คณะรัฐมนตรีรับทราบการรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2550 และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2550 ไตรมาสที่ 2 ตามที่กระทรวงการคลังดังนี้
1. สถานะหนี้สาธารณะของประเทศ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2550 หนี้สาธารณะคงค้างของประเทศ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2550 มีจำนวนทั้งสิ้น 3,214.87 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 38.10 ของ GDP ประกอบด้วย หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 2,056.33 พันล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 888.58 พันล้านบาท หนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 224.24 พันล้านบาท และหนี้องค์กรของรัฐอื่น 45.72 พันล้านบาท
เมื่อเปรียบเทียบกับต้นปีงบประมาณ 2550 หนี้สาธารณะคงค้างเพิ่มขึ้น 1.58 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.05 โดยหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรงเพิ่มขึ้น 86.12 พันล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินลดลง 19.30 พันล้านบาท หนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟู ฯ ลดลง 41.24 พันล้านบาท และหนี้องค์กรของรัฐอื่นลดลง 24.00 พันล้านบาท ทั้งนี้
การเพิ่มขึ้นของหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง เกิดจากการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณการกู้เงินเพื่อชดใช้ความเสียหายให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ และการกู้เงินในประเทศเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ต่างประเทศ ส่วนการลดลงของหนี้ในรายการอื่น ๆ เกิดจากการชำระหนี้ และการเบิกจ่ายเงินกู้ต่ำกว่าการชำระหนี้
2. ภาพรวมของผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ในไตรมาสที่ 2 กระทรวงการคลังสามารถดำเนินงานตามแผนฯ ได้ทั้งสิ้น 231,931.77 ล้านบาท ประกอบด้วยการก่อหนี้ใหม่ของรัฐบาลเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 105,260 ล้านบาท การบริหารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศของรัฐบาล ได้แก่ การ Roll-over ตั๋วเงินคลัง การบริหารเงินกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายให้ FIDF การ Refinance และชำระคืนเงินกู้ ADB และ IBRD และการซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าเพื่อบริหารหนี้ FRNs จำนวน 103,741.77 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นการบริหารหนี้และการก่อหนี้ใหม่ของรัฐวิสาหกิจจำนวน 22,930 ล้านบาท ซึ่งการดำเนินงานดังกล่าวทำให้สามารถลดยอดหนี้คงค้างลง จำนวน 3,191.30 ล้านบาท ลดภาระดอกเบี้ยได้ 60 ล้านบาท และประหยัดดอกเบี้ยได้ 27 ล้านบาท
เมื่อรวมกับผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 ทำให้ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 กระทรวงการคลังสามารถดำเนินงานตามแผนฯ ได้ทั้งสิ้น 359,450.70 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 36.43 ของแผนฯ การดำเนินงานตามแผนฯ ทั้งหมดนี้ ทำให้สามารถลดยอดหนี้คงค้างลงจำนวน 23,557.30 ล้านบาท ลดภาระดอกเบี้ยได้ 565 ล้านบาท และประหยัดดอกเบี้ยได้ 332 ล้านบาท
นอกจากนี้ผลการดำเนินงานตามแผนฯ ที่กล่าวมาแล้ว ในไตรมาสที่ 2 ยังมีรัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นบริษัทมหาชน จำกัด ซึ่งได้รับยกเว้นให้ไม่ต้องอยู่ภายใต้กรอบเพดานเงินกู้ของแผนการบริหารหนี้สาธารณะได้ดำเนินการกู้เงินในประเทศอีกจำนวน 12,000 ล้านบาท และมีรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินการกู้เงินระยะสั้นเพื่อเสริมสภาพคล่องในรูป) Credit Line จำนวน 3,800 ล้านบาท
3. รายละเอียดของผลการดำเนินงาน
3.1 การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ กระทรวงการคลังดำเนินการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณโดยออกพันธบัตรรัฐบาล จำนวน 3 รุ่น วงเงินรวม 75,260 ล้านบาท ประกอบด้วย พันธบัตรรัฐบาลอายุ 7,10 และ 12 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5.25, 5.00 และ 5.625 ต่อปี ตามลำดับ และออกตั๋วสัญญาใช้เงินกับธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย และธนาคารพาณิชย์ วงเงินรวม 30,000 ล้านบาท อายุ 3-5 ปี อัตราดอกเบี้ยอยู่ระหว่างร้อยละ 4.38-4.51 ต่อปี
3.2 การ Roll-over ตั๋วเงินคลัง และการแปลงตั๋วเงินคลังเป็นพันธบัตรรัฐบาล กระทรวงการคลังออกตั๋วเงินคลังเพื่อใช้ในการบริหารเงินสด เพื่อรองรับการทำธุรกรรมการใช้จ่ายของรัฐบาลซึ่ง ณ สิ้นปีงบประมาณ 2549 มียอดวงเงินตั๋วเงินคลังหมุนเวียนในตลาดจำนวน 250,000 ล้านบาท ภายใต้กรอบวงเงินดังกล่าวได้รวมการกู้เงินในรูปตั๋วเงินคลังเพื่อชดเชยการขาดดุลซึ่งสะสมมาในช่วงปี 2542 — 2547 จำนวน 170,000 ล้านบาทด้วย กระทรวงการคลังจึงมีแผนที่จะปรับโครงสร้างตั๋วเงินคลังเพื่อชดเชยการขาดดุลให้เป็นพันธบัตรระยะยาว โดยจะทยอยดำเนินการตามความเหมาะสมให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ 2550 ซึ่งในไตรมาสที่ 1 กระทรวงการคลังได้แปลงตั๋วเงินคลังเป็นพันธบัตรรัฐบาลไปแล้วจำนวน 32,000 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสที่ 2 กระทรวงการคลังมีความจำเป็นต้องออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อชดเชยการขาดดุล และออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ต่างประเทศเป็นจำนวนมาก เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้โดยรวม กระทรวงการคลังจึงชะลอการแปลงตั๋วเงินคลังเป็นพันธบัตรรัฐบาลออกไปในไตรมาสที่ 3 และ 4 ทำให้ตั๋วเงินคลังที่หมุนเวียนอยู่ในตลาด ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 มีจำนวน 218,000 ล้านบาท
3.3 การบริหารและจัดการเงินกู้เพื่อเพื่อชดใช้ความเสียหายให้ FIDF
(1) พันธบัตร FIDF 1 ในไตรมาสที่ 1 กระทรวงการคลังได้ Roll-over พันธบัตร FIDF 1 ที่ครบกำหนดไถ่ถอน จำนวน 35,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2549 โดยการกู้เงินระยะสั้น จำนวน 31,500 ล้านบาท มาสมทบกับเงินที่ได้จากการประมูลพันธบัตร ฯ งวดแรก 3,500 ล้านบาท และจะทยอยออกพันธบัตรเพื่อนำเงินที่ได้ไปชำระคืนหนี้เงินกู้ระยะสั้น ซึ่ง ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 กระทรวงการคลังสามารถออกพันธบัตรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ อายุ 20 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 6.15 ต่อปี ไปได้จำนวน 11,500 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2 จึงได้ออกพันธบัตรดังกล่าวในวงเงินที่เหลือจำนวน 23,500 ล้านบาท
(2) พันธบัตร FIDF 3 กระทรวงการคลังดำเนินการออกพันธบัตร FIDF 3 จำนวน 1,500 ล้านบาท โดยเป็นพันธบัตรออมทรัพย์ อายุ 3 ปี รุ่นละ 500 ล้านบาท จำนวน 3 รุ่น อัตราดอกเบี้ยอยู่ระหว่างร้อยละ 4.65 —5.50 ต่อปี
3.4 การกู้เงินในประเทศของรัฐวิสาหกิจ
(1) รัฐวิสาหกิจ 3 แห่ง ดำเนินการทำสัญญาเงินกู้และออกพันธบัตรวงเงินรวม 14,965 ล้านบาท เพื่อใช้ลงทุนในโครงการต่าง ๆ ได้แก่ 1) การเคหะแห่งชาติ ทำสัญญาเงินกู้กับธนาคารกรุงไทยวงเงิน 5,165 ล้านบาท 2) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ทำสัญญาเงินกู้กับธนาคารกรุงไทย วงเงิน 1,000 ล้านบาท 3) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ออกพันธบัตรวงเงิน 1,000 ล้านบาท
(2) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ดำเนินการออกพันธบัตรวงเงิน 7,800 ล้านบาท เพื่อนำเงินที่ได้ชำระคืนเงินกู้ธนาคารแห่งประเทศไทย
3.5 การปรับโครงสร้างหนี้ในประเทศของรัฐวิสาหกิจ รัฐวิสาหกิจ 4 แห่ง ดำเนินการ Roll-over หนี้ที่ครบกำหนดชำระให้สอดคล้องกับระยะคืนทุนของโครงการ โดยออกพันธบัตรวงเงินรวม 7,690 ล้านบาท ได้แก่ (1) การเคหะแห่งชาติ วงเงิน 500 ล้านบาท (2) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย วงเงิน 4,000 ล้านบาท (3) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย วงเงิน 1,000 ล้านบาท (4) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ วงเงิน 2,190 ล้านบาท
3.6 การบริหารหนี้ต่างประเทศของรัฐบาล
(1) กระทรวงการคลัง Refinance หนี้เงินกู้ ADB และ IBRD วงเงิน 10,790.77 ล้านบาท เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2550 โดยใช้วงเงินจากการออกพันธบัตรเพื่อการบริหารหนี้จำนวน 10,500 ล้านบา และชำระคืนหนี้ส่วนที่เหลือจำนวน 290.77 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณเพื่อการชำระหนี้
(2) กระทรวงการคลังทำสัญญาซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Outright Forward) เมื่อวันที่ 30-31 มกราคม 2550 เพื่อเตรียมไว้ชำระคืนหนี้เงินกู้ตราสารหนี้ชนิดอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (FRNs) วงเงิน 300 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 23 พฤษภาคม 2551
3.7 การกู้เงินและการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นบริษัทมหาชนจำกัด บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ดำเนินการกู้เงินกับธนาคารออมสิน จำนวน 12,000 ล้านบาท ตามแผนการจัดหาเงินเพื่อลงทุน
3.8 การกู้เงินระยะสั้นในรูป Credit Line ของรัฐวิสาหกิจ รัฐวิสาหกิจ 2 แห่ง ดำเนินการกู้เงินระยะสั้นในรูป Credit Line วงเงินรวม 3,800 ล้านบาท เพื่อใช้ในการเสริมสภาพคล่อง ได้แก่ (1) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ทำสัญญาเงินกู้กับธนาคารทหารไทย วงเงิน 3,000 ล้านบาท (2) การรถไฟแห่งประเทศไทย ทำสัญญาเงินกู้กับธนาคารกรุงไทย วงเงินรวม 800 ล้านบาท
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 5 มิถุนายน 2550--จบ--
1. สถานะหนี้สาธารณะของประเทศ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2550 หนี้สาธารณะคงค้างของประเทศ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2550 มีจำนวนทั้งสิ้น 3,214.87 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 38.10 ของ GDP ประกอบด้วย หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 2,056.33 พันล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 888.58 พันล้านบาท หนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 224.24 พันล้านบาท และหนี้องค์กรของรัฐอื่น 45.72 พันล้านบาท
เมื่อเปรียบเทียบกับต้นปีงบประมาณ 2550 หนี้สาธารณะคงค้างเพิ่มขึ้น 1.58 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.05 โดยหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรงเพิ่มขึ้น 86.12 พันล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินลดลง 19.30 พันล้านบาท หนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟู ฯ ลดลง 41.24 พันล้านบาท และหนี้องค์กรของรัฐอื่นลดลง 24.00 พันล้านบาท ทั้งนี้
การเพิ่มขึ้นของหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง เกิดจากการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณการกู้เงินเพื่อชดใช้ความเสียหายให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ และการกู้เงินในประเทศเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ต่างประเทศ ส่วนการลดลงของหนี้ในรายการอื่น ๆ เกิดจากการชำระหนี้ และการเบิกจ่ายเงินกู้ต่ำกว่าการชำระหนี้
2. ภาพรวมของผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ในไตรมาสที่ 2 กระทรวงการคลังสามารถดำเนินงานตามแผนฯ ได้ทั้งสิ้น 231,931.77 ล้านบาท ประกอบด้วยการก่อหนี้ใหม่ของรัฐบาลเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 105,260 ล้านบาท การบริหารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศของรัฐบาล ได้แก่ การ Roll-over ตั๋วเงินคลัง การบริหารเงินกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายให้ FIDF การ Refinance และชำระคืนเงินกู้ ADB และ IBRD และการซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าเพื่อบริหารหนี้ FRNs จำนวน 103,741.77 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นการบริหารหนี้และการก่อหนี้ใหม่ของรัฐวิสาหกิจจำนวน 22,930 ล้านบาท ซึ่งการดำเนินงานดังกล่าวทำให้สามารถลดยอดหนี้คงค้างลง จำนวน 3,191.30 ล้านบาท ลดภาระดอกเบี้ยได้ 60 ล้านบาท และประหยัดดอกเบี้ยได้ 27 ล้านบาท
เมื่อรวมกับผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 ทำให้ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 กระทรวงการคลังสามารถดำเนินงานตามแผนฯ ได้ทั้งสิ้น 359,450.70 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 36.43 ของแผนฯ การดำเนินงานตามแผนฯ ทั้งหมดนี้ ทำให้สามารถลดยอดหนี้คงค้างลงจำนวน 23,557.30 ล้านบาท ลดภาระดอกเบี้ยได้ 565 ล้านบาท และประหยัดดอกเบี้ยได้ 332 ล้านบาท
นอกจากนี้ผลการดำเนินงานตามแผนฯ ที่กล่าวมาแล้ว ในไตรมาสที่ 2 ยังมีรัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นบริษัทมหาชน จำกัด ซึ่งได้รับยกเว้นให้ไม่ต้องอยู่ภายใต้กรอบเพดานเงินกู้ของแผนการบริหารหนี้สาธารณะได้ดำเนินการกู้เงินในประเทศอีกจำนวน 12,000 ล้านบาท และมีรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินการกู้เงินระยะสั้นเพื่อเสริมสภาพคล่องในรูป) Credit Line จำนวน 3,800 ล้านบาท
3. รายละเอียดของผลการดำเนินงาน
3.1 การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ กระทรวงการคลังดำเนินการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณโดยออกพันธบัตรรัฐบาล จำนวน 3 รุ่น วงเงินรวม 75,260 ล้านบาท ประกอบด้วย พันธบัตรรัฐบาลอายุ 7,10 และ 12 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5.25, 5.00 และ 5.625 ต่อปี ตามลำดับ และออกตั๋วสัญญาใช้เงินกับธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย และธนาคารพาณิชย์ วงเงินรวม 30,000 ล้านบาท อายุ 3-5 ปี อัตราดอกเบี้ยอยู่ระหว่างร้อยละ 4.38-4.51 ต่อปี
3.2 การ Roll-over ตั๋วเงินคลัง และการแปลงตั๋วเงินคลังเป็นพันธบัตรรัฐบาล กระทรวงการคลังออกตั๋วเงินคลังเพื่อใช้ในการบริหารเงินสด เพื่อรองรับการทำธุรกรรมการใช้จ่ายของรัฐบาลซึ่ง ณ สิ้นปีงบประมาณ 2549 มียอดวงเงินตั๋วเงินคลังหมุนเวียนในตลาดจำนวน 250,000 ล้านบาท ภายใต้กรอบวงเงินดังกล่าวได้รวมการกู้เงินในรูปตั๋วเงินคลังเพื่อชดเชยการขาดดุลซึ่งสะสมมาในช่วงปี 2542 — 2547 จำนวน 170,000 ล้านบาทด้วย กระทรวงการคลังจึงมีแผนที่จะปรับโครงสร้างตั๋วเงินคลังเพื่อชดเชยการขาดดุลให้เป็นพันธบัตรระยะยาว โดยจะทยอยดำเนินการตามความเหมาะสมให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ 2550 ซึ่งในไตรมาสที่ 1 กระทรวงการคลังได้แปลงตั๋วเงินคลังเป็นพันธบัตรรัฐบาลไปแล้วจำนวน 32,000 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสที่ 2 กระทรวงการคลังมีความจำเป็นต้องออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อชดเชยการขาดดุล และออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการบริหารหนี้ต่างประเทศเป็นจำนวนมาก เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้โดยรวม กระทรวงการคลังจึงชะลอการแปลงตั๋วเงินคลังเป็นพันธบัตรรัฐบาลออกไปในไตรมาสที่ 3 และ 4 ทำให้ตั๋วเงินคลังที่หมุนเวียนอยู่ในตลาด ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 มีจำนวน 218,000 ล้านบาท
3.3 การบริหารและจัดการเงินกู้เพื่อเพื่อชดใช้ความเสียหายให้ FIDF
(1) พันธบัตร FIDF 1 ในไตรมาสที่ 1 กระทรวงการคลังได้ Roll-over พันธบัตร FIDF 1 ที่ครบกำหนดไถ่ถอน จำนวน 35,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2549 โดยการกู้เงินระยะสั้น จำนวน 31,500 ล้านบาท มาสมทบกับเงินที่ได้จากการประมูลพันธบัตร ฯ งวดแรก 3,500 ล้านบาท และจะทยอยออกพันธบัตรเพื่อนำเงินที่ได้ไปชำระคืนหนี้เงินกู้ระยะสั้น ซึ่ง ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 กระทรวงการคลังสามารถออกพันธบัตรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ อายุ 20 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 6.15 ต่อปี ไปได้จำนวน 11,500 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2 จึงได้ออกพันธบัตรดังกล่าวในวงเงินที่เหลือจำนวน 23,500 ล้านบาท
(2) พันธบัตร FIDF 3 กระทรวงการคลังดำเนินการออกพันธบัตร FIDF 3 จำนวน 1,500 ล้านบาท โดยเป็นพันธบัตรออมทรัพย์ อายุ 3 ปี รุ่นละ 500 ล้านบาท จำนวน 3 รุ่น อัตราดอกเบี้ยอยู่ระหว่างร้อยละ 4.65 —5.50 ต่อปี
3.4 การกู้เงินในประเทศของรัฐวิสาหกิจ
(1) รัฐวิสาหกิจ 3 แห่ง ดำเนินการทำสัญญาเงินกู้และออกพันธบัตรวงเงินรวม 14,965 ล้านบาท เพื่อใช้ลงทุนในโครงการต่าง ๆ ได้แก่ 1) การเคหะแห่งชาติ ทำสัญญาเงินกู้กับธนาคารกรุงไทยวงเงิน 5,165 ล้านบาท 2) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ทำสัญญาเงินกู้กับธนาคารกรุงไทย วงเงิน 1,000 ล้านบาท 3) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ออกพันธบัตรวงเงิน 1,000 ล้านบาท
(2) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ดำเนินการออกพันธบัตรวงเงิน 7,800 ล้านบาท เพื่อนำเงินที่ได้ชำระคืนเงินกู้ธนาคารแห่งประเทศไทย
3.5 การปรับโครงสร้างหนี้ในประเทศของรัฐวิสาหกิจ รัฐวิสาหกิจ 4 แห่ง ดำเนินการ Roll-over หนี้ที่ครบกำหนดชำระให้สอดคล้องกับระยะคืนทุนของโครงการ โดยออกพันธบัตรวงเงินรวม 7,690 ล้านบาท ได้แก่ (1) การเคหะแห่งชาติ วงเงิน 500 ล้านบาท (2) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย วงเงิน 4,000 ล้านบาท (3) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย วงเงิน 1,000 ล้านบาท (4) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ วงเงิน 2,190 ล้านบาท
3.6 การบริหารหนี้ต่างประเทศของรัฐบาล
(1) กระทรวงการคลัง Refinance หนี้เงินกู้ ADB และ IBRD วงเงิน 10,790.77 ล้านบาท เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2550 โดยใช้วงเงินจากการออกพันธบัตรเพื่อการบริหารหนี้จำนวน 10,500 ล้านบา และชำระคืนหนี้ส่วนที่เหลือจำนวน 290.77 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณเพื่อการชำระหนี้
(2) กระทรวงการคลังทำสัญญาซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Outright Forward) เมื่อวันที่ 30-31 มกราคม 2550 เพื่อเตรียมไว้ชำระคืนหนี้เงินกู้ตราสารหนี้ชนิดอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (FRNs) วงเงิน 300 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 23 พฤษภาคม 2551
3.7 การกู้เงินและการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นบริษัทมหาชนจำกัด บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ดำเนินการกู้เงินกับธนาคารออมสิน จำนวน 12,000 ล้านบาท ตามแผนการจัดหาเงินเพื่อลงทุน
3.8 การกู้เงินระยะสั้นในรูป Credit Line ของรัฐวิสาหกิจ รัฐวิสาหกิจ 2 แห่ง ดำเนินการกู้เงินระยะสั้นในรูป Credit Line วงเงินรวม 3,800 ล้านบาท เพื่อใช้ในการเสริมสภาพคล่อง ได้แก่ (1) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ทำสัญญาเงินกู้กับธนาคารทหารไทย วงเงิน 3,000 ล้านบาท (2) การรถไฟแห่งประเทศไทย ทำสัญญาเงินกู้กับธนาคารกรุงไทย วงเงินรวม 800 ล้านบาท
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 5 มิถุนายน 2550--จบ--