คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงาน การค้าระหว่างประเทศของไทยในระยะครึ่งปีแรกของปี 2549 (มกราคม — มิถุนายน) ดังนี้
1. การส่งออก
การส่งออกเดือนมิถุนายน 2549 มีมูลค่า 10,956.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.0 และนับเป็นการส่งออกที่สูงกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นครั้งที่สามของปี 2549 และมีมูลค่าการส่งออกสูงเป็นอันดับสองในรอบ 5 ปี การส่งออกยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยสินค้าเกษตรกรรม/อุตสาหกรรมการเกษตรขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.2 สินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.7 และสินค้าอื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 48.4
สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตรสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และสินค้าอาหาร (กุ้งแช่แข็งและแปรรูป อาหารกระป๋องและแปรรูป ผลไม้สด แช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ผักกระป๋องและแปรรูป และ ไก่แช่แข็งและแปรรูป) ส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 84.3, 33.5 และ 12.3 ตามลำดับ สินค้าสำคัญที่ส่งออกลดลง ได้แก่ ข้าว และน้ำตาล ขณะที่ราคาส่งออกยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ข้าว ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 21.6 และ 13.2 ตามลำดับ เนื่องจากราคาข้าวในประเทศสูงและต้องแข่งขันด้านราคากับคู่แข่งสำคัญคือเวียดนามและอินเดีย น้ำตาล ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 35.2 และ 6.5 ตามลำดับ เนื่องจากผลผลิตในประเทศลดลง
สินค้าอุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และส่วนประกอบ สิ่งทอ เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง วัสดุก่อสร้าง เครื่องเดินทางและเครื่องหนัง เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เภสัช และ ของเล่น สินค้าสำคัญที่ส่งออกลดลง ได้แก่ เฟอร์นิเจอร์ ลดลงร้อยละ 3.2 เนื่องจากปัญหาวัตถุดิบไม้ยางพาราขาดแคลนและมีราคาสูงขึ้น การขาดแคลนแรงงานในประเทศ การแข่งขันกับคู่แข่งคือ จีน และเวียดนาม และได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันค่าระวางเรือ รวมทั้งการแข็งค่าของเงินบาท และสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับส่งออกลดลงเป็นครั้งแรกในรอบปี ลดลงร้อยละ 10.6 โดยเป็นการลดลงของการส่งออกทองคำถึงร้อยละ 75.2 ทั้งนี้ หากไม่รวมการส่งออกทองคำ สินค้าอัญมณียังคงมีการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5
สินค้าอื่น ๆ ที่สำคัญและส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราสูงได้แก่ น้ำมันดิบ เคมีภัณฑ์ เลนส์ และน้ำมันเบนซินส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 522.6, 42.9, 37.8 และ 39.5 ตามลำดับ
การส่งออกในระยะครึ่งปีแรกของปี 2549 (ม.ค.-มิ.ย.) มีมูลค่า 60,558 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.6 คิดเป็นร้อยละ 46.5 ของเป้าหมายการส่งออก โดยเป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นในหมวดสินค้าเกษตรกรรม/อุตสาหกรรมการเกษตร ร้อยละ 15.8 สินค้าอุตสาหกรรม ร้อยละ 13.4 และสินค้าอื่น ๆ ร้อยละ 30.7
สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตรสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพารา มันสำปะหลัง และ สินค้าอาหาร (กุ้งแช่แข็งและแปรรูป อาหารกระป๋องและแปรรูป ผัก ผลไม้สด กระป๋องและแปรรูป ไก่แช่แข็งและแปรรูป) เพิ่มขึ้นร้อยละ 53.4 , 22.7 และ 11.0 ตามลำดับ สินค้าสำคัญที่ส่งออกลดลง ได้แก่ ข้าว และน้ำตาล มูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 11.5 และ 31.0 ตามลำดับ
สินค้าอุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอ อัญมณี เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก วัสดุก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องใช้เครื่องประดับตกแต่ง สิ่งพิมพ์และกระดาษ เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เภสัช และของเล่น สินค้าสำคัญที่ส่งออกลดลง ได้แก่ เครื่องเดินทาง เครื่องหนังและรองเท้า และเฟอร์นิเจอร์
สินค้าอื่นๆ ที่สำคัญและส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราสูงได้แก่ น้ำมันดิบ เคมีภัณฑ์ เลนส์ และน้ำมันเบนซิน
ตลาดส่งออกสำคัญ การส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะในตลาดใหม่ ซึ่งเพิ่มขึ้น ร้อยละ 26.6 ตลาดใหม่ที่ขยายตัวในอัตราสูง ได้แก่ ตะวันออกกลาง(ร้อยละ 41.4) ลาตินอเมริกา (ร้อยละ 37.7) ยุโรปตะวันออก (ร้อยละ 33.0) อินโดจีนและพม่า (ร้อยละ 29.0) ไต้หวัน (ร้อยละ 28.8) จีน (ร้อยละ 28.7) เกาหลีใต้ (ร้อยละ 27.9) ออสเตรเลีย (ร้อยละ 26.3) ฮ่องกง (ร้อยละ 24.1) และแคนาดา (ร้อยละ 23.4)
สำหรับการส่งออกไปตลาดหลักขยายตัวร้อยละ 10.2 โดยการส่งออกไปสหรัฐฯขยายตัวร้อยละ 18.3 สหภาพยุโรป (15) ร้อยละ 10.1 อาเซียน(5) ร้อยละ 7.6 และ ญี่ปุ่นร้อยละ 4.9
2. การนำเข้า
การนำเข้าในเดือนมิถุนายน 2549 มีมูลค่า 11,384.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนเพียงร้อยละ 3.0 โดยกลุ่มสินค้าที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ สินค้าทุน (ร้อยละ 4.6) สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ร้อยละ 7.8) และสินค้าอุปโภคบริโภค (ร้อยละ 13.9) ทั้งนี้ สินค้าทุนและสินค้าวัตถุดิบ/กึ่งสำเร็จรูป (สัดส่วนร้อยละ 69.7) ซึ่งเป็นสินค้าที่สัมพันธ์กับการส่งออกโดยตรงมีการนำเข้าขยายตัวเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มการส่งออกรวมทั้งทดแทนเครื่องจักรเก่าและวัตถุดิบคงคลังที่เริ่มลดลง ส่วนกลุ่มสินค้าที่มีการนำเข้าลดลง ได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง (ร้อยละ 11.4) สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง (ร้อยละ 2.2)
สำหรับกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าการนำเข้าสูงในเดือนมิถุนายน 2549 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 95 ของการนำเข้ารวม มีดังนี้
2.1 สินค้าเชื้อเพลิง นำเข้ามูลค่า 2,115 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ลดลงร้อยละ 11.4 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 18.6 ของมูลค่านำเข้ารวมในเดือนมิถุนายน 2549 โดยเป็นการนำเข้าน้ำมันดิบปริมาณ 24.39 ล้านบาร์เรล (813,124 บาร์เรลต่อวัน) คิดเป็นมูลค่า 1,678 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ปริมาณนำเข้าลดลงร้อยละ 18.6 มูลค่าลดลงร้อยละ 15.3 (สัดส่วนร้อยละ 14.7 ของมูลค่านำเข้ารวม)
2.2 สินค้าทุน นำเข้ามูลค่า 3,094 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6
- เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 1,006 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 (สัดส่วนร้อยละ 8.8 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 853 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 2.4 (สัดส่วนร้อยละ 7.5 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 597 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.7 (สัดส่วนร้อยละ 5.2 ของมูลค่านำเข้ารวม)
2.3 สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป นำเข้ามูลค่า 4,839 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8
- อุปกรณ์ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ นำเข้ามูลค่า 899 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 (สัดส่วนร้อยละ 7.9 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เคมีภัณฑ์ นำเข้ามูลค่า 832 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.5 (สัดส่วนร้อยละ 7.3 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ นำเข้าปริมาณ 1.23 ล้านตัน เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 8.8 มีมูลค่านำเข้า 728 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 15.6 (สัดส่วน ร้อยละ 6.4 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- ทองคำ นำเข้าปริมาณ 8.5 ตัน เทียบกับเดือนเดียวของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 153.5 มีมูลค่านำเข้า 160 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 259.5 (สัดส่วนร้อยละ 1.4 ของมูลค่านำเข้ารวม)
2.4 สินค้าอุปโภคบริโภค นำเข้ามูลค่า 766 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.9
- เครื่องใช้เบ็ดเตล็ด นำเข้ามูลค่า 151 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.5 (สัดส่วนร้อยละ 1.3 ของมูลค่าการนำเข้ารวม)
- เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน นำเข้ามูลค่า 172 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.8 (สัดส่วนร้อยละ 1.5 ของมูลค่ารวม)
- เสื้อผ้า รองเท้าและผลิตภัณฑ์ สิ่งทออื่นๆ นำเข้ามูลค่า 33 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.9 (สัดส่วนร้อยละ 0.3 ของมูลค่ารวม)
การนำเข้าในระยะครึ่งปีแรกของปี 2549 (ม.ค.-มิ.ย.) มีมูลค่า 62,587 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 4.9 โดยกลุ่มสินค้าที่นำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง (ร้อยละ 16.7) สินค้าทุน (ร้อยละ 6.4) และสินค้าอุปโภคบริโภค (ร้อยละ 15.6) ส่วนกลุ่มสินค้าที่มีการนำเข้าลดลง ได้แก่ ยานพาหนะ และอุปกรณ์ขนส่ง (ร้อยละ 7.7) และ สินค้าวัตถุดิบ และกึ่งสำเร็จรูป (ร้อยละ 1.4)
3. ดุลการค้า
ดุลการค้าในเดือนมิถุนายน 2549 ไทยขาดดุลการค้า 427.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2548 ขาดดุลลดลงร้อยละ 75.7 ส่งผลให้ดุลการค้าในระยะ 6 เดือนแรกของปี 2549 ไทยขาดดุลการค้ารวม 2,029.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 73.7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีการขาดดุล 7,704.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
4. สรุปแนวโน้มการส่งออก การนำเข้า และดุลการค้า ปี 2549
แนวโน้มการส่งออก สภาหอการค้าระหว่างประเทศ (ICC) ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจหลักของโลกซึ่งเป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทย เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีน (29 มิถุนายน 2549) ยังคงขยายตัวแม้ว่าราคาน้ำมันจะสูงกว่า 65 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (ราคาเฉลี่ย ตลาดดูไบ โอมาน และมาเลเซีย กลางเดือนกรกฎาคม 2549 เท่ากับ 72.396 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล) ทำให้เศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งปีหลังยังคงขยายตัว และคาดว่าจะขยายตัวทั้งปี 2549 ในอัตราร้อยละ 5 รวมทั้งปริมาณการค้าโลกจะขยายตัวในอัตราร้อยละ 9.0 จึงคาดว่าการส่งออกของไทยน่าจะมีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ อย่างไรก็ตาม จากการประชุมหารือกับผู้ส่งออกสินค้าสำคัญล่าสุดเมื่อวันที่ 14-17 กรกฎาคมที่ผ่านมา ผู้ส่งออกยังคงมีความกังวลต่อสถานการณ์การส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปี 2549 โดยปัจจัยที่จะมีผลกระทบต่อการส่งออก ได้แก่ การปรับตัวสูงขึ้นของต้นทุนการผลิตและค่าขนส่งจากภาวะราคาน้ำมัน ราคาวัตถุดิบ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ค่าแรง และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น รวมทั้งความเสี่ยงจากความไม่มีเสถียรภาพของค่าเงินบาทต่อการกำหนดราคาขายและต้นทุนการผลิต
อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการยังเชื่อมั่นว่าจะสามารถส่งออกได้ตาม เป้าหมายหรือใกล้เคียง ได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และส่วนประกอบ สินค้าอาหารประเภทอาหารทะเลแช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ผัก ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ไก่แช่แข็งและแปรรูป ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ ผ้าผืน เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เภสัช ของเล่น และสินค้าเกษตรสำคัญ คือ ข้าว มันสำปะหลัง และ ยางพารา
แนวโน้มการนำเข้าและดุลการค้า การขาดดุลการค้าในระยะครึ่งปีแรกของปี 2549 มีมูลค่าทั้งสิ้น 2,029.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่ำกว่าระยะเดียวกันของปี 2548 เกือบ 4 เท่า หรือ ลดลงร้อยละ 73.7 (ครึ่งปีแรกของปี 2548 ขาดดุล 7,704.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ประกอบกับกระทรวงพาณิชย์มีการดูแลการนำเข้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนในการแจ้งแผนการนำเข้าปี 2549 เป็นรายเดือนรวม 6 กลุ่มสินค้า ได้แก่ น้ำมันดิบ เหล็ก ทองคำ คอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ มีมาตรการติดตามการนำเข้าสินค้าตามโครงการลงทุนขนาดใหญ่ และดูแลการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือย ทำให้เชื่อมั่นว่า การขาดดุลการค้าปี 2549 จะลดลงเมื่อเทียบกับปี 2548
อย่างไรก็ตาม การนำเข้าสินค้าสำคัญ เช่น น้ำมันดิบ ซึ่งราคาในตลาดโลกสูงขึ้นตามลำดับ จะเป็นตัวแปรสำคัญต่อดุลการค้า โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มีการนำเข้าน้ำมันดิบเฉลี่ยวันละ 829,205 บาร์เรล ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2548 ร้อยละ 15.06 แต่ยังคงสูงกว่าแผนการนำเข้าปี 2549 ร้อยละ 8.39 (765,000 บาร์เรลต่อวัน) จึงจำเป็นต้องมีมาตรการลดการใช้พลังงานอย่างจริงจังในทุกๆส่วนของประเทศ เพื่อลดการนำเข้าน้ำมันดิบซึ่งจะทำให้สถานการณ์การขาดดุลการค้าในช่วงครึ่งหลังของปี 2549 ดีขึ้น
สำหรับแนวโน้มการนำเข้าสินค้าอื่นๆ เช่น สินค้ากลุ่มคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ จะมีการขยายตัวค่อนข้างสูงเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตสินค้ากลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการส่งออก เช่นเดียวกับสินค้ากลุ่มเคมีภัณฑ์ที่มีแนวโน้มการนำเข้าเพิ่มขึ้นเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมสบู่และผงซักฟอก ผลิตภัณฑ์พลาสติก ยาและเภสัชกรรม ผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น ส่วนสินค้าสำคัญที่การนำเข้ามีแนวโน้มชะลอตัวลงได้แก่ เหล็ก และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) (รักษาการนายกรัฐมนตรี) วันที่ 1 สิงหาคม 2549--จบ--
1. การส่งออก
การส่งออกเดือนมิถุนายน 2549 มีมูลค่า 10,956.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.0 และนับเป็นการส่งออกที่สูงกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นครั้งที่สามของปี 2549 และมีมูลค่าการส่งออกสูงเป็นอันดับสองในรอบ 5 ปี การส่งออกยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยสินค้าเกษตรกรรม/อุตสาหกรรมการเกษตรขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.2 สินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.7 และสินค้าอื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 48.4
สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตรสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และสินค้าอาหาร (กุ้งแช่แข็งและแปรรูป อาหารกระป๋องและแปรรูป ผลไม้สด แช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ผักกระป๋องและแปรรูป และ ไก่แช่แข็งและแปรรูป) ส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 84.3, 33.5 และ 12.3 ตามลำดับ สินค้าสำคัญที่ส่งออกลดลง ได้แก่ ข้าว และน้ำตาล ขณะที่ราคาส่งออกยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ข้าว ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 21.6 และ 13.2 ตามลำดับ เนื่องจากราคาข้าวในประเทศสูงและต้องแข่งขันด้านราคากับคู่แข่งสำคัญคือเวียดนามและอินเดีย น้ำตาล ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 35.2 และ 6.5 ตามลำดับ เนื่องจากผลผลิตในประเทศลดลง
สินค้าอุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และส่วนประกอบ สิ่งทอ เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง วัสดุก่อสร้าง เครื่องเดินทางและเครื่องหนัง เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เภสัช และ ของเล่น สินค้าสำคัญที่ส่งออกลดลง ได้แก่ เฟอร์นิเจอร์ ลดลงร้อยละ 3.2 เนื่องจากปัญหาวัตถุดิบไม้ยางพาราขาดแคลนและมีราคาสูงขึ้น การขาดแคลนแรงงานในประเทศ การแข่งขันกับคู่แข่งคือ จีน และเวียดนาม และได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันค่าระวางเรือ รวมทั้งการแข็งค่าของเงินบาท และสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับส่งออกลดลงเป็นครั้งแรกในรอบปี ลดลงร้อยละ 10.6 โดยเป็นการลดลงของการส่งออกทองคำถึงร้อยละ 75.2 ทั้งนี้ หากไม่รวมการส่งออกทองคำ สินค้าอัญมณียังคงมีการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5
สินค้าอื่น ๆ ที่สำคัญและส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราสูงได้แก่ น้ำมันดิบ เคมีภัณฑ์ เลนส์ และน้ำมันเบนซินส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 522.6, 42.9, 37.8 และ 39.5 ตามลำดับ
การส่งออกในระยะครึ่งปีแรกของปี 2549 (ม.ค.-มิ.ย.) มีมูลค่า 60,558 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.6 คิดเป็นร้อยละ 46.5 ของเป้าหมายการส่งออก โดยเป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นในหมวดสินค้าเกษตรกรรม/อุตสาหกรรมการเกษตร ร้อยละ 15.8 สินค้าอุตสาหกรรม ร้อยละ 13.4 และสินค้าอื่น ๆ ร้อยละ 30.7
สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตรสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพารา มันสำปะหลัง และ สินค้าอาหาร (กุ้งแช่แข็งและแปรรูป อาหารกระป๋องและแปรรูป ผัก ผลไม้สด กระป๋องและแปรรูป ไก่แช่แข็งและแปรรูป) เพิ่มขึ้นร้อยละ 53.4 , 22.7 และ 11.0 ตามลำดับ สินค้าสำคัญที่ส่งออกลดลง ได้แก่ ข้าว และน้ำตาล มูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 11.5 และ 31.0 ตามลำดับ
สินค้าอุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอ อัญมณี เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก วัสดุก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องใช้เครื่องประดับตกแต่ง สิ่งพิมพ์และกระดาษ เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เภสัช และของเล่น สินค้าสำคัญที่ส่งออกลดลง ได้แก่ เครื่องเดินทาง เครื่องหนังและรองเท้า และเฟอร์นิเจอร์
สินค้าอื่นๆ ที่สำคัญและส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราสูงได้แก่ น้ำมันดิบ เคมีภัณฑ์ เลนส์ และน้ำมันเบนซิน
ตลาดส่งออกสำคัญ การส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะในตลาดใหม่ ซึ่งเพิ่มขึ้น ร้อยละ 26.6 ตลาดใหม่ที่ขยายตัวในอัตราสูง ได้แก่ ตะวันออกกลาง(ร้อยละ 41.4) ลาตินอเมริกา (ร้อยละ 37.7) ยุโรปตะวันออก (ร้อยละ 33.0) อินโดจีนและพม่า (ร้อยละ 29.0) ไต้หวัน (ร้อยละ 28.8) จีน (ร้อยละ 28.7) เกาหลีใต้ (ร้อยละ 27.9) ออสเตรเลีย (ร้อยละ 26.3) ฮ่องกง (ร้อยละ 24.1) และแคนาดา (ร้อยละ 23.4)
สำหรับการส่งออกไปตลาดหลักขยายตัวร้อยละ 10.2 โดยการส่งออกไปสหรัฐฯขยายตัวร้อยละ 18.3 สหภาพยุโรป (15) ร้อยละ 10.1 อาเซียน(5) ร้อยละ 7.6 และ ญี่ปุ่นร้อยละ 4.9
2. การนำเข้า
การนำเข้าในเดือนมิถุนายน 2549 มีมูลค่า 11,384.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนเพียงร้อยละ 3.0 โดยกลุ่มสินค้าที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ สินค้าทุน (ร้อยละ 4.6) สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ร้อยละ 7.8) และสินค้าอุปโภคบริโภค (ร้อยละ 13.9) ทั้งนี้ สินค้าทุนและสินค้าวัตถุดิบ/กึ่งสำเร็จรูป (สัดส่วนร้อยละ 69.7) ซึ่งเป็นสินค้าที่สัมพันธ์กับการส่งออกโดยตรงมีการนำเข้าขยายตัวเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มการส่งออกรวมทั้งทดแทนเครื่องจักรเก่าและวัตถุดิบคงคลังที่เริ่มลดลง ส่วนกลุ่มสินค้าที่มีการนำเข้าลดลง ได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง (ร้อยละ 11.4) สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง (ร้อยละ 2.2)
สำหรับกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าการนำเข้าสูงในเดือนมิถุนายน 2549 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 95 ของการนำเข้ารวม มีดังนี้
2.1 สินค้าเชื้อเพลิง นำเข้ามูลค่า 2,115 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ลดลงร้อยละ 11.4 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 18.6 ของมูลค่านำเข้ารวมในเดือนมิถุนายน 2549 โดยเป็นการนำเข้าน้ำมันดิบปริมาณ 24.39 ล้านบาร์เรล (813,124 บาร์เรลต่อวัน) คิดเป็นมูลค่า 1,678 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ปริมาณนำเข้าลดลงร้อยละ 18.6 มูลค่าลดลงร้อยละ 15.3 (สัดส่วนร้อยละ 14.7 ของมูลค่านำเข้ารวม)
2.2 สินค้าทุน นำเข้ามูลค่า 3,094 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6
- เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 1,006 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 (สัดส่วนร้อยละ 8.8 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 853 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 2.4 (สัดส่วนร้อยละ 7.5 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ นำเข้ามูลค่า 597 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.7 (สัดส่วนร้อยละ 5.2 ของมูลค่านำเข้ารวม)
2.3 สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป นำเข้ามูลค่า 4,839 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8
- อุปกรณ์ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ นำเข้ามูลค่า 899 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 (สัดส่วนร้อยละ 7.9 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เคมีภัณฑ์ นำเข้ามูลค่า 832 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับเดือนเดียวของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.5 (สัดส่วนร้อยละ 7.3 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ นำเข้าปริมาณ 1.23 ล้านตัน เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 8.8 มีมูลค่านำเข้า 728 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 15.6 (สัดส่วน ร้อยละ 6.4 ของมูลค่านำเข้ารวม)
- ทองคำ นำเข้าปริมาณ 8.5 ตัน เทียบกับเดือนเดียวของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 153.5 มีมูลค่านำเข้า 160 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 259.5 (สัดส่วนร้อยละ 1.4 ของมูลค่านำเข้ารวม)
2.4 สินค้าอุปโภคบริโภค นำเข้ามูลค่า 766 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.9
- เครื่องใช้เบ็ดเตล็ด นำเข้ามูลค่า 151 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.5 (สัดส่วนร้อยละ 1.3 ของมูลค่าการนำเข้ารวม)
- เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน นำเข้ามูลค่า 172 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.8 (สัดส่วนร้อยละ 1.5 ของมูลค่ารวม)
- เสื้อผ้า รองเท้าและผลิตภัณฑ์ สิ่งทออื่นๆ นำเข้ามูลค่า 33 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.9 (สัดส่วนร้อยละ 0.3 ของมูลค่ารวม)
การนำเข้าในระยะครึ่งปีแรกของปี 2549 (ม.ค.-มิ.ย.) มีมูลค่า 62,587 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 4.9 โดยกลุ่มสินค้าที่นำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง (ร้อยละ 16.7) สินค้าทุน (ร้อยละ 6.4) และสินค้าอุปโภคบริโภค (ร้อยละ 15.6) ส่วนกลุ่มสินค้าที่มีการนำเข้าลดลง ได้แก่ ยานพาหนะ และอุปกรณ์ขนส่ง (ร้อยละ 7.7) และ สินค้าวัตถุดิบ และกึ่งสำเร็จรูป (ร้อยละ 1.4)
3. ดุลการค้า
ดุลการค้าในเดือนมิถุนายน 2549 ไทยขาดดุลการค้า 427.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2548 ขาดดุลลดลงร้อยละ 75.7 ส่งผลให้ดุลการค้าในระยะ 6 เดือนแรกของปี 2549 ไทยขาดดุลการค้ารวม 2,029.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 73.7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีการขาดดุล 7,704.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
4. สรุปแนวโน้มการส่งออก การนำเข้า และดุลการค้า ปี 2549
แนวโน้มการส่งออก สภาหอการค้าระหว่างประเทศ (ICC) ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจหลักของโลกซึ่งเป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทย เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีน (29 มิถุนายน 2549) ยังคงขยายตัวแม้ว่าราคาน้ำมันจะสูงกว่า 65 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (ราคาเฉลี่ย ตลาดดูไบ โอมาน และมาเลเซีย กลางเดือนกรกฎาคม 2549 เท่ากับ 72.396 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล) ทำให้เศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งปีหลังยังคงขยายตัว และคาดว่าจะขยายตัวทั้งปี 2549 ในอัตราร้อยละ 5 รวมทั้งปริมาณการค้าโลกจะขยายตัวในอัตราร้อยละ 9.0 จึงคาดว่าการส่งออกของไทยน่าจะมีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ อย่างไรก็ตาม จากการประชุมหารือกับผู้ส่งออกสินค้าสำคัญล่าสุดเมื่อวันที่ 14-17 กรกฎาคมที่ผ่านมา ผู้ส่งออกยังคงมีความกังวลต่อสถานการณ์การส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปี 2549 โดยปัจจัยที่จะมีผลกระทบต่อการส่งออก ได้แก่ การปรับตัวสูงขึ้นของต้นทุนการผลิตและค่าขนส่งจากภาวะราคาน้ำมัน ราคาวัตถุดิบ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ค่าแรง และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น รวมทั้งความเสี่ยงจากความไม่มีเสถียรภาพของค่าเงินบาทต่อการกำหนดราคาขายและต้นทุนการผลิต
อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการยังเชื่อมั่นว่าจะสามารถส่งออกได้ตาม เป้าหมายหรือใกล้เคียง ได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และส่วนประกอบ สินค้าอาหารประเภทอาหารทะเลแช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ผัก ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ไก่แช่แข็งและแปรรูป ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ ผ้าผืน เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เภสัช ของเล่น และสินค้าเกษตรสำคัญ คือ ข้าว มันสำปะหลัง และ ยางพารา
แนวโน้มการนำเข้าและดุลการค้า การขาดดุลการค้าในระยะครึ่งปีแรกของปี 2549 มีมูลค่าทั้งสิ้น 2,029.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่ำกว่าระยะเดียวกันของปี 2548 เกือบ 4 เท่า หรือ ลดลงร้อยละ 73.7 (ครึ่งปีแรกของปี 2548 ขาดดุล 7,704.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ประกอบกับกระทรวงพาณิชย์มีการดูแลการนำเข้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนในการแจ้งแผนการนำเข้าปี 2549 เป็นรายเดือนรวม 6 กลุ่มสินค้า ได้แก่ น้ำมันดิบ เหล็ก ทองคำ คอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ มีมาตรการติดตามการนำเข้าสินค้าตามโครงการลงทุนขนาดใหญ่ และดูแลการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือย ทำให้เชื่อมั่นว่า การขาดดุลการค้าปี 2549 จะลดลงเมื่อเทียบกับปี 2548
อย่างไรก็ตาม การนำเข้าสินค้าสำคัญ เช่น น้ำมันดิบ ซึ่งราคาในตลาดโลกสูงขึ้นตามลำดับ จะเป็นตัวแปรสำคัญต่อดุลการค้า โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มีการนำเข้าน้ำมันดิบเฉลี่ยวันละ 829,205 บาร์เรล ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2548 ร้อยละ 15.06 แต่ยังคงสูงกว่าแผนการนำเข้าปี 2549 ร้อยละ 8.39 (765,000 บาร์เรลต่อวัน) จึงจำเป็นต้องมีมาตรการลดการใช้พลังงานอย่างจริงจังในทุกๆส่วนของประเทศ เพื่อลดการนำเข้าน้ำมันดิบซึ่งจะทำให้สถานการณ์การขาดดุลการค้าในช่วงครึ่งหลังของปี 2549 ดีขึ้น
สำหรับแนวโน้มการนำเข้าสินค้าอื่นๆ เช่น สินค้ากลุ่มคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ จะมีการขยายตัวค่อนข้างสูงเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตสินค้ากลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการส่งออก เช่นเดียวกับสินค้ากลุ่มเคมีภัณฑ์ที่มีแนวโน้มการนำเข้าเพิ่มขึ้นเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมสบู่และผงซักฟอก ผลิตภัณฑ์พลาสติก ยาและเภสัชกรรม ผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น ส่วนสินค้าสำคัญที่การนำเข้ามีแนวโน้มชะลอตัวลงได้แก่ เหล็ก และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) (รักษาการนายกรัฐมนตรี) วันที่ 1 สิงหาคม 2549--จบ--