัดเพชรบูรณ์ 1 คน (อำเภอเมืองฯ) ราษฎรได้รับความเดือดร้อน
48,765 คน 13,263 ครัวเรือน
2) ด้านทรัพย์สิน บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 22 หลัง เสียหายบางส่วน 424 หลัง ถนน 255 สาย สะพาน 28 แห่ง
ท่อระบายน้ำ 22 แห่ง ทำนบ/ฝาย/เหมือง 81 แห่ง พื้นที่ทางการเกษตร 192,123 ไร่ บ่อปลา/กุ้ง 1,831 บ่อ วัด/โรงเรียน 50 แห่ง
ความเสียหายอื่น ๆ อยู่ระหว่างการสำรวจ
2.4 สถานการณ์ปัจจุบัน ( ข้อมูล ณ วันที่ 18 กันยายน 2549 )
2.4.1 พื้นที่สถานการณ์อุทกภัยคลี่คลายแล้ว 15 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน อุตรดิตถ์ ลำปาง แพร่ ลำพูน จันทบุรี
พะเยา พังงา สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตาก สระบุรี เชียงใหม่ กำแพงเพชร และเพชรบูรณ์ โดยทุกหน่วยงานยังคงปฏิบัติงานช่วยเหลือ
ผู้ประสบภัย แจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค น้ำดื่ม การฟื้นฟู ล้างทำความสะอาดโรงเรียน สถานีอนามัย และการซ่อมแซมถนน สะพาน ที่ชำรุด
เสียหายให้สามารถใช้การได้แล้ว
2.4.2 พื้นที่ที่ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย 6 จังหวัด เนื่องจากระดับน้ำในแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านพื้นที่สูงกว่าตลิ่ง ได้แก่
จังหวัดสุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา ดังนี้
1) จังหวัดสุโขทัย มีน้ำท่วมขังในพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่
(1) อำเภอเมือง ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร 9 ตำบล ได้แก่ ตำบลยางซ้าย (หมู่ที่ 2,
3,5,7-12) ตำบลปากพระ (หมู่ที่ 1-6) ตำบลเมืองเก่า (หมู่ที่ 1-5,7,10,11) ตำบลบ้านสวน (หมู่ที่ 1-13) ตำบลบ้านหลุม (หมู่ที่ 1,2,
4-6,9) ตำบลตาลเตี้ย (หมู่ที่ 1-4) ตำบลวังทองแดง (หมู่ที่ 1,3,5,6) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20-0.40 เมตร ส่วนที่ตำบลปากแคว
(หมู่ที่ 1-9) และตำบลบ้านกล้วย (หมู่ที่ 1-14) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.50 เมตร เนื่องจากเป็นที่ลุ่มแอ่งกะทะ ซึ่งเป็นจุดรวมน้ำ
(2) อำเภอกงไกรลาศ น้ำจากแม่น้ำยมได้ไหลเอ่อเข้าท่วมขังในพื้นที่การเกษตร 11 ตำบล 1 เทศบาล ได้แก่
ตำบลท่าฉนวน (หมู่ที่ 1-12) ตำบลบ้านกร่าง (หมู่ที่ 1-5) ตำบลกง (หมู่ที่ 1-13) ตำบลป่าแฝก (หมู่ที่ 1-9) ตำบลหนองตูม (หมู่ที่ 1-8)
ตำบลไกรกลาง (หมู่ที่ 1-8) ตำบลไกรใน (หมู่ที่ 1-15) ตำบลกกแรต (หมู่ที่1-12) ตำบลบ้านใหม่สุขเกษม (หมู่ที่ 1-8) ตำบลไกรนอก (หมู่ที่ 1-8)
ตำบลดงเดือย (หมู่ที่ 1-11) และเทศบาลตำบลบ้านกร่าง (5 ชุมชน) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.50-1.00 เมตร ระดับน้ำสูงขึ้นเล็กน้อย เนื่องจาก
เป็นที่ลุ่มแอ่งกะทะ
(3) อำเภอคีรีมาศ ได้เกิดฝนตกหนักในวันที่ 12-13 ก.ย.49 ทำให้เกิดน้ำป่าไหลมาจากอุทยานแห่งชาติ
รามคำแหง (เขาหลวง) เข้าท่วมพื้นที่การเกษตรใน 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลบ้านป้อม (หมู่ที่ 1-5,8) ตำบลทุ่งหลวง (หมู่ที่ 9-11,13)
ตำบลนาเชิงคีรี (หมู่ที่ 1,2,6,8) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.10-0.20 เมตร
การให้ความช่วยเหลือ จังหวัดสุโขทัย อำเภอ ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 8 กำแพงเพชร สำนักงานป้องกันและ
บรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสุโขทัย กำลังพลจาก ตชด. กองกำกับการ 6 กองบังคับการฝึกพิเศษ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ให้ความช่วยเหลือใน
เบื้องต้นแล้ว
ระดับน้ำในแม่น้ำยม เมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 18 ก.ย. 49 ที่สถานี Y.33 อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย ระดับน้ำสูง
6.55 เมตร (ระดับตลิ่ง 10.00 เมตร) ต่ำกว่าตลิ่ง 3.45 เมตร ที่สถานี Y.4 อำเภอเมืองฯ จังหวัดสุโขทัย ระดับน้ำสูง 5.00 เมตร (ระดับ
ตลิ่ง 7.45 เมตร) ต่ำกว่าตลิ่ง 2.45 เมตร และที่ฝายยางบ้านกง อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย ระดับน้ำสูง 10.23 เมตร (ระดับตลิ่ง
9.00 เมตร) สูงกว่าตลิ่ง 1.23 เมตร
2) จังหวัดพิษณุโลก ปัจจุบันยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่
(1) อำเภอบางระกำ น้ำในแม่น้ำยมจากอำเภอกงไกรลาศไหลเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎร และพื้นที่การเกษตร
6 ตำบล ได้แก่ตำบลชุมแสงสงคราม (หมู่ที่ 1-9) ตำบลคุยม่วง (หมู่ที่ 6,8,9) ตำบลท่านางงาม (หมู่ที่ 1,2,3,5) ตำบลนิคมพัฒนา
ตำบลบางระกำ (หมู่ที่ 2,7,15) และตำบลวังอีทก (หมู่ 1,4,6,9,10) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.30-0.50 เมตร แนวโน้มสถานการณ์ปริมาณน้ำ
ในอำเภอบางระกำ ยังมีน้ำจากอำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย และจากจังหวัดกำแพงเพชรไหลเข้าพื้นที่ ซึ่งทำให้สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่
อำเภอบางระกำขยายวงกว้าง
(2) อำเภอพรหมพิราม ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎร และพื้นที่การเกษตร 4 ตำบล ได้แก่ ตำบลท่าช้าง
(หมู่ที่ 2,5,7-9) ตำบลหนองแขม (หมู่ที่ 2,4,8,10) ตำบลพรหมพิราม (หมู่ที่ 5,11,12) และตำบลวังวน (หมู่ที่ 1,2,4,8,10) ระดับน้ำสูง
ประมาณ 0.20-0.40 เมตร ระดับน้ำทรงตัว
การให้ความช่วยเหลือ
1) จังหวัดและอำเภอ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่งเรือท้องแบน ถุงยังชีพ
ข้าวสารอาหารแห้ง และน้ำดื่ม ช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง
2) ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 9 พิษณุโลก และตำรวจตระเวนชายแดนที่ 31 สนับสนุน
เรือท้องแบน อำนวยความสะดวกแก่ประชาชน นิสิต นักศึกษาบริเวณมหาวิทยาลัยนเรศวร
ระดับน้ำในแม่น้ำยม ที่ฝายบางบ้า อำเภอบางระกำ เมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 18 ก.ย. 2549 ระดับน้ำ
สูงกว่าตลิ่ง 1.63 เมตร
3) จังหวัดพิจิตร น้ำในแม่น้ำยมและแม่น้ำน่านมีระดับสูงขึ้น ทำให้มีน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มริมน้ำ และพื้นที่การ
เกษตร 4 อำเภอ ได้แก่
(1) อำเภอเมืองฯ น้ำท่วมในพื้นที่ 8 ตำบล ได้แก่ ตำบลในเมือง ตำบลฆะมัง (หมู่ที่ 3,9) ตำบล
บ้านบุ่ง (หมู่ที่ 2,3,5,6) ตำบลปากทาง (หมู่ที่ 3,6,7) ตำบลย่านยาว (หมู่ที่ 2,6) ตำบลสายคำโห้ (หมู่ที่ 1-5) ตำบลป่ามะคาบ (หมู่ที่ 1,2,7,
13) และตำบลหัวดง (หมู่ที่ 6,9) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20-0.30 เมตร ระดับน้ำทรงตัว
(2) อำเภอสามง่าม น้ำท่วมในพื้นที่ 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลรังนก (หมู่ที่ 1,2,9) ตำบลกำแพงดิน และ
ตำบลสามง่าม ระดับน้ำสูงประมาณ 0.40-0.60 เมตร เนื่องจากมีพื้นที่เป็นที่ลุ่มแอ่งกะทะ ระดับน้ำทรงตัว
(3) อำเภอวชิรบารมี ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นการเกษตร 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลวังโมกข์(หมู่ที่ 1,3,7,
9) ตำบลหนองหลุม (หมู่ 2,10) และตำบลบ้านนา (หมู่ที่ 1,13) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.10-0.20 เมตร ระดับน้ำทรงตัว
(4) อำเภอโพธิ์ประทับช้าง น้ำในแม่น้ำยมเอ่อล้นตลิ่งไหลเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร
ของตำบลวังจิก ทำให้มีการปิดโรงเรียนวัดวังจิก จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ ระดับน้ำสูงประมาณ 1.00 เมตร
การให้ความช่วยเหลือ
1) จังหวัดและอำเภอ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่งเรือท้องแบน ถุงยังชีพ
ข้าวสารอาหารแห้ง และน้ำดื่ม ช่วยเหลือผู้ประสบภัย
2) กรมชลประทาน โดยโครงการชลประทานพิจิตร ได้ลดระดับฝายบ้านบางคลาน และฝายยางพญาวัง
เพื่อให้น้ำแม่น้ำยมไหลผ่านได้เร็วขึ้น พร้อมเตรียมเครื่องสูบน้ำไว้ช่วยเหลือแล้ว 40 เครื่อง
3) สำนักงานทางหลวงชนบทจังหวัด ได้นำเครื่องจักรกลไปเสริมถนนเพื่อเป็นพนังกั้นน้ำแม่น้ำน่าน
บริเวณหมู่ที่ 3 ตำบลฆะมัง อำเภอเมืองพิจิตร
4) จังหวัดนครสวรรค์ น้ำจากแม่น้ำยมและแม่น้ำน่านได้ไหลเอ่อเข้าท่วมขังในพื้นที่ลุ่มริมน้ำ 7 อำเภอ
ได้แก่
(1) อำเภอเมืองฯ เขตเทศบาลนครนครสวรรค์มีน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำริมฝังแม่น้ำเจ้าพระยาและ
แม่น้ำปิงบางแห่งของพื้นที่ ชุมชนรณชัย และชุมชนวัดเขา ส่วนนอกเขตเทศบาลยังคงมีน้ำท่วมขังพื้นที่การเกษตร 8 ตำบล ได้แก่ ตำบลเกรียงไกร
ตำบลบางพระหลวง ตำบลบึงเสนาท ตำบลแควใหญ่ ตำบลวัดไทร ตำบลบ้านแก่ง ตำบลกลางแดด และ ตำบลสวรรค์ออก ระดับน้ำสูงประมาณ
0.20-0.30 เมตร ระดับน้ำสูงขึ้น
(2) อำเภอบรรพตพิสัย ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่การเกษตร 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลหนองกรด
(หมู่ที่ 1,7,10,13,15) ตำบลตาขีด (หมู่ที่ 1) และตำบลตาสัง (หมู่ที่ 1,2,9) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.30-0.40 เมตร ระดับน้ำสูงขึ้น
(3) อำเภอชุมแสง ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มการเกษตรริมน้ำ 10 ตำบล ได้แก่ ตำบลโคกหม้อ
ตำบลบางเคียน ตำบลท่าไม้ ตำบลฆะมัง ตำบลพิกุล ตำบลหนองกระเจา ตำบลพันลาน ตำบลเกยไชย ตำบลทับกฤชใต้ และตำบลทับกฤช ระดับน้ำสูง
ประมาณ 0.30-0.60 เมตร ระดับน้ำสูงขึ้นเล็กน้อย
(4) อำเภอหนองบัว ได้แก่ ตำบลห้วยร่วม และตำบลห้วยถั่วเหนือ ระดับน้ำสูงประมาณ
0.20-0.40 เมตร ระดับน้ำทรงตัว
(5) อำเภอเก้าเลี้ยว มีน้ำท่วมขังในพื้นที่การเกษตร 1 ตำบล ได้แก่ ตำบลหนองเต่า (หมู่ที่
1,2,7-10) ระดับสูงประมาณ 0.30-0.50 เมตร ระดับน้ำสูงขึ้น
(6) อำเภอโกรกพระ มีน้ำท่วมขังในพื้นที่การเกษตร 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลยางตาล หมู่ที่ 6
ตำบลโกรกพระ และตำบลบางมะฝ่อ ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20-0.30 เมตร
(7) อำเภอพยุหะคีรี มีน้ำท่วมขังในพื้นที่การกษตรของตำบลยางขาว ระดับน้ำสูง 0.40-0.60 เมตร
5) จังหวัดอ่างทอง น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาล้นตลิ่งไหลเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรที่อยู่ติดริมน้ำ ซึ่งเป็นพื้นที่
ลุ่มในพื้นที่ หมู่ที่ 4-6 ตำบลโผงเผง อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20-0.50 เมตร
การให้ความช่วยเหลือ อำเภอป่าโมกร่วมกับ อบต.โผงเผง เสริมคันกันน้ำโดยนำกระสอบทราย
วางเป็นแนวป้องกัน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน พร้อมเร่งออกสำรวจความเสียหายในพื้นที่ และให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นแล้ว
6) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามีระดับสูงขึ้น เอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎร
2 อำเภอ ได้แก่
(1) อำเภอบางบาล น้ำท่วมในพื้นที่ 4 ตำบล ได้แก่ ตำบลน้ำเต้า (หมู่ที่ 1-8) ตำบลทางช้าง
(หมู่ที่ 1-6) ตำบลวัดตะกู (หมู่ที่ 1-9) และตำบลบางหลวง (หมู่ที่ 1-5) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.30-0.40 เมตร
(2) อำเภอบางไทร น้ำท่วมในพื้นที่ 1 ตำบล ได้แก่ ตำบลกระแชง (หมู่ที่ 1,2,3,5) ระดับน้ำสูง
ประมาณ 0.50-0.70 เมตร
อนึ่ง เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2549 ได้เกิดรอยแยกของแผ่นดินที่ บริเวณภายในหมู่บ้านกึ๊ดสามสิบ หมู่ที่ 6
ตำบลสบป่อง อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมีความกว้างของรอยแยก ประมาณ 30 เซนติเมตร ยาวประมาณ 100 เมตร ลึกประมาณ
50 เซนติเมตร จากการสำรวจพบว่า มีราษฎรที่ปลูกบ้านเรือน อยู่ในบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัย จำนวน 27 หลังคาเรือน รวม 105 คน ซึ่งอำเภอได้จัด
เวรยาม เฝ้าสังเกตการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง และให้ราษฎรที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวออกมาพักอาศัยอยู่กับบ้านญาติที่ปลอดภัยก่อนชั่วคราว ตั้งแต่วันที่
16 กันยายน 2549 เพื่อรอผลการสำรวจจากกรมทรัพยากรธรณีต่อไป
2.5 สภาพน้ำเจ้าพระยา
2.5.1) เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 2549 มีปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน จ.นครสวรรค์ จำนวน 2,094 ลบ.ม./วินาที
ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท จำนวน 1,796 ลบ.ม./วินาที และมีปริมาณน้ำระบายจากเขื่อนพระรามหก จำนวน 150 ลบ.ม./
วินาที ทำให้ปริมาณน้ำที่อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครีอยุธยามีจำนวน 1,946 ลบ.ม./วินาที ทำให้เกิดผลกระทบกับพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา
เป็นบางจุด (กรณีปริมาณน้ำเจ้าพระยาไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาเกิน 2,500 ลบ.ม./วินาที จะทำให้น้ำท่วม อ.สรรพยา จ.ชัยนาท สองฝั่งเจ้าพระยา
ของ จ.สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล)
2.5.2) กรมชลประทานจะบริหารจัดการน้ำในการควบคุมน้ำหลาก โดยรับน้ำเข้าระบบชลประทานทั้งสองฝั่งของแม่น้ำ
เจ้าพระยา ไม่ให้เกิดผลกระทบกับพื้นที่ในทุ่งเจ้าพระยาทั้งสองฝั่งผ่านประตูระบายน้ำปากแม่น้ำน้อย แม่น้ำสุพรรณ และคลองชัยนาท-ป่าสัก เพื่อให้มี
ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ในเกณฑ์ไม่เกิน 1,800 ลบ.ม./วินาที และควบคุมปริมาณน้ำที่อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ให้อยู่ในเกณฑ์ไม่เกิน 2,500 ลบ.ม./วินาที ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
2.6 การให้ความช่วยเหลือของกระทรวงมหาดไทย
2.6.1) อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (นายอนุชา โมกขะเวส) ได้สั่งการให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
เขต 8 กำแพงเพชร เขต 9 พิษณุโลก เขต 10 ลำปาง นำเรือท้องแบน ถุงยังชีพไปสนับสนุนจังหวัดที่ประสบภัยในเขตพื้นที่รับผิดชอบแล้ว
2.6.2) การช่วยเหลือผู้ประสบภัยในภาวะฉุกเฉินเร่งด่วน ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ใช้จ่ายเงิน ทดรองราชการ (งบ 50 ล้านบาท)
เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในด้านเครื่องอุปโภคบริโภค ค่าซ่อมแซมบ้านเรือนที่เสียหาย ค่าจัดการศพ ซ่อมแซมสิ่งสาธารณประโยชน์ รวมทั้งพื้นที่
การเกษตรและปศุสัตว์ บ่อปลาที่เสียหาย
2.7 การตรวจเยี่ยมของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
เมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2549 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช) พร้อมคณะ ได้เดินทางไป
ตรวจสภาพน้ำท่วมขังบริเวณชุมชนด้านหลังมหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นหอพักนักศึกษา และได้ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก
รองผู้ว่าราชการจังหวัด รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (นายพงศ์เผ่า เกษทอง) และรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร แก้ไขปัญหา
น้ำท่วมขังโดยสั่งการให้ชลประทานจังหวัดพิษณุโลก ติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติม แล้วระบายน้ำผ่านพื้นที่มหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อระบายน้ำออกจาก
พื้นที่ผ่านคลองชลประทานสายใหญ่ลงสู่แม่น้ำน่าน ทำให้ในช่วงบ่ายวันที่ 17 ก.ย. 2549 ระดับน้ำได้ลดลงเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว
จากนั้นได้เดินทางไปตรวจสถานการณ์อุทกภัยและพบปะเยี่ยมเยียนราษฎรที่ประสบอุทกภัยที่บ้านจิกเอน หมู่ที่ 8 ตำบลบ้านใหม่
สุขเกษม และบ้านแก่งหลวง หมู่ที่ 6 ตำบลกกแรต อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย วัดกรับพวง ตำบลวังอีทก อำเภอบางระกำ บ้านวังแร่
ตำบลชุมแสงสงคราม อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก วัดสามง่าม หมู่ที่ 4 ตำบลสามง่าม อำเภอสามง่าม และวัดราษฎร์บูรณะ ตำบลวังจิก
อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตรตามลำดับ และได้เดินทางไปตรวจงานก่อสร้างเขื่อน คสล.ป้องกันน้ำท่วมที่วัดท่ามะขาม ตำบลไผ่ล้อม
อำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก
2.8 สิ่งของพระราชทาน
1) เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2549 มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ โดย นายดิสธร วัชโรทัย รองเลขาธิการมูลนิธิราชประชา-
นุเคราะห์ ฯ นำสิ่งของพระราชทานไปมอบให้ผู้ประสบภัยในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกที่ตำบลท่าช้าง 500 ครอบครัว สถานีอนามัยวังทอง 500 ครอบครัว
และที่อำเภอพรหมพิราม 200 ครอบครัว รวม 1,200 ชุด
2) เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2549 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จเยี่ยมผู้ประสบ
อุทกภัยที่ตำบลริม อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน โดยมีนายปริญญา ปานทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน และคณะฯ เฝ้ารับเสด็จ ได้ทรงประกอบ
อาหารที่รถเพื่อนพึ่ง(ภาฯ) ช่วยด้วยใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน และทรงเป็นประธานเปิดห้องสมุดโรงเรียนบ้านท่าค้ำ ซึ่งเสียหายจากน้ำท่วมโดยพัฒนา
ให้เป็นห้องสมุดพัฒนาศักยภาพการคิดพร้อมกับ ทอดพระเนตรภายในห้องสมุด ประทานเงินทุนเพื่อสนับสนุนการดูแลเด็กเล็กให้แก่นายกเหล่ากาชาด
จังหวัดน่านประทานอุปกรณ์การเรียนให้แก่ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านท่าค้ำ ประทานใบแต่งตั้งเป็นผู้ดูแลการซ่อมแซมบ้านเรือนผู้ประสบอุทกภัย จำนวน
5 ราย ประทานเข็มอาสาเพื่อพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก จำนวน 20 ราย ประทานถุงยังชีพพระราชทานแก่ผู้ประสบอุทกภัยและผู้แทนหมู่บ้าน จำนวน
1,600 ถุง พร้อมกับเสด็จเยี่ยมราษฎรที่ประสบอุทกภัยและหน่วยแพทย์เคลื่อนที่
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) (รักษาการนายกรัฐมนตรี) วันที่ 19 กันยายน 2549--จบ--
ได้สรุปผลความก้าวหน้าการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่มภาคเหนือ 5 จังหวัด และสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่
27 สิงหาคม - 18 กันยายน 2549 (ข้อมูลถึงวันที่ 18 กันยายน 2549) ดังนี้
1. สรุปผลความก้าวหน้าการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่มภาคเหนือของกระทรวงมหาดไทย (จนถึงวันที่ 18 กันยายน
2549)
1.1 ความก้าวหน้าสร้างบ้านถาวร
บ้านพัง การสร้างบ้าน (หลัง) ราษฎรขอรับเงินชดเชย ความก้าวหน้าในการสร้างบ้าน (หลัง)
ที่ จังหวัด ทั้งหลัง (หลัง) ในที่ดินรัฐ ที่ราษฎรเอง สร้างเอง (หลัง) มูลนิธิชัยพัฒนา มูลนิธิไทยคม
กำลังสร้าง สร้างเสร็จ กำลังสร้าง สร้างเสร็จ
1 อุตรดิตถ์ 493 238 203 50 220 30 320 30
2 แพร่ 138 112 - 26 - - 71 23
3 สุโขทัย 90 90 - - - - 71 19
รวมทั้งหมด 721 440 203 76 220 30 462 72
หมายเหตุ
1) ที่ อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์ บ้านพังทั้งหลังเสียชีวิตทั้งครอบครัว จำนวน 2 หลัง ไม่มีการสร้างบ้านใหม่
2) มูลนิธิชัยพัฒนา จะดำเนินการสร้างบ้านพักถาวรให้แก่ราษฎรที่ประสบภัยในพื้นที่ อ.เมืองฯ จ.อุตรดิตถ์ ทั้งหมด จำนวน
161 หลัง และสร้างบ้านให้แก่ราษฎรในที่ดินของตนเองที่ไม่ต้องการอพยพมาอยู่ในพื้นที่รองรับที่ทางราชการจัดให้ ซึ่งเป็นผู้ประสบภัยในพื้นที่ อ.ลับแล
จำนวน 37 หลัง อ.ท่าปลา จำนวน 52 หลัง รวมยอดดำเนินการ 250 หลัง
3) มูลนิธิไทยคม จะดำเนินการสร้างบ้านถาวรให้แก่ราษฎรผู้ประสบภัยในพื้นที่ จ.อุตรดิตถ์ จำนวน 350 หลัง สุโขทัย
จำนวน 90 หลัง และแพร่ จำนวน 94 หลัง รวมยอดดำเนินการ 534 หลัง
4) พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ กำหนดสร้างบ้านถาวรที่ อ.เมืองฯ จ.แพร่ จำนวน 18 หลัง ขณะนี้ได้
สร้างแล้วเสร็จ จำนวน 1 หลัง
1.2 การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคเหนือในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย
1.2.1) ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546
(ข้อมูล ณ วันที่ 18 กันยายน 2549 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
(1) ด้านการช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นเงิน 106,365,809 บาท แยกได้ดังนี้
- ค่าด้านการจัดการศพ จำนวน 88 ราย (ครบ 100 %) เป็นเงิน 1,920,000 บาท
- ค่าช่วยเหลือญาติผู้สูญหาย จำนวน 29 ราย (ครบ 100 % ) เป็นเงิน 810,000 บาท
- ค่าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ 1,107 ราย (ครบ 100 %) เป็นเงิน 2,321,000 บาท
- ค่าที่อยู่อาศัย จำนวน 5,002 ราย (คิดเป็น 100 % ) เป็นเงิน 51,730,121 บาท
- ค่าเครื่องมือ/ทุนประกอบอาชีพ จำนวน 862 ราย เป็นเงิน 4,439,270 บาท
- ค่าเครื่องนุ่งห่ม จำนวน 9,034 ราย เป็นเงิน 5,073,650 บาท
- ค่าอาหารจัดเลี้ยง จำนวน 237,491 ราย เป็นเงิน 19,072,053 บาท
- ค่าอื่นๆ เป็นเงิน 20,996,715 บาท
(2) ด้านป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นเงิน 67,987,094 บาท
(3) ด้านการปฏิบัติงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นเงิน 38,782,142 บาท
สรุปให้ความช่วยเหลือไปแล้ว 244,530 คน ร รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 213,135,046บาท
1.2.2) การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ประเภทผู้ประกอบการรายย่อย (ข้อมูล ณ วันที่ 18 กันยายน 2549
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น)
(1) จังหวัดแพร่ จ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 291 ราย เป็นเงิน 3,186,605 บาท
(2) จังหวัดสุโขทัย จ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 806 ราย เป็นเงิน 9,428,775 บาท
(3) จังหวัดอุตรดิตถ์ จ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 3,474 ราย เป็นเงิน 42,551,890 บาท
รวมจ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 4,571 ราย ( คิดเป็น 99.15 %) เป็นเงิน 55,167,270 บาท
คงค้างจ่าย จำนวน 39 ราย เนื่องจากไปทำงานนอกพื้นที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นติดตามตัวเพื่อจ่ายเงินให้ต่อไป
2. สรุปสถานการณ์อุทกภัยจากอิทธิพลร่องความกดอากาศต่ำ (ระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม—18 กันยายน 2549)
2.1 ระหว่างวันที่ 27 — 31 สิงหาคม 2549 ร่องความกดอากาศต่ำหรือร่องฝนกำลังแรงพาดผ่านภาคเหนือ ทำให้มีฝนตกหนักมาก
ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ สุโขทัย พิษณุโลก ตาก เป็นเหตุทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำปิง แม่น้ำกวง แม่น้ำทา แม่น้ำยม
และแม่น้ำวัง มีระดับน้ำสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในหลายพื้นที่
2.2 พื้นที่ประสบภัย รวม 21 จังหวัด 78 อำเภอ 5 กิ่งอำเภอ 314 ตำบล 1,249 หมู่บ้าน ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน
สุโขทัย พิษณุโลก แพร่ กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ ลำพูน ลำปาง ตาก พิจิตร พะเยา เพชรบูรณ์ จันทบุรี พังงา นครสวรรค์ นครศรีธรรมราช
สุราษฎร์ธานี อ่างทอง สระบุรี และพระนครศรีอยุธยา
2.3 ความเสียหาย
1) ผู้เสียชีวิต 7 คน จังหวัดลำปาง 2 คน (อำเภอแม่เมาะ 1 อำเภองาว 1) จังหวัดสุโขทัย 3 คน (อำเภอเมืองฯ 1 คน
อำเภอสวรรคโลก 2 คน) จังหวัดพิษณุโลก 1 คน (อำเภอบางระกำ) และจังหวัดเพชรบูรณ์ 1 คน (อำเภอเมืองฯ) ราษฎรได้รับความเดือดร้อน
48,765 คน 13,263 ครัวเรือน
2) ด้านทรัพย์สิน บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 22 หลัง เสียหายบางส่วน 424 หลัง ถนน 255 สาย สะพาน 28 แห่ง
ท่อระบายน้ำ 22 แห่ง ทำนบ/ฝาย/เหมือง 81 แห่ง พื้นที่ทางการเกษตร 192,123 ไร่ บ่อปลา/กุ้ง 1,831 บ่อ วัด/โรงเรียน 50 แห่ง
ความเสียหายอื่น ๆ อยู่ระหว่างการสำรวจ
2.4 สถานการณ์ปัจจุบัน ( ข้อมูล ณ วันที่ 18 กันยายน 2549 )
2.4.1 พื้นที่สถานการณ์อุทกภัยคลี่คลายแล้ว 15 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน อุตรดิตถ์ ลำปาง แพร่ ลำพูน จันทบุรี
พะเยา พังงา สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตาก สระบุรี เชียงใหม่ กำแพงเพชร และเพชรบูรณ์ โดยทุกหน่วยงานยังคงปฏิบัติงานช่วยเหลือ
ผู้ประสบภัย แจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค น้ำดื่ม การฟื้นฟู ล้างทำความสะอาดโรงเรียน สถานีอนามัย และการซ่อมแซมถนน สะพาน ที่ชำรุด
เสียหายให้สามารถใช้การได้แล้ว
2.4.2 พื้นที่ที่ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย 6 จังหวัด เนื่องจากระดับน้ำในแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านพื้นที่สูงกว่าตลิ่ง ได้แก่
จังหวัดสุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา ดังนี้
1) จังหวัดสุโขทัย มีน้ำท่วมขังในพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่
(1) อำเภอเมือง ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร 9 ตำบล ได้แก่ ตำบลยางซ้าย (หมู่ที่ 2,
3,5,7-12) ตำบลปากพระ (หมู่ที่ 1-6) ตำบลเมืองเก่า (หมู่ที่ 1-5,7,10,11) ตำบลบ้านสวน (หมู่ที่ 1-13) ตำบลบ้านหลุม (หมู่ที่ 1,2,
4-6,9) ตำบลตาลเตี้ย (หมู่ที่ 1-4) ตำบลวังทองแดง (หมู่ที่ 1,3,5,6) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20-0.40 เมตร ส่วนที่ตำบลปากแคว
(หมู่ที่ 1-9) และตำบลบ้านกล้วย (หมู่ที่ 1-14) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.50 เมตร เนื่องจากเป็นที่ลุ่มแอ่งกะทะ ซึ่งเป็นจุดรวมน้ำ
(2) อำเภอกงไกรลาศ น้ำจากแม่น้ำยมได้ไหลเอ่อเข้าท่วมขังในพื้นที่การเกษตร 11 ตำบล 1 เทศบาล ได้แก่
ตำบลท่าฉนวน (หมู่ที่ 1-12) ตำบลบ้านกร่าง (หมู่ที่ 1-5) ตำบลกง (หมู่ที่ 1-13) ตำบลป่าแฝก (หมู่ที่ 1-9) ตำบลหนองตูม (หมู่ที่ 1-8)
ตำบลไกรกลาง (หมู่ที่ 1-8) ตำบลไกรใน (หมู่ที่ 1-15) ตำบลกกแรต (หมู่ที่1-12) ตำบลบ้านใหม่สุขเกษม (หมู่ที่ 1-8) ตำบลไกรนอก (หมู่ที่ 1-8)
ตำบลดงเดือย (หมู่ที่ 1-11) และเทศบาลตำบลบ้านกร่าง (5 ชุมชน) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.50-1.00 เมตร ระดับน้ำสูงขึ้นเล็กน้อย เนื่องจาก
เป็นที่ลุ่มแอ่งกะทะ
(3) อำเภอคีรีมาศ ได้เกิดฝนตกหนักในวันที่ 12-13 ก.ย.49 ทำให้เกิดน้ำป่าไหลมาจากอุทยานแห่งชาติ
รามคำแหง (เขาหลวง) เข้าท่วมพื้นที่การเกษตรใน 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลบ้านป้อม (หมู่ที่ 1-5,8) ตำบลทุ่งหลวง (หมู่ที่ 9-11,13)
ตำบลนาเชิงคีรี (หมู่ที่ 1,2,6,8) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.10-0.20 เมตร
การให้ความช่วยเหลือ จังหวัดสุโขทัย อำเภอ ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 8 กำแพงเพชร สำนักงานป้องกันและ
บรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสุโขทัย กำลังพลจาก ตชด. กองกำกับการ 6 กองบังคับการฝึกพิเศษ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ให้ความช่วยเหลือใน
เบื้องต้นแล้ว
ระดับน้ำในแม่น้ำยม เมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 18 ก.ย. 49 ที่สถานี Y.33 อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย ระดับน้ำสูง
6.55 เมตร (ระดับตลิ่ง 10.00 เมตร) ต่ำกว่าตลิ่ง 3.45 เมตร ที่สถานี Y.4 อำเภอเมืองฯ จังหวัดสุโขทัย ระดับน้ำสูง 5.00 เมตร (ระดับ
ตลิ่ง 7.45 เมตร) ต่ำกว่าตลิ่ง 2.45 เมตร และที่ฝายยางบ้านกง อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย ระดับน้ำสูง 10.23 เมตร (ระดับตลิ่ง
9.00 เมตร) สูงกว่าตลิ่ง 1.23 เมตร
2) จังหวัดพิษณุโลก ปัจจุบันยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่
(1) อำเภอบางระกำ น้ำในแม่น้ำยมจากอำเภอกงไกรลาศไหลเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎร และพื้นที่การเกษตร
6 ตำบล ได้แก่ตำบลชุมแสงสงคราม (หมู่ที่ 1-9) ตำบลคุยม่วง (หมู่ที่ 6,8,9) ตำบลท่านางงาม (หมู่ที่ 1,2,3,5) ตำบลนิคมพัฒนา
ตำบลบางระกำ (หมู่ที่ 2,7,15) และตำบลวังอีทก (หมู่ 1,4,6,9,10) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.30-0.50 เมตร แนวโน้มสถานการณ์ปริมาณน้ำ
ในอำเภอบางระกำ ยังมีน้ำจากอำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย และจากจังหวัดกำแพงเพชรไหลเข้าพื้นที่ ซึ่งทำให้สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่
อำเภอบางระกำขยายวงกว้าง
(2) อำเภอพรหมพิราม ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎร และพื้นที่การเกษตร 4 ตำบล ได้แก่ ตำบลท่าช้าง
(หมู่ที่ 2,5,7-9) ตำบลหนองแขม (หมู่ที่ 2,4,8,10) ตำบลพรหมพิราม (หมู่ที่ 5,11,12) และตำบลวังวน (หมู่ที่ 1,2,4,8,10) ระดับน้ำสูง
ประมาณ 0.20-0.40 เมตร ระดับน้ำทรงตัว
การให้ความช่วยเหลือ
1) จังหวัดและอำเภอ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่งเรือท้องแบน ถุงยังชีพ
ข้าวสารอาหารแห้ง และน้ำดื่ม ช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง
2) ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 9 พิษณุโลก และตำรวจตระเวนชายแดนที่ 31 สนับสนุน
เรือท้องแบน อำนวยความสะดวกแก่ประชาชน นิสิต นักศึกษาบริเวณมหาวิทยาลัยนเรศวร
ระดับน้ำในแม่น้ำยม ที่ฝายบางบ้า อำเภอบางระกำ เมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 18 ก.ย. 2549 ระดับน้ำ
สูงกว่าตลิ่ง 1.63 เมตร
3) จังหวัดพิจิตร น้ำในแม่น้ำยมและแม่น้ำน่านมีระดับสูงขึ้น ทำให้มีน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มริมน้ำ และพื้นที่การ
เกษตร 4 อำเภอ ได้แก่
(1) อำเภอเมืองฯ น้ำท่วมในพื้นที่ 8 ตำบล ได้แก่ ตำบลในเมือง ตำบลฆะมัง (หมู่ที่ 3,9) ตำบล
บ้านบุ่ง (หมู่ที่ 2,3,5,6) ตำบลปากทาง (หมู่ที่ 3,6,7) ตำบลย่านยาว (หมู่ที่ 2,6) ตำบลสายคำโห้ (หมู่ที่ 1-5) ตำบลป่ามะคาบ (หมู่ที่ 1,2,7,
13) และตำบลหัวดง (หมู่ที่ 6,9) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20-0.30 เมตร ระดับน้ำทรงตัว
(2) อำเภอสามง่าม น้ำท่วมในพื้นที่ 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลรังนก (หมู่ที่ 1,2,9) ตำบลกำแพงดิน และ
ตำบลสามง่าม ระดับน้ำสูงประมาณ 0.40-0.60 เมตร เนื่องจากมีพื้นที่เป็นที่ลุ่มแอ่งกะทะ ระดับน้ำทรงตัว
(3) อำเภอวชิรบารมี ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นการเกษตร 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลวังโมกข์(หมู่ที่ 1,3,7,
9) ตำบลหนองหลุม (หมู่ 2,10) และตำบลบ้านนา (หมู่ที่ 1,13) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.10-0.20 เมตร ระดับน้ำทรงตัว
(4) อำเภอโพธิ์ประทับช้าง น้ำในแม่น้ำยมเอ่อล้นตลิ่งไหลเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร
ของตำบลวังจิก ทำให้มีการปิดโรงเรียนวัดวังจิก จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ ระดับน้ำสูงประมาณ 1.00 เมตร
การให้ความช่วยเหลือ
1) จังหวัดและอำเภอ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่งเรือท้องแบน ถุงยังชีพ
ข้าวสารอาหารแห้ง และน้ำดื่ม ช่วยเหลือผู้ประสบภัย
2) กรมชลประทาน โดยโครงการชลประทานพิจิตร ได้ลดระดับฝายบ้านบางคลาน และฝายยางพญาวัง
เพื่อให้น้ำแม่น้ำยมไหลผ่านได้เร็วขึ้น พร้อมเตรียมเครื่องสูบน้ำไว้ช่วยเหลือแล้ว 40 เครื่อง
3) สำนักงานทางหลวงชนบทจังหวัด ได้นำเครื่องจักรกลไปเสริมถนนเพื่อเป็นพนังกั้นน้ำแม่น้ำน่าน
บริเวณหมู่ที่ 3 ตำบลฆะมัง อำเภอเมืองพิจิตร
4) จังหวัดนครสวรรค์ น้ำจากแม่น้ำยมและแม่น้ำน่านได้ไหลเอ่อเข้าท่วมขังในพื้นที่ลุ่มริมน้ำ 7 อำเภอ
ได้แก่
(1) อำเภอเมืองฯ เขตเทศบาลนครนครสวรรค์มีน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำริมฝังแม่น้ำเจ้าพระยาและ
แม่น้ำปิงบางแห่งของพื้นที่ ชุมชนรณชัย และชุมชนวัดเขา ส่วนนอกเขตเทศบาลยังคงมีน้ำท่วมขังพื้นที่การเกษตร 8 ตำบล ได้แก่ ตำบลเกรียงไกร
ตำบลบางพระหลวง ตำบลบึงเสนาท ตำบลแควใหญ่ ตำบลวัดไทร ตำบลบ้านแก่ง ตำบลกลางแดด และ ตำบลสวรรค์ออก ระดับน้ำสูงประมาณ
0.20-0.30 เมตร ระดับน้ำสูงขึ้น
(2) อำเภอบรรพตพิสัย ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่การเกษตร 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลหนองกรด
(หมู่ที่ 1,7,10,13,15) ตำบลตาขีด (หมู่ที่ 1) และตำบลตาสัง (หมู่ที่ 1,2,9) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.30-0.40 เมตร ระดับน้ำสูงขึ้น
(3) อำเภอชุมแสง ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มการเกษตรริมน้ำ 10 ตำบล ได้แก่ ตำบลโคกหม้อ
ตำบลบางเคียน ตำบลท่าไม้ ตำบลฆะมัง ตำบลพิกุล ตำบลหนองกระเจา ตำบลพันลาน ตำบลเกยไชย ตำบลทับกฤชใต้ และตำบลทับกฤช ระดับน้ำสูง
ประมาณ 0.30-0.60 เมตร ระดับน้ำสูงขึ้นเล็กน้อย
(4) อำเภอหนองบัว ได้แก่ ตำบลห้วยร่วม และตำบลห้วยถั่วเหนือ ระดับน้ำสูงประมาณ
0.20-0.40 เมตร ระดับน้ำทรงตัว
(5) อำเภอเก้าเลี้ยว มีน้ำท่วมขังในพื้นที่การเกษตร 1 ตำบล ได้แก่ ตำบลหนองเต่า (หมู่ที่
1,2,7-10) ระดับสูงประมาณ 0.30-0.50 เมตร ระดับน้ำสูงขึ้น
(6) อำเภอโกรกพระ มีน้ำท่วมขังในพื้นที่การเกษตร 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลยางตาล หมู่ที่ 6
ตำบลโกรกพระ และตำบลบางมะฝ่อ ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20-0.30 เมตร
(7) อำเภอพยุหะคีรี มีน้ำท่วมขังในพื้นที่การกษตรของตำบลยางขาว ระดับน้ำสูง 0.40-0.60 เมตร
5) จังหวัดอ่างทอง น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาล้นตลิ่งไหลเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรที่อยู่ติดริมน้ำ ซึ่งเป็นพื้นที่
ลุ่มในพื้นที่ หมู่ที่ 4-6 ตำบลโผงเผง อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20-0.50 เมตร
การให้ความช่วยเหลือ อำเภอป่าโมกร่วมกับ อบต.โผงเผง เสริมคันกันน้ำโดยนำกระสอบทราย
วางเป็นแนวป้องกัน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน พร้อมเร่งออกสำรวจความเสียหายในพื้นที่ และให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นแล้ว
6) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามีระดับสูงขึ้น เอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎร
2 อำเภอ ได้แก่
(1) อำเภอบางบาล น้ำท่วมในพื้นที่ 4 ตำบล ได้แก่ ตำบลน้ำเต้า (หมู่ที่ 1-8) ตำบลทางช้าง
(หมู่ที่ 1-6) ตำบลวัดตะกู (หมู่ที่ 1-9) และตำบลบางหลวง (หมู่ที่ 1-5) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.30-0.40 เมตร
(2) อำเภอบางไทร น้ำท่วมในพื้นที่ 1 ตำบล ได้แก่ ตำบลกระแชง (หมู่ที่ 1,2,3,5) ระดับน้ำสูง
ประมาณ 0.50-0.70 เมตร
อนึ่ง เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2549 ได้เกิดรอยแยกของแผ่นดินที่ บริเวณภายในหมู่บ้านกึ๊ดสามสิบ หมู่ที่ 6
ตำบลสบป่อง อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมีความกว้างของรอยแยก ประมาณ 30 เซนติเมตร ยาวประมาณ 100 เมตร ลึกประมาณ
50 เซนติเมตร จากการสำรวจพบว่า มีราษฎรที่ปลูกบ้านเรือน อยู่ในบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัย จำนวน 27 หลังคาเรือน รวม 105 คน ซึ่งอำเภอได้จัด
เวรยาม เฝ้าสังเกตการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง และให้ราษฎรที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวออกมาพักอาศัยอยู่กับบ้านญาติที่ปลอดภัยก่อนชั่วคราว ตั้งแต่วันที่
16 กันยายน 2549 เพื่อรอผลการสำรวจจากกรมทรัพยากรธรณีต่อไป
2.5 สภาพน้ำเจ้าพระยา
2.5.1) เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 2549 มีปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน จ.นครสวรรค์ จำนวน 2,094 ลบ.ม./วินาที
ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท จำนวน 1,796 ลบ.ม./วินาที และมีปริมาณน้ำระบายจากเขื่อนพระรามหก จำนวน 150 ลบ.ม./
วินาที ทำให้ปริมาณน้ำที่อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครีอยุธยามีจำนวน 1,946 ลบ.ม./วินาที ทำให้เกิดผลกระทบกับพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา
เป็นบางจุด (กรณีปริมาณน้ำเจ้าพระยาไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาเกิน 2,500 ลบ.ม./วินาที จะทำให้น้ำท่วม อ.สรรพยา จ.ชัยนาท สองฝั่งเจ้าพระยา
ของ จ.สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล)
2.5.2) กรมชลประทานจะบริหารจัดการน้ำในการควบคุมน้ำหลาก โดยรับน้ำเข้าระบบชลประทานทั้งสองฝั่งของแม่น้ำ
เจ้าพระยา ไม่ให้เกิดผลกระทบกับพื้นที่ในทุ่งเจ้าพระยาทั้งสองฝั่งผ่านประตูระบายน้ำปากแม่น้ำน้อย แม่น้ำสุพรรณ และคลองชัยนาท-ป่าสัก เพื่อให้มี
ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ในเกณฑ์ไม่เกิน 1,800 ลบ.ม./วินาที และควบคุมปริมาณน้ำที่อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ให้อยู่ในเกณฑ์ไม่เกิน 2,500 ลบ.ม./วินาที ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
2.6 การให้ความช่วยเหลือของกระทรวงมหาดไทย
2.6.1) อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (นายอนุชา โมกขะเวส) ได้สั่งการให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
เขต 8 กำแพงเพชร เขต 9 พิษณุโลก เขต 10 ลำปาง นำเรือท้องแบน ถุงยังชีพไปสนับสนุนจังหวัดที่ประสบภัยในเขตพื้นที่รับผิดชอบแล้ว
2.6.2) การช่วยเหลือผู้ประสบภัยในภาวะฉุกเฉินเร่งด่วน ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ใช้จ่ายเงิน ทดรองราชการ (งบ 50 ล้านบาท)
เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในด้านเครื่องอุปโภคบริโภค ค่าซ่อมแซมบ้านเรือนที่เสียหาย ค่าจัดการศพ ซ่อมแซมสิ่งสาธารณประโยชน์ รวมทั้งพื้นที่
การเกษตรและปศุสัตว์ บ่อปลาที่เสียหาย
2.7 การตรวจเยี่ยมของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
เมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2549 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช) พร้อมคณะ ได้เดินทางไป
ตรวจสภาพน้ำท่วมขังบริเวณชุมชนด้านหลังมหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นหอพักนักศึกษา และได้ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก
รองผู้ว่าราชการจังหวัด รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (นายพงศ์เผ่า เกษทอง) และรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร แก้ไขปัญหา
น้ำท่วมขังโดยสั่งการให้ชลประทานจังหวัดพิษณุโลก ติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติม แล้วระบายน้ำผ่านพื้นที่มหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อระบายน้ำออกจาก
พื้นที่ผ่านคลองชลประทานสายใหญ่ลงสู่แม่น้ำน่าน ทำให้ในช่วงบ่ายวันที่ 17 ก.ย. 2549 ระดับน้ำได้ลดลงเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว
จากนั้นได้เดินทางไปตรวจสถานการณ์อุทกภัยและพบปะเยี่ยมเยียนราษฎรที่ประสบอุทกภัยที่บ้านจิกเอน หมู่ที่ 8 ตำบลบ้านใหม่
สุขเกษม และบ้านแก่งหลวง หมู่ที่ 6 ตำบลกกแรต อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย วัดกรับพวง ตำบลวังอีทก อำเภอบางระกำ บ้านวังแร่
ตำบลชุมแสงสงคราม อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก วัดสามง่าม หมู่ที่ 4 ตำบลสามง่าม อำเภอสามง่าม และวัดราษฎร์บูรณะ ตำบลวังจิก
อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตรตามลำดับ และได้เดินทางไปตรวจงานก่อสร้างเขื่อน คสล.ป้องกันน้ำท่วมที่วัดท่ามะขาม ตำบลไผ่ล้อม
อำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก
2.8 สิ่งของพระราชทาน
1) เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2549 มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ โดย นายดิสธร วัชโรทัย รองเลขาธิการมูลนิธิราชประชา-
นุเคราะห์ ฯ นำสิ่งของพระราชทานไปมอบให้ผู้ประสบภัยในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกที่ตำบลท่าช้าง 500 ครอบครัว สถานีอนามัยวังทอง 500 ครอบครัว
และที่อำเภอพรหมพิราม 200 ครอบครัว รวม 1,200 ชุด
2) เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2549 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จเยี่ยมผู้ประสบ
อุทกภัยที่ตำบลริม อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน โดยมีนายปริญญา ปานทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน และคณะฯ เฝ้ารับเสด็จ ได้ทรงประกอบ
อาหารที่รถเพื่อนพึ่ง(ภาฯ) ช่วยด้วยใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน และทรงเป็นประธานเปิดห้องสมุดโรงเรียนบ้านท่าค้ำ ซึ่งเสียหายจากน้ำท่วมโดยพัฒนา
ให้เป็นห้องสมุดพัฒนาศักยภาพการคิดพร้อมกับ ทอดพระเนตรภายในห้องสมุด ประทานเงินทุนเพื่อสนับสนุนการดูแลเด็กเล็กให้แก่นายกเหล่ากาชาด
จังหวัดน่านประทานอุปกรณ์การเรียนให้แก่ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านท่าค้ำ ประทานใบแต่งตั้งเป็นผู้ดูแลการซ่อมแซมบ้านเรือนผู้ประสบอุทกภัย จำนวน
5 ราย ประทานเข็มอาสาเพื่อพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก จำนวน 20 ราย ประทานถุงยังชีพพระราชทานแก่ผู้ประสบอุทกภัยและผู้แทนหมู่บ้าน จำนวน
1,600 ถุง พร้อมกับเสด็จเยี่ยมราษฎรที่ประสบอุทกภัยและหน่วยแพทย์เคลื่อนที่
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) (รักษาการนายกรัฐมนตรี) วันที่ 19 กันยายน 2549--จบ--