คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการ รายงานผลการสำรวจนำร่อง เรื่อง ความคิดเห็นของประชาชนต่อการปฏิรูปการศึกษา สรุปสาระสำคัญดังนี้
การสำรวจความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสอบถาม จากผู้มาในงานวันเด็ก เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2549 ได้รับแบบสอบถาม มีจำนวนทั้งสิ้น 4,229 คน และนำมาศึกษาเพื่อสรุปประเด็นความคิดเห็นและความคาดหวังของประชาชน ในข้อ/หัวเรื่องต่าง ๆ มีดังนี้
- ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2542-2548) การศึกษามีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ และการเปลี่ยนแปลงดีขึ้นหรือไม่ ถ้าดีขึ้นดีในด้านใดบ้างเกี่ยวกับครู นักเรียน สถานศึกษา สื่อและอุปกรณ์การเรียนการสอน
เมื่อพิจารณาในภาพรวม พบว่า จากจำนวนผู้ตอบ 4,229 คน เห็นว่าการศึกษามีการเปลี่ยนแปลง มีจำนวน 3,181 คนหรือร้อยละ 75.2 โดยมีความเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นร้อยละ 55.6 และเปลี่ยนแปลงในทางที่ไม่ดีขึ้น ร้อยละ 19.6 และที่เห็นว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลง มีจำนวน 1,048 คนหรือร้อยละ 24.8 มีรายละเอียดดังนี้
1) การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
ผลของการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่เห็นว่าการพัฒนาการศึกษามีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น มีถึง ร้อยละ 55.6 โดยจำแนกเป็นด้านต่าง ๆ คือ
- ด้านครูอาจารย์ ผลจากการสำรวจ พบว่า ผู้ตอบเห็นว่าการพัฒนาการศึกษาได้ส่งผลในเรื่องเกี่ยวกับครูอาจารย์ โดยสรุปและจัดอันดับตามความคิดเห็นส่วนใหญ่ใน 5 อันดับ คือ อันดับแรก ครูมีการพัฒนาตนเอง ให้มีความรู้ที่หลากหลายและที่ทันสมัยเพื่อนำมาใช้ในการสอนมากขึ้น มีร้อยละ 30.5 อันดับที่สอง ครูให้ความสนใจ ในการดูแลเอาใจใส่และให้คำปรึกษากับนักเรียนมากขึ้น มีร้อยละ 14.9 อันดับที่สาม ครูมีความรู้และมีวุฒิการศึกษาเพิ่มขึ้น มีร้อยละ 9.3 อันดับที่สี่ ครูมีความกระตือรือร้นและตั้งใจที่จะให้ความรู้แก่นักเรียนเพิ่มขึ้น มีร้อยละ 7.0 และอันดับที่ห้า ครูมีการเตรียมความพร้อมก่อนการสอนและนำสื่อต่าง ๆ ที่ทันสมัยมาใช้ประกอบในการเรียนการสอนมีร้อยละ 5.3
- ด้านนักเรียน ผลจากการสำรวจ สรุปได้ว่า การพัฒนาการศึกษาได้ส่งผลในเรื่องเกี่ยวกับผู้เรียน โดยสรุปและจัดอันดับความคิดเห็นส่วนใหญ่ใน 5 อันดับ คือ อันดับแรก นักเรียนมีความกระตือรือร้นและตั้งใจเรียนเพิ่มมากขึ้น มีร้อยละ 20.1 อันดับที่สอง นักเรียนมีศักยภาพในการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น มีร้อยละ 16.7 อันดับที่สาม นักเรียนมีการใฝ่หาความรู้และค้นคว้าด้วยตนเองมากขึ้น มีร้อยละ 13.3 อันดับที่สี่ นักเรียนกล้าแสดงออก กล้าตอบคำถามและแสดงความคิดเห็น มีร้อยละ 11.3 และอันดับที่ห้า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้น ร้อยละ 7.5
- ด้านสถานศึกษา ผลจากการสำรวจ สรุปได้ว่า การพัฒนาการศึกษาได้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในเรื่องเกี่ยวกับสถานศึกษา โดยสรุปและจัดอันดับตามความคิดเห็นส่วนใหญ่ใน 5 อันดับ คือ อันดับแรก สถานศึกษามีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นในเรื่องของสถานที่จะมีความสะอาด และมีบรรยากาศที่ดี มีร้อยละ 30.7 อันดับที่สอง
มีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในการบริหารจัดการโรงเรียนมากขึ้น มีร้อยละ 16.4 อันดับที่สาม มีการพัฒนามาตรฐานทางวิชาการ หลักสูตร และสื่อการสอนมากขึ้น มีร้อยละ 13.6 อันดับที่สี่ สถานศึกษาขยายโอกาสให้เข้าเรียนได้มากขึ้น มีร้อยละ 6.7 และอันดับที่ห้า ส่งเสริมและพัฒนาขีดความสามารถของนักเรียน โดยการส่งผลงานทางวิชาการของนักเรียนเข้าแข่งขัน มีร้อยละ 5.0
- ด้านสื่อและอุปกรณ์การเรียนการสอน ผลจากการสำรวจ สรุปได้ว่า การพัฒนาการศึกษาในเรื่องเกี่ยวกับด้านหนังสือเรียน และอุปกรณ์การเรียนการสอน โดยสรุปและจัดอันดับตามความคิดเห็นส่วนใหญ่ใน 5 อันดับ คือ อันดับแรก มีการนำอุปกรณ์การเรียนการสอนที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีร้อยละ 76.4 อันดับที่สอง มีสื่อและอุปกรณ์การเรียนการสอน เช่น หนังสือ คอมพิวเตอร์ ได้อย่างเพียงพอมากขึ้น มีร้อยละ 13.2 อันดับที่สาม มีการพัฒนาเนื้อหาบทเรียนดีขึ้น มีร้อยละ 4.0 อันดับที่สี่ มีการพัฒนาสื่อและอุปกรณ์การเรียนการสอนให้เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน มีร้อยละ 2.2 และอันดับที่ห้า มีการกระจายหนังสือและอุปกรณ์ที่ทันสมัยไปยังสถานศึกษาในชนบทมีร้อยละ 1.9
2) การเปลี่ยนแปลงในทางที่ไม่ดีขึ้น
การแสดงความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการพัฒนาทางการศึกษา ในช่วง 7 ปีที่ผ่านหลังจากที่มีการปฏิรูปการศึกษา ผลจากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีความเห็นว่าการพัฒนาการศึกษาไม่ดีขึ้น มีร้อยละ 19.6 โดยสรุปและจัดอันดับตามความคิดเห็นส่วนใหญ่ที่เห็นว่าไม่ดีขึ้นใน 5 อันดับ คือ อันดับแรก ขาดความชัดเจนในการบริหารระดับกระทรวงและหน่วยงานระดับภูมิภาค ในด้านการวางแผนพัฒนาการศึกษา เช่น การถ่ายโอนสถานศึกษาไปให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีร้อยละ 20.3 อันดับที่สอง ผู้เรียนไม่มีการพัฒนาตนเองในการเรียนที่ดีขึ้น มีร้อยละ 9.9 อันดับที่สาม มีนักเรียนสนใจการเรียนน้อยลง เพราะมีสิ่งยั่วยุทางสังคมมากขึ้น มีร้อยละ 7.4 อันดับที่สี่ ระบบการเรียนการสอนที่เน้นให้เด็กเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ พบว่า เด็กยังไม่สามารถศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะขาดความรู้ความเข้าใจ มีร้อยละ 6.6 อันดับที่ห้า หลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนยังไม่ดีขึ้น มีร้อยละ 5.5
- ความคาดหวังอยากให้กระทรวงศึกษาธิการจัดการศึกษาให้เกิดผลอย่างไร (ทั้งด้านครู นักเรียน สถานศึกษา สื่อและอุปกรณ์การเรียนการสอน)
การสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับความคาดหวังของประชาชนที่ต้องการให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินงานในการบริหารจัดการและการพัฒนาการศึกษาให้มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพในด้านต่าง ๆ คือ ด้านที่เกี่ยวกับครู นักเรียน สถานศึกษา สื่อและอุปกรณ์การเรียนการสอน จากการตอบแบบสอบถามความคิดเห็นของประชาชนถึงความคาดหวัง ทั้งหมด 4,229 คน ได้ผลดังนี้
- ด้านครูอาจารย์ ผลจากการสำรวจ โดยสรุปและจัดอันดับตามความคิดเห็นส่วนใหญ่ใน 5 อันดับ คือ อันดับแรก อยากให้ครูดูแลเอาใจใส่นักเรียนทุกคนอย่างทั่วถึง ทั้งเด็กที่เรียนเก่งและไม่เก่ง มีร้อยละ 17.1 อันดับที่สอง ควรมีการพัฒนาครูให้มีจรรยาบรรณในวิชาชีพและมีจิตวิญญาณของความเป็นครู มีร้อยละ 16.7 อันดับที่สาม ครูควรฝึกฝนนักเรียนให้กล้าคิด กล้าตอบคำถาม กล้าแสดงออก และครูควรรับฟังความคิดเห็นของนักเรียน มีร้อยละ 11.3 อันดับที่สี่ การสอนของครูให้สอดแทรกความรู้ด้านคุณธรรมและจริยธรรมในวิชาที่สอน มีร้อยละ 9.9 และอันดับที่ห้า ส่งเสริมและพัฒนาครูให้มีความรู้ตรงกับวิชาที่สอน มีร้อยละ 7.2
- ด้านนักเรียน ผลจากการสำรวจ โดยสรุปและจัดอันดับตามความคิดเห็นส่วนใหญ่ใน 5 อันดับ คือ อันดับแรก ปลูกฝังจิตสำนึกให้นักเรียนมีคุณธรรมและจริยธรรม มีร้อยละ 23.5 อันดับที่สอง ให้นักเรียนได้เรียนรู้ค้นคว้าด้วยตนเองจากแหล่งเรียนรู้/ประสบการณ์จริงนอกห้องเรียน มีร้อยละ 15.4 อันดับที่สาม หลักสูตรมีเนื้อหาสาระที่นักเรียนสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้ มีร้อยละ 8.1 อันดับที่สี่ ส่งเสริมและสอนให้นักเรียนได้เรียนรู้การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยโดยเฉพาะการใช้คอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้น มีร้อยละ 7.7 และอันดับที่ห้า สอนให้นักเรียนได้ทดลองปฏิบัติและให้รู้จักคิดวิเคราะห์ มีร้อยละ 7.2
- ด้านสถานศึกษา ผลจากการสำรวจ โดยสรุปและจัดอันดับตามความคิดเห็นส่วนใหญ่ใน 5 อันดับ เกี่ยวกับโรงเรียน/สถานศึกษา คือ อันดับแรก ให้โรงเรียนมีมาตรฐานการเรียนการสอนที่มีคุณภาพใกล้เคียงกัน มีร้อยละ 31.0 อันดับที่สอง ให้สถานศึกษามีการปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้น ทั้งในเรื่องของความสะอาด มีสิ่งอำนวยความสะดวก มีความปลอดภัย และมีบรรยากาศน่าเรียน มีร้อยละ 19.2 อันดับที่สาม ให้มีคอมพิวเตอร์มากขึ้นโดยเฉพาะโรงเรียนขาดแคลนและโรงเรียนที่อยู่ในชนบทห่างไกล มีร้อยละ 7.9 อันดับที่สี่ ให้มีระเบียบควบคุมความประพฤติและการลงโทษครูและนักเรียนให้เข้มงวดมากกว่านี้ มีร้อยละ 6.1 และอันดับที่ห้า จัดให้มีเครือข่ายความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียน บ้าน และชุมชน มีร้อยละ 3.9
- ด้านสื่อและอุปกรณ์การเรียนการสอน ผลจากการสำรวจ สรุปได้ว่าความคาดหวังที่ประชาชนอยากเห็นการพัฒนาการศึกษาในเรื่องเกี่ยวกับด้านสื่อและอุปกรณ์การเรียนการสอน และจัดอันดับตามความคิดเห็นส่วนใหญ่ใน 5 อันดับ คือ อันดับแรก จัดให้มีสื่อและอุปกรณ์การเรียนการสอนที่เพียงพอ มีร้อยละ 36.4 อันดับที่สอง จัดให้มีหนังสือและอุปกรณ์การเรียนที่ทันสมัย เนื้อหาดี น่าสนใจ มีร้อยละ 35.8 อันดับที่สาม จัดสื่อการเรียนการสอนให้โรงเรียนที่ขาดแคลน มีร้อยละ 9.8 อันดับที่สี่ เพิ่มการจัดทำสื่อเทคโนโลยีทางการศึกษาให้มากขึ้น มีร้อยละ 7.0 และอันดับที่ห้า จัดให้มีหนังสือและสื่ออุปกรณ์ในห้องสมุดให้เพียงพอ มีร้อยละ 4.0
- ด้านอื่น ๆ ผลจากการสำรวจความคาดหวังที่ประชาชนอยากเห็นการพัฒนาการศึกษาเรื่องอื่น ๆ ในภาพรวม โดยสรุปและจัดอันดับตามความคิดเห็นส่วนใหญ่ใน 5 อันดับ คือ อันดับแรก ให้รัฐกระจายโอกาสทางการศึกษาให้ทั่วถึง มีร้อยละ 35.1 อันดับที่สอง จัดสรรให้ทุนการศึกษาอย่างยุติธรรม มีร้อยละ 13.08 อันดับที่สาม รัฐจัดเงินทุนเพื่อการกู้ยืมการศึกษาให้มากขึ้น มีร้อยละ 9.7 อันดับที่สี่ ส่งเสริมให้โอกาสนักเรียนในต่างจังหวัดได้เรียนภาษาอังกฤษมากขึ้น มีร้อยละ 9.2 และอันดับที่ห้า จัดทุนการศึกษาให้กับเด็กด้อยโอกาสและเด็กยากจนเพิ่มขึ้น มีร้อยละ 7.6
สรุปโดยรวมของการดำเนินงานโครงการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการพัฒนาการศึกษาในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2542-2548) เพื่อรวบรวมความคิดเห็นและความคาดหวังของประชาชนกับการดำเนินการพัฒนาการศึกษา โดยได้นำมาทำการวิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากแบบและนำเสนอความคิดที่สะท้อนให้เห็นสภาวะ การปฏิรูปการศึกษาเพื่อการพัฒนาการศึกษาที่เป็นจริง กับแนวคิดของประชาชนที่มีต่อการดำเนินการพัฒนาการศึกษาของประเทศภายใต้การปฏิรูปการศึกษา อย่างไรก็ตาม ผลที่ได้จากการสำรวจครั้งนี้ จะเห็นว่าประชาชนที่ตอบแบบสำรวจเรื่องดังกล่าว เป็นกลุ่มตัวอย่างที่ยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพราะเป็นการสำรวจที่ได้กลุ่มประชากรที่มาในงานวันเด็กที่ผ่านมา เมื่อวันเสาร์ที่ 14 มกราคม 2549 เท่านั้น
ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินงานโครงการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการพัฒนาการศึกษาในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2542-2548) ภายหลังที่มีการปฏิรูปการศึกษาของประเทศ มีข้อมูลที่ครอบคลุมความคิดของประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ดี สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการจึงได้กำหนดที่จะทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหาร ครูอาจารย์ นักเรียนจากโรงเรียน/สถานที่ และชุมชนที่เลือกเป็นกลุ่มตัวอย่างในทุกภาคของประเทศต่อไป ทั้งนี้ เพื่อให้ได้ความคิดเห็นของประชาชนต่อการพัฒนาการศึกษาที่มีความครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ เพื่อการนำผลไปใช้สนับสนุนการกำหนดทิศทางของนโยบายทางการศึกษา การวางแผนการศึกษา และการติดตามประเมินผลการดำเนินงานในด้าน การพัฒนาการศึกษา และการปฏิรูปการศึกษาของประเทศให้มีประสิทธิภาพต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2549--จบ--
การสำรวจความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสอบถาม จากผู้มาในงานวันเด็ก เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2549 ได้รับแบบสอบถาม มีจำนวนทั้งสิ้น 4,229 คน และนำมาศึกษาเพื่อสรุปประเด็นความคิดเห็นและความคาดหวังของประชาชน ในข้อ/หัวเรื่องต่าง ๆ มีดังนี้
- ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2542-2548) การศึกษามีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ และการเปลี่ยนแปลงดีขึ้นหรือไม่ ถ้าดีขึ้นดีในด้านใดบ้างเกี่ยวกับครู นักเรียน สถานศึกษา สื่อและอุปกรณ์การเรียนการสอน
เมื่อพิจารณาในภาพรวม พบว่า จากจำนวนผู้ตอบ 4,229 คน เห็นว่าการศึกษามีการเปลี่ยนแปลง มีจำนวน 3,181 คนหรือร้อยละ 75.2 โดยมีความเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นร้อยละ 55.6 และเปลี่ยนแปลงในทางที่ไม่ดีขึ้น ร้อยละ 19.6 และที่เห็นว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลง มีจำนวน 1,048 คนหรือร้อยละ 24.8 มีรายละเอียดดังนี้
1) การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
ผลของการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่เห็นว่าการพัฒนาการศึกษามีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น มีถึง ร้อยละ 55.6 โดยจำแนกเป็นด้านต่าง ๆ คือ
- ด้านครูอาจารย์ ผลจากการสำรวจ พบว่า ผู้ตอบเห็นว่าการพัฒนาการศึกษาได้ส่งผลในเรื่องเกี่ยวกับครูอาจารย์ โดยสรุปและจัดอันดับตามความคิดเห็นส่วนใหญ่ใน 5 อันดับ คือ อันดับแรก ครูมีการพัฒนาตนเอง ให้มีความรู้ที่หลากหลายและที่ทันสมัยเพื่อนำมาใช้ในการสอนมากขึ้น มีร้อยละ 30.5 อันดับที่สอง ครูให้ความสนใจ ในการดูแลเอาใจใส่และให้คำปรึกษากับนักเรียนมากขึ้น มีร้อยละ 14.9 อันดับที่สาม ครูมีความรู้และมีวุฒิการศึกษาเพิ่มขึ้น มีร้อยละ 9.3 อันดับที่สี่ ครูมีความกระตือรือร้นและตั้งใจที่จะให้ความรู้แก่นักเรียนเพิ่มขึ้น มีร้อยละ 7.0 และอันดับที่ห้า ครูมีการเตรียมความพร้อมก่อนการสอนและนำสื่อต่าง ๆ ที่ทันสมัยมาใช้ประกอบในการเรียนการสอนมีร้อยละ 5.3
- ด้านนักเรียน ผลจากการสำรวจ สรุปได้ว่า การพัฒนาการศึกษาได้ส่งผลในเรื่องเกี่ยวกับผู้เรียน โดยสรุปและจัดอันดับความคิดเห็นส่วนใหญ่ใน 5 อันดับ คือ อันดับแรก นักเรียนมีความกระตือรือร้นและตั้งใจเรียนเพิ่มมากขึ้น มีร้อยละ 20.1 อันดับที่สอง นักเรียนมีศักยภาพในการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น มีร้อยละ 16.7 อันดับที่สาม นักเรียนมีการใฝ่หาความรู้และค้นคว้าด้วยตนเองมากขึ้น มีร้อยละ 13.3 อันดับที่สี่ นักเรียนกล้าแสดงออก กล้าตอบคำถามและแสดงความคิดเห็น มีร้อยละ 11.3 และอันดับที่ห้า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้น ร้อยละ 7.5
- ด้านสถานศึกษา ผลจากการสำรวจ สรุปได้ว่า การพัฒนาการศึกษาได้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในเรื่องเกี่ยวกับสถานศึกษา โดยสรุปและจัดอันดับตามความคิดเห็นส่วนใหญ่ใน 5 อันดับ คือ อันดับแรก สถานศึกษามีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นในเรื่องของสถานที่จะมีความสะอาด และมีบรรยากาศที่ดี มีร้อยละ 30.7 อันดับที่สอง
มีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในการบริหารจัดการโรงเรียนมากขึ้น มีร้อยละ 16.4 อันดับที่สาม มีการพัฒนามาตรฐานทางวิชาการ หลักสูตร และสื่อการสอนมากขึ้น มีร้อยละ 13.6 อันดับที่สี่ สถานศึกษาขยายโอกาสให้เข้าเรียนได้มากขึ้น มีร้อยละ 6.7 และอันดับที่ห้า ส่งเสริมและพัฒนาขีดความสามารถของนักเรียน โดยการส่งผลงานทางวิชาการของนักเรียนเข้าแข่งขัน มีร้อยละ 5.0
- ด้านสื่อและอุปกรณ์การเรียนการสอน ผลจากการสำรวจ สรุปได้ว่า การพัฒนาการศึกษาในเรื่องเกี่ยวกับด้านหนังสือเรียน และอุปกรณ์การเรียนการสอน โดยสรุปและจัดอันดับตามความคิดเห็นส่วนใหญ่ใน 5 อันดับ คือ อันดับแรก มีการนำอุปกรณ์การเรียนการสอนที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีร้อยละ 76.4 อันดับที่สอง มีสื่อและอุปกรณ์การเรียนการสอน เช่น หนังสือ คอมพิวเตอร์ ได้อย่างเพียงพอมากขึ้น มีร้อยละ 13.2 อันดับที่สาม มีการพัฒนาเนื้อหาบทเรียนดีขึ้น มีร้อยละ 4.0 อันดับที่สี่ มีการพัฒนาสื่อและอุปกรณ์การเรียนการสอนให้เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน มีร้อยละ 2.2 และอันดับที่ห้า มีการกระจายหนังสือและอุปกรณ์ที่ทันสมัยไปยังสถานศึกษาในชนบทมีร้อยละ 1.9
2) การเปลี่ยนแปลงในทางที่ไม่ดีขึ้น
การแสดงความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการพัฒนาทางการศึกษา ในช่วง 7 ปีที่ผ่านหลังจากที่มีการปฏิรูปการศึกษา ผลจากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีความเห็นว่าการพัฒนาการศึกษาไม่ดีขึ้น มีร้อยละ 19.6 โดยสรุปและจัดอันดับตามความคิดเห็นส่วนใหญ่ที่เห็นว่าไม่ดีขึ้นใน 5 อันดับ คือ อันดับแรก ขาดความชัดเจนในการบริหารระดับกระทรวงและหน่วยงานระดับภูมิภาค ในด้านการวางแผนพัฒนาการศึกษา เช่น การถ่ายโอนสถานศึกษาไปให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีร้อยละ 20.3 อันดับที่สอง ผู้เรียนไม่มีการพัฒนาตนเองในการเรียนที่ดีขึ้น มีร้อยละ 9.9 อันดับที่สาม มีนักเรียนสนใจการเรียนน้อยลง เพราะมีสิ่งยั่วยุทางสังคมมากขึ้น มีร้อยละ 7.4 อันดับที่สี่ ระบบการเรียนการสอนที่เน้นให้เด็กเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ พบว่า เด็กยังไม่สามารถศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะขาดความรู้ความเข้าใจ มีร้อยละ 6.6 อันดับที่ห้า หลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนยังไม่ดีขึ้น มีร้อยละ 5.5
- ความคาดหวังอยากให้กระทรวงศึกษาธิการจัดการศึกษาให้เกิดผลอย่างไร (ทั้งด้านครู นักเรียน สถานศึกษา สื่อและอุปกรณ์การเรียนการสอน)
การสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับความคาดหวังของประชาชนที่ต้องการให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินงานในการบริหารจัดการและการพัฒนาการศึกษาให้มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพในด้านต่าง ๆ คือ ด้านที่เกี่ยวกับครู นักเรียน สถานศึกษา สื่อและอุปกรณ์การเรียนการสอน จากการตอบแบบสอบถามความคิดเห็นของประชาชนถึงความคาดหวัง ทั้งหมด 4,229 คน ได้ผลดังนี้
- ด้านครูอาจารย์ ผลจากการสำรวจ โดยสรุปและจัดอันดับตามความคิดเห็นส่วนใหญ่ใน 5 อันดับ คือ อันดับแรก อยากให้ครูดูแลเอาใจใส่นักเรียนทุกคนอย่างทั่วถึง ทั้งเด็กที่เรียนเก่งและไม่เก่ง มีร้อยละ 17.1 อันดับที่สอง ควรมีการพัฒนาครูให้มีจรรยาบรรณในวิชาชีพและมีจิตวิญญาณของความเป็นครู มีร้อยละ 16.7 อันดับที่สาม ครูควรฝึกฝนนักเรียนให้กล้าคิด กล้าตอบคำถาม กล้าแสดงออก และครูควรรับฟังความคิดเห็นของนักเรียน มีร้อยละ 11.3 อันดับที่สี่ การสอนของครูให้สอดแทรกความรู้ด้านคุณธรรมและจริยธรรมในวิชาที่สอน มีร้อยละ 9.9 และอันดับที่ห้า ส่งเสริมและพัฒนาครูให้มีความรู้ตรงกับวิชาที่สอน มีร้อยละ 7.2
- ด้านนักเรียน ผลจากการสำรวจ โดยสรุปและจัดอันดับตามความคิดเห็นส่วนใหญ่ใน 5 อันดับ คือ อันดับแรก ปลูกฝังจิตสำนึกให้นักเรียนมีคุณธรรมและจริยธรรม มีร้อยละ 23.5 อันดับที่สอง ให้นักเรียนได้เรียนรู้ค้นคว้าด้วยตนเองจากแหล่งเรียนรู้/ประสบการณ์จริงนอกห้องเรียน มีร้อยละ 15.4 อันดับที่สาม หลักสูตรมีเนื้อหาสาระที่นักเรียนสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้ มีร้อยละ 8.1 อันดับที่สี่ ส่งเสริมและสอนให้นักเรียนได้เรียนรู้การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยโดยเฉพาะการใช้คอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้น มีร้อยละ 7.7 และอันดับที่ห้า สอนให้นักเรียนได้ทดลองปฏิบัติและให้รู้จักคิดวิเคราะห์ มีร้อยละ 7.2
- ด้านสถานศึกษา ผลจากการสำรวจ โดยสรุปและจัดอันดับตามความคิดเห็นส่วนใหญ่ใน 5 อันดับ เกี่ยวกับโรงเรียน/สถานศึกษา คือ อันดับแรก ให้โรงเรียนมีมาตรฐานการเรียนการสอนที่มีคุณภาพใกล้เคียงกัน มีร้อยละ 31.0 อันดับที่สอง ให้สถานศึกษามีการปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้น ทั้งในเรื่องของความสะอาด มีสิ่งอำนวยความสะดวก มีความปลอดภัย และมีบรรยากาศน่าเรียน มีร้อยละ 19.2 อันดับที่สาม ให้มีคอมพิวเตอร์มากขึ้นโดยเฉพาะโรงเรียนขาดแคลนและโรงเรียนที่อยู่ในชนบทห่างไกล มีร้อยละ 7.9 อันดับที่สี่ ให้มีระเบียบควบคุมความประพฤติและการลงโทษครูและนักเรียนให้เข้มงวดมากกว่านี้ มีร้อยละ 6.1 และอันดับที่ห้า จัดให้มีเครือข่ายความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียน บ้าน และชุมชน มีร้อยละ 3.9
- ด้านสื่อและอุปกรณ์การเรียนการสอน ผลจากการสำรวจ สรุปได้ว่าความคาดหวังที่ประชาชนอยากเห็นการพัฒนาการศึกษาในเรื่องเกี่ยวกับด้านสื่อและอุปกรณ์การเรียนการสอน และจัดอันดับตามความคิดเห็นส่วนใหญ่ใน 5 อันดับ คือ อันดับแรก จัดให้มีสื่อและอุปกรณ์การเรียนการสอนที่เพียงพอ มีร้อยละ 36.4 อันดับที่สอง จัดให้มีหนังสือและอุปกรณ์การเรียนที่ทันสมัย เนื้อหาดี น่าสนใจ มีร้อยละ 35.8 อันดับที่สาม จัดสื่อการเรียนการสอนให้โรงเรียนที่ขาดแคลน มีร้อยละ 9.8 อันดับที่สี่ เพิ่มการจัดทำสื่อเทคโนโลยีทางการศึกษาให้มากขึ้น มีร้อยละ 7.0 และอันดับที่ห้า จัดให้มีหนังสือและสื่ออุปกรณ์ในห้องสมุดให้เพียงพอ มีร้อยละ 4.0
- ด้านอื่น ๆ ผลจากการสำรวจความคาดหวังที่ประชาชนอยากเห็นการพัฒนาการศึกษาเรื่องอื่น ๆ ในภาพรวม โดยสรุปและจัดอันดับตามความคิดเห็นส่วนใหญ่ใน 5 อันดับ คือ อันดับแรก ให้รัฐกระจายโอกาสทางการศึกษาให้ทั่วถึง มีร้อยละ 35.1 อันดับที่สอง จัดสรรให้ทุนการศึกษาอย่างยุติธรรม มีร้อยละ 13.08 อันดับที่สาม รัฐจัดเงินทุนเพื่อการกู้ยืมการศึกษาให้มากขึ้น มีร้อยละ 9.7 อันดับที่สี่ ส่งเสริมให้โอกาสนักเรียนในต่างจังหวัดได้เรียนภาษาอังกฤษมากขึ้น มีร้อยละ 9.2 และอันดับที่ห้า จัดทุนการศึกษาให้กับเด็กด้อยโอกาสและเด็กยากจนเพิ่มขึ้น มีร้อยละ 7.6
สรุปโดยรวมของการดำเนินงานโครงการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการพัฒนาการศึกษาในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2542-2548) เพื่อรวบรวมความคิดเห็นและความคาดหวังของประชาชนกับการดำเนินการพัฒนาการศึกษา โดยได้นำมาทำการวิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากแบบและนำเสนอความคิดที่สะท้อนให้เห็นสภาวะ การปฏิรูปการศึกษาเพื่อการพัฒนาการศึกษาที่เป็นจริง กับแนวคิดของประชาชนที่มีต่อการดำเนินการพัฒนาการศึกษาของประเทศภายใต้การปฏิรูปการศึกษา อย่างไรก็ตาม ผลที่ได้จากการสำรวจครั้งนี้ จะเห็นว่าประชาชนที่ตอบแบบสำรวจเรื่องดังกล่าว เป็นกลุ่มตัวอย่างที่ยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพราะเป็นการสำรวจที่ได้กลุ่มประชากรที่มาในงานวันเด็กที่ผ่านมา เมื่อวันเสาร์ที่ 14 มกราคม 2549 เท่านั้น
ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินงานโครงการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการพัฒนาการศึกษาในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2542-2548) ภายหลังที่มีการปฏิรูปการศึกษาของประเทศ มีข้อมูลที่ครอบคลุมความคิดของประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ดี สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการจึงได้กำหนดที่จะทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหาร ครูอาจารย์ นักเรียนจากโรงเรียน/สถานที่ และชุมชนที่เลือกเป็นกลุ่มตัวอย่างในทุกภาคของประเทศต่อไป ทั้งนี้ เพื่อให้ได้ความคิดเห็นของประชาชนต่อการพัฒนาการศึกษาที่มีความครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ เพื่อการนำผลไปใช้สนับสนุนการกำหนดทิศทางของนโยบายทางการศึกษา การวางแผนการศึกษา และการติดตามประเมินผลการดำเนินงานในด้าน การพัฒนาการศึกษา และการปฏิรูปการศึกษาของประเทศให้มีประสิทธิภาพต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2549--จบ--