คณะรัฐมนตรีเห็นชอบต่อร่างความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับหนังสือเดินทางทูต หนังสือเดินทางราชการ และหนังสือเดินทางพิเศษ ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งยูเครน โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถเปลี่ยนแปลงถ้อยคำในส่วนที่ไม่กระทบต่อสาระสำคัญของความตกลงฯ ได้ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมอบหมายเป็นผู้ลงนามในความตกลงฯ ดังกล่าว
ร่างความตกลงดังกล่าวมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. คนชาติของภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ถือหนังสือเดินทางทูตหรือหนังสือเดินทางราชการที่มีอายุใช้ได้จะได้รับการยกเว้นจากการตรวจลงตราในการเดินทางเข้า เดินทางออก เดินทางผ่าน และพำนักอยู่ในดินแดนอยู่ใน
อีกประเทศหนึ่งเป็นระยะเวลาไม่เกินเก้าสิบวัน โดยมีเงื่อนไขว่าบุคคลเหล่านั้นจะไม่ทำงานในอีกประเทศหนึ่ง
2. คนชาติของภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นบุคคลในคณะผู้แทนทางการทูตหรือทางกงสุล หรือเป็นผู้แทนถาวรประจำองค์การระหว่างประเทศในอีกประเทศหนึ่ง และสมาชิกในครอบครัวที่ถือหนังสือเดินทางทูตหรือราชการที่มีอายุใช้ได้ จะได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าและพำนักอยู่ในอีกประเทศหนึ่งได้ไม่เกินเก้าสิบวันโดยไม่ต้องรับการตรวจลงตรา ระยะเวลาพำนักจะได้รับการขยายไปจนสิ้นสุดวาระการปฏิบัติหน้าที่โดยกระทรวงการต่างประเทศหรือสถานเอกอัครราชทูตของประเทศผู้ส่งร้องขอ
3. คนชาติของรัฐภาคีของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราดังกล่าวอาจเดินทางเข้าเดินทางผ่าน หรือเดินทางออกจากดินแดนของรัฐภาคี ณ ด่านที่เปิดสำหรับการสัญจรระหว่างประเทศใด ๆ โดยมีเงื่อนไขว่า บุคคลเหล่านั้นจะต้องเคารพกฎหมายและข้อบังคับของอีกประเทศหนึ่ง โดยเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของคู่ภาคีแต่ละฝ่ายสงวนสิทธิที่จะปฏิเสธการเดินทางเข้าหรือทำให้การพำนักสั้นลง หรือยกเลิกการพำนักของบุคคลใด ๆ ที่ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราภายใต้ความตกลงนี้ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ สาธารณสุข หรือความสงบเรียบร้อย
4. ความตกลงนี้จะไม่ยกเว้นคนชาติของภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจากพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับของภาคีอีกฝ่ายหนึ่งเมื่อเดินทางเข้าหรือพำนักอยู่ในดินแดนของภาคีฝ่ายนั้น
5. ความตกลงนี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเวลาหกสิบวันนับจากวันที่ได้รับหนังสือฉบับหลัง ซึ่งคู่ภาคีแจ้งแก่กันว่าได้ดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายภายในที่จำเป็นต่อการบังคับใช้ความตกลงนี้เสร็จสิ้นแล้ว และความตกลงนี้จะมีผลบังคับเป็นระยะเวลาห้าปี หลังจากนั้นจะได้รับการขยายเวลาออกไปเป็นคราว ๆ คราวละห้าปีโดยอัตโนมัติ เว้นแต่ภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกเลิกความตกลงโดยแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้าเก้าสิบวันแก่ภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 3 เมษายน 2550--จบ--
ร่างความตกลงดังกล่าวมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. คนชาติของภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ถือหนังสือเดินทางทูตหรือหนังสือเดินทางราชการที่มีอายุใช้ได้จะได้รับการยกเว้นจากการตรวจลงตราในการเดินทางเข้า เดินทางออก เดินทางผ่าน และพำนักอยู่ในดินแดนอยู่ใน
อีกประเทศหนึ่งเป็นระยะเวลาไม่เกินเก้าสิบวัน โดยมีเงื่อนไขว่าบุคคลเหล่านั้นจะไม่ทำงานในอีกประเทศหนึ่ง
2. คนชาติของภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นบุคคลในคณะผู้แทนทางการทูตหรือทางกงสุล หรือเป็นผู้แทนถาวรประจำองค์การระหว่างประเทศในอีกประเทศหนึ่ง และสมาชิกในครอบครัวที่ถือหนังสือเดินทางทูตหรือราชการที่มีอายุใช้ได้ จะได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าและพำนักอยู่ในอีกประเทศหนึ่งได้ไม่เกินเก้าสิบวันโดยไม่ต้องรับการตรวจลงตรา ระยะเวลาพำนักจะได้รับการขยายไปจนสิ้นสุดวาระการปฏิบัติหน้าที่โดยกระทรวงการต่างประเทศหรือสถานเอกอัครราชทูตของประเทศผู้ส่งร้องขอ
3. คนชาติของรัฐภาคีของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราดังกล่าวอาจเดินทางเข้าเดินทางผ่าน หรือเดินทางออกจากดินแดนของรัฐภาคี ณ ด่านที่เปิดสำหรับการสัญจรระหว่างประเทศใด ๆ โดยมีเงื่อนไขว่า บุคคลเหล่านั้นจะต้องเคารพกฎหมายและข้อบังคับของอีกประเทศหนึ่ง โดยเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของคู่ภาคีแต่ละฝ่ายสงวนสิทธิที่จะปฏิเสธการเดินทางเข้าหรือทำให้การพำนักสั้นลง หรือยกเลิกการพำนักของบุคคลใด ๆ ที่ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราภายใต้ความตกลงนี้ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ สาธารณสุข หรือความสงบเรียบร้อย
4. ความตกลงนี้จะไม่ยกเว้นคนชาติของภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจากพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับของภาคีอีกฝ่ายหนึ่งเมื่อเดินทางเข้าหรือพำนักอยู่ในดินแดนของภาคีฝ่ายนั้น
5. ความตกลงนี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเวลาหกสิบวันนับจากวันที่ได้รับหนังสือฉบับหลัง ซึ่งคู่ภาคีแจ้งแก่กันว่าได้ดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายภายในที่จำเป็นต่อการบังคับใช้ความตกลงนี้เสร็จสิ้นแล้ว และความตกลงนี้จะมีผลบังคับเป็นระยะเวลาห้าปี หลังจากนั้นจะได้รับการขยายเวลาออกไปเป็นคราว ๆ คราวละห้าปีโดยอัตโนมัติ เว้นแต่ภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกเลิกความตกลงโดยแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้าเก้าสิบวันแก่ภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 3 เมษายน 2550--จบ--