คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอให้มีการนำข้าวสำรองฉุกเฉินของอาเซียน จำนวน 15,000 เมตริกตัน ที่ประเทศไทยประกาศสำรองไว้ภายใต้ข้อตกลงเรื่องการสำรองอาหารเพื่อความมั่นคงแห่งภูมิภาคอาเซียน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2523 มาใช้ในโครงการนำร่องเพื่อระบบสำรองข้าวในเอเชียตะวันออก และให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการในเรื่องการบริหารจัดการสำรองข้าว ตามแนวทางการสำรองและระบายข้าวเพื่อยามฉุกเฉินภายใต้ระบบสัญญา (Earmarked Reserve) ของโครงการนำร่องเพื่อระบบสำรองข้าวในเอเชียตะวันออก
แผนการระบายข้าวฉุกเฉินภายใต้ความตกลงว่าด้วยการสำรองอาหารเพื่อความมั่นคงแห่งภูมิภาคอาเซียนของประเทศไทย มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. ระบบการสำรองข้าวของโครงการนำร่องฯ
ระบบการสำรองจะมีทั้งรูปแบบสัญญา (Earmarked Reserve) และรูปแบบการสำรองจริง (Physical Stock) และแบ่งระบบการสำรองออกเป็น 3 ระดับ (Tier) ดังนี้
1.1 ระดับที่ 1 และระดับที่ 2 เป็นการสำรองข้าวในรูปแบบสัญญา (Earmarked Reserve) โดยระดับที่ 1 เป็นการนำข้าวที่สำรองออกมาใช้ได้ในยามฉุกเฉินตามเงื่อนไขการค้าขายเชิงพาณิชย์ และระดับที่ 2 เป็นการนำข้าวออกมาใช้เมื่อเกิดภัยพิบัติหรือสถานการณ์ฉุกเฉินตามเงื่อนไขที่ผ่อนปรนกว่าระดับที่ 1 ในลักษณะ Soft Loan หรือการให้เปล่า (Grant) ทั้งนี้ รูปแบบการส่งมอบสินค้า ราคา และการชำระเงินให้ขึ้นอยู่กับการเจรจาระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องเป็นสำคัญ
1.2 ระดับที่ 3 เป็นการสำรองข้าวในรูปแบบการสำรองจริง (Physical Stock) ที่ให้นำออกใช้ได้ ตามเงื่อนไขเพื่อระงับความยากจนและหิวโหยในลักษณะของการบริจาคเป็นข้าวหรือในรูปของเงินก็ได้ และหากข้าวที่เก็บสำรองไว้ในกรณีนี้ไม่ได้มีการนำออกมาใช้ภายใน 1 ปี จะต้องนำออกไปบริจาคภายใต้โครงการบรรเทาความยากจนภายในประเทศสมาชิกผู้ถือข้าวสำรองไว้ หรือให้ประเทศสมาชิกอื่น ๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือ
2. การสำรองข้าวของประเทศไทย
ประเทศไทยจะสำรองข้าวตามข้อผูกพัน จำนวน 15,000 เมตริกตัน และพร้อมที่จะส่งข้าวให้ประเทศสมาชิกอื่น ๆ ที่ต้องการข้าวในยามฉุกเฉินตลอดเวลา และหากกรณีที่รัฐบาลไทยไม่มีข้าวในสต๊อกจะซื้อข้าวจากภาคเอกชนส่งมอบให้ ชนิดข้าวที่สำรองจะเป็นข้าวที่ผลิตในประเทศไทยและใช้บริโภคกันในประเทศสมาชิก
3. ขั้นตอนการระบายข้าวของประเทศไทย
3.1 การร้องขอข้าวที่สำรองไว้ เมื่อประเทศสมาชิกประเทศใดประเทศหนึ่งประสบภาวการณ์ขาดแคลนข้าวอย่างฉุกเฉิน ประเทศนั้นจะแจ้งเรื่องความต้องการข้าวอย่างกะทันหัน ปริมาณและชนิดข้าวที่ต้องการผ่านทางคณะบริหารโครงการนำร่องฯ (Management Team) เพื่อแจ้งให้กรมการค้าต่างประเทศในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการเจรจาซื้อขายข้าวในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาลทราบ
3.2 การส่งมอบข้าว กรมการค้าต่างประเทศจะรีบดำเนินการส่งมอบข้าวตามปริมาณและชนิดข้าวที่ประเทศสมาชิกร้องขอมาอย่างรวดเร็วแต่ในปริมาณไม่เกิน 15,000 เมตริกตัน โดยมีวิธีปฏิบัติ ดังนี้
3.2.1 การจัดหาข้าว กรมการค้าต่างประเทศจะดำเนินการจัดเตรียมปริมาณและชนิดข้าวตามที่ร้องขอมาเพื่อให้สามารถขนถ่ายข้าวลงเรือได้ทันที
3.2.2 การขนถ่ายข้าวลงเรือ การจัดหาเรือเพื่อขนถ่ายข้าวให้ขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างประเทศผู้ร้องขอกับประเทศผู้ส่งมอบ โดยต้องใช้ระยะเวลาในการจัดหาเรือและการส่งมอบแต่ละครั้งระหว่าง 15-30 วัน หากประเทศผู้ร้องขอสามารถส่งเรือมารับข้าวได้จะเป็นการลดขั้นตอนการทำงานของประเทศผู้ส่งมอบและทำให้การส่งมอบสะดวกรวดเร็วขึ้น
3.2.3 ราคาข้าว ให้ขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรองระหว่างประเทศผู้ร้องขอกับประเทศผู้ส่งมอบเป็นสำคัญ โดยใช้ราคาข้าวของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย (BOT) เฉลี่ย 30 วันย้อนหลังเป็นเกณฑ์ในการเจรจาและอาจลดราคาให้ได้บ้างตามความเหมาะสม เนื่องจากเป็นข้าวที่ต้องการใช้ในภาวะฉุกเฉิน
3.2.4 การชำระเงินค่าข้าว เพื่อเป็นการให้ความช่วยเหลือประเทศที่ต้องประสบกับภาวการณ์ขาดแคลนข้าวอย่างกะทันหันและความเชื่อถือระหว่างประเทศสมาชิก อาจพิจารณาดำเนินการส่งมอบข้าวให้ก่อน ส่วนการชำระเงินแล้วแต่จะตกลงกัน
3.2.5 การเติมข้าวทดแทน เมื่อระบายข้าวออกจากสต๊อกแล้วจะเติมข้าวให้เต็มเท่ากับปริมาณที่ผูกพันไว้ทันทีที่ได้รับชำระค่าข้าว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 22 พฤษภาคม 2550--จบ--
แผนการระบายข้าวฉุกเฉินภายใต้ความตกลงว่าด้วยการสำรองอาหารเพื่อความมั่นคงแห่งภูมิภาคอาเซียนของประเทศไทย มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. ระบบการสำรองข้าวของโครงการนำร่องฯ
ระบบการสำรองจะมีทั้งรูปแบบสัญญา (Earmarked Reserve) และรูปแบบการสำรองจริง (Physical Stock) และแบ่งระบบการสำรองออกเป็น 3 ระดับ (Tier) ดังนี้
1.1 ระดับที่ 1 และระดับที่ 2 เป็นการสำรองข้าวในรูปแบบสัญญา (Earmarked Reserve) โดยระดับที่ 1 เป็นการนำข้าวที่สำรองออกมาใช้ได้ในยามฉุกเฉินตามเงื่อนไขการค้าขายเชิงพาณิชย์ และระดับที่ 2 เป็นการนำข้าวออกมาใช้เมื่อเกิดภัยพิบัติหรือสถานการณ์ฉุกเฉินตามเงื่อนไขที่ผ่อนปรนกว่าระดับที่ 1 ในลักษณะ Soft Loan หรือการให้เปล่า (Grant) ทั้งนี้ รูปแบบการส่งมอบสินค้า ราคา และการชำระเงินให้ขึ้นอยู่กับการเจรจาระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องเป็นสำคัญ
1.2 ระดับที่ 3 เป็นการสำรองข้าวในรูปแบบการสำรองจริง (Physical Stock) ที่ให้นำออกใช้ได้ ตามเงื่อนไขเพื่อระงับความยากจนและหิวโหยในลักษณะของการบริจาคเป็นข้าวหรือในรูปของเงินก็ได้ และหากข้าวที่เก็บสำรองไว้ในกรณีนี้ไม่ได้มีการนำออกมาใช้ภายใน 1 ปี จะต้องนำออกไปบริจาคภายใต้โครงการบรรเทาความยากจนภายในประเทศสมาชิกผู้ถือข้าวสำรองไว้ หรือให้ประเทศสมาชิกอื่น ๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือ
2. การสำรองข้าวของประเทศไทย
ประเทศไทยจะสำรองข้าวตามข้อผูกพัน จำนวน 15,000 เมตริกตัน และพร้อมที่จะส่งข้าวให้ประเทศสมาชิกอื่น ๆ ที่ต้องการข้าวในยามฉุกเฉินตลอดเวลา และหากกรณีที่รัฐบาลไทยไม่มีข้าวในสต๊อกจะซื้อข้าวจากภาคเอกชนส่งมอบให้ ชนิดข้าวที่สำรองจะเป็นข้าวที่ผลิตในประเทศไทยและใช้บริโภคกันในประเทศสมาชิก
3. ขั้นตอนการระบายข้าวของประเทศไทย
3.1 การร้องขอข้าวที่สำรองไว้ เมื่อประเทศสมาชิกประเทศใดประเทศหนึ่งประสบภาวการณ์ขาดแคลนข้าวอย่างฉุกเฉิน ประเทศนั้นจะแจ้งเรื่องความต้องการข้าวอย่างกะทันหัน ปริมาณและชนิดข้าวที่ต้องการผ่านทางคณะบริหารโครงการนำร่องฯ (Management Team) เพื่อแจ้งให้กรมการค้าต่างประเทศในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการเจรจาซื้อขายข้าวในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาลทราบ
3.2 การส่งมอบข้าว กรมการค้าต่างประเทศจะรีบดำเนินการส่งมอบข้าวตามปริมาณและชนิดข้าวที่ประเทศสมาชิกร้องขอมาอย่างรวดเร็วแต่ในปริมาณไม่เกิน 15,000 เมตริกตัน โดยมีวิธีปฏิบัติ ดังนี้
3.2.1 การจัดหาข้าว กรมการค้าต่างประเทศจะดำเนินการจัดเตรียมปริมาณและชนิดข้าวตามที่ร้องขอมาเพื่อให้สามารถขนถ่ายข้าวลงเรือได้ทันที
3.2.2 การขนถ่ายข้าวลงเรือ การจัดหาเรือเพื่อขนถ่ายข้าวให้ขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างประเทศผู้ร้องขอกับประเทศผู้ส่งมอบ โดยต้องใช้ระยะเวลาในการจัดหาเรือและการส่งมอบแต่ละครั้งระหว่าง 15-30 วัน หากประเทศผู้ร้องขอสามารถส่งเรือมารับข้าวได้จะเป็นการลดขั้นตอนการทำงานของประเทศผู้ส่งมอบและทำให้การส่งมอบสะดวกรวดเร็วขึ้น
3.2.3 ราคาข้าว ให้ขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรองระหว่างประเทศผู้ร้องขอกับประเทศผู้ส่งมอบเป็นสำคัญ โดยใช้ราคาข้าวของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย (BOT) เฉลี่ย 30 วันย้อนหลังเป็นเกณฑ์ในการเจรจาและอาจลดราคาให้ได้บ้างตามความเหมาะสม เนื่องจากเป็นข้าวที่ต้องการใช้ในภาวะฉุกเฉิน
3.2.4 การชำระเงินค่าข้าว เพื่อเป็นการให้ความช่วยเหลือประเทศที่ต้องประสบกับภาวการณ์ขาดแคลนข้าวอย่างกะทันหันและความเชื่อถือระหว่างประเทศสมาชิก อาจพิจารณาดำเนินการส่งมอบข้าวให้ก่อน ส่วนการชำระเงินแล้วแต่จะตกลงกัน
3.2.5 การเติมข้าวทดแทน เมื่อระบายข้าวออกจากสต๊อกแล้วจะเติมข้าวให้เต็มเท่ากับปริมาณที่ผูกพันไว้ทันทีที่ได้รับชำระค่าข้าว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 22 พฤษภาคม 2550--จบ--