คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการดำเนินงานของกระทรวงพาณิชย์ ช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2549 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ดังนี้
กระทรวงพาณิชย์ได้นำกรอบนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ มาใช้เป็นแนวทาง เพื่อกำหนดนโยบายสำคัญของกระทรวงโดยกำหนดเป้าหมายไว้ 4 ประการ คือ การเป็นชาติการค้า (Trading Nation) ผู้ประกอบการค้าบริการ (Service Provider) นักลงทุนในต่างประเทศ (Investor-country) และมีความสามารถในการแข่งขัน (Competitive) โดยแปลงเป้าหมายออกเป็นทิศทางนโยบาย 6 ประการ
ในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2549 ที่ผ่านมา มีความคืบหน้าและผลการดำเนินงานตามนโยบาย ดังกล่าวทั้ง 6 ประการ สรุปได้ดังนี้
1. การส่งเสริมการส่งออกสินค้าและบริการ โดยมีภาคเอกชนเป็นกลไกขับเคลื่อน (Export-oriented, business-driven) ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2549 การส่งออกของไทยมีมูลค่า 34,331.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 19.3 ส่งผลให้ดุลการค้าของไทยตลอดทั้งปี 2549 เกินดุล เป็นมูลค่า 3,100.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (เทียบกับปี 2548 ที่ไทยขาดดุลการค้ามูลค่า 7,236.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) สำหรับในปี 2550 กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดเป้าหมายการส่งออกไว้ที่มูลค่า 146,192 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2549 ร้อยละ 12.5 ทั้งนี้ กระทรวงฯ มีแนวทางผลักดันการส่งออกให้ขยายตัวได้ตามเป้าหมายดังกล่าว และสร้างมูลค่าเพิ่มจากการค้าให้เกิดแก่ผู้ประกอบการในประเทศ โดย
1.1 การกำหนดแผนยุทธศาสตร์การส่งออกเชิงรุกในตลาดสำคัญ
1.2 การสร้างผู้ส่งออกรายใหม่โดยเฉพาะจากภูมิภาค ผ่านการพัฒนา SMEs และผลิตภัณฑ์ชุมชน
1.3 การเสริมสร้างภาคการบริการที่มีศักยภาพในการส่งออก
1.4 การประสานนโยบายและสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในต่างจังหวัด
1.5 การพัฒนาและปรับปรุงระบบโลจิสติกส์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการค้าเพื่อลดต้นทุนให้แก่ ผู้ประกอบการ
2. การดูแลตลาดและราคาสินค้าเกษตร บนพื้นฐานที่เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ผลประโยชน์ต้องตกแก่เกษตรกร ลดภาระงบประมาณและการรั่วไหล ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น
2.1 การกำหนดราคารับจำนำข้าวและมันสำปะหลัง ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มทางเลือกให้เกษตรกรในการขายผลผลิต ซึ่งส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกโดยทั่วไปปรับตัวสูงขึ้นจากราคารับจำนำ เช่น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคา 8,600-9,100 (ราคารับจำนำ 8,700-9,000) ข้าวเปลือกเจ้า 5% มีราคา ตันละ 6,200 -6,500 (ราคารับจำนำ 6,400 บาท) เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนหน้า ร้อยละ 9 ในขณะที่ปริมาณข้าวเปลือกที่รับจำนำในช่วงต้นฤดู (พ.ย.- 25 ธ.ค. 2549) ลดลงจาก 2.62 ล้านตัน ในปีก่อนหน้า เป็น 0.96 ล้านตันในปีนี้ ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐบาล
2.2 สำหรับมันสำปะหลัง มีราคาตลาดใกล้เคียงกับราคารับจำนำ ซึ่งจัดทำเป็นขั้นบันได (เริ่มจากเดือนพ.ย. 49 - เม.ย.50) ขณะนี้ราคากิโลกรัมละ 1.35 บาท
2.3 การจัดทำยุทธศาสตร์ข้าว กระทรวงพาณิชย์เป็นเจ้าภาพร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์ข้าวไทย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการจัดสัมมนาระดมความคิดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ศกนี้
2.4 การจัดทำโครงการนำร่องสำหรับสินค้ามันสำปะหลัง ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียดของระบบพิเศษเพื่อให้การผลิตสอดคล้องกับสภาวะตลาด ในพื้นที่ 5 อำเภอ ของจังหวัดนครราชสีมา และบุรีรัมย์ เพื่อนำเสนอในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ต่อไป
3. การคุ้มครองผู้บริโภค โดยการจัดทำโครงการพิทักษ์ความเป็นธรรมด้านราคาและปริมาณ รวมทั้งมีการติดตามภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างต่อเนื่อง และโครงการจัดทำหน่วยร้องเรียน (Complaint Unit) ร่วมกับภาคเอกชน เพื่อปรับปรุงกฎระเบียบและแนวทางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ดูแลการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ตามสัญญาประกันภัย นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้ร้านค้าเข้าร่วมโครงการส่งเสริมจริยธรรมและพัฒนามาตรฐานทางการค้า เช่น โครงการร้านอาหารธงฟ้า โครงการตลาดสดดีเด่น โครงการรับประกันคุณภาพสินค้า เป็นต้น
4. การปฏิรูปกฎหมาย และกำกับดูแลการค้า
4.1 พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว การศึกษายกร่างแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติ การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 เนื่องจากเดิมมีปัญหาเรื่องนอมีนี และหลีกเลี่ยงการนิยามคนต่างด้าวที่ทำให้มีสิทธิการโหวตมากกว่าคนไทย จึงจำเป็นต้องมีการปรับแก้กฎหมาย ซึ่งได้นำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีและมีมติเห็นชอบในหลักการแล้ว เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2550
4.2 การกำกับดูแลการค้าในธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง
- กำหนด “แนวทางแก้ไขปัญหาธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง” โดยมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาเพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งดั้งเดิมในชุมชน และธุรกิจค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ สามารถประกอบธุรกิจอยู่ร่วมกันได้อย่างสมานฉันท์ โดยกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการตั้งหรือขยายสาขาธุรกิจค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ และขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบ ธุรกิจค้าส่งสมัยใหม่จำกัดการขยายสาขาด้วยความสมัครใจ (Voluntary Self — restraint)
- พัฒนาสมรรถนะของผู้ค้าปลีกดั้งเดิม ให้สามารถปรับตัวและรองรับการแข่งขัน
4.2 พ.ร.บ.กำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง เนื่องจากปัจจุบันไม่มีกฎหมายกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่งโดยเฉพาะ จึงมีการตั้งคณะกรรมการยกร่าง พรบ. การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง พ.ศ...... เพื่อให้การค้าเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย กระทรวงพาณิชย์ได้ร่าง พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง พ.ศ....แล้ว ตามมติคณะทำงานศึกษาวิเคราะห์พิจารณากำหนดรูปแบบวิธีการในการกำกับดูแลและส่งเสริมธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง (นายสมภพ อมาตยกุล เป็นประธาน) ซึ่งจะนำเสนอ ครม. เพื่อพิจารณาต่อไป
4.3 พ.ร.บ. การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542
- การปรับปรุง พรบ. การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 โดยได้มีการเสนอประเด็นการนำรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการที่ไม่ใช่สาธารณูปโภคซึ่งแข่งกับเอกชน ให้เข้ามาอยู่ภายใต้บังคับของ พ.ร.บ. แข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542
- การออกประกาศระเบียบ เกี่ยวกับ “แนวทางพิจารณาการปฏิบัติทางการค้าระหว่างผู้ประกอบธุรกิจค้าส่งค้าปลีก และผู้ผลิตหรือผู้จำหน่าย พ.ศ. 2549” เพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณาการปฏิบัติทางการค้าระหว่างผู้ประกอบธุรกิจค้าส่งค้าปลีกสมัยใหม่กับผู้ผลิตหรือ ผู้จำหน่าย ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นการกระทำอันมิใช่การแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม ตามมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542
- คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดหลักเกณฑ์ “ผู้ประกอบธุรกิจซึ่งมีอำนาจเหนือตลาด” ตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 เพื่อให้มาตรา 25 แห่ง พ.ร.บ. ดังกล่าวมีผลบังคับใช้ในทางปฏิบัติ อันเป็นการช่วยป้องกันพฤติกรรมการผูกขาดการกีดกัน การลด หรือการจำกัดการแข่งขันทางการค้า โดยกำหนดเป็นเกณฑ์เดียวในทุกธุรกิจ ซึ่ง ครม. มีมติเห็นชอบแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการออกประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้มีผลบังคับใช้ ต่อไป
4.4 พ.ร.บ. มาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น พ.ศ. ...(มาตรการ Safeguards) เนื่องจากการเปิดเสรีทางการค้า WTO และ FTA เปิดโอกาสให้ใช้กฎหมาย Safeguard เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายใน จึงมีการยกร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอ ครม.พิจารณาให้ความเห็นชอบ
4.5 พ.ร.บ. สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกันภัย การปรับโครงสร้างกรมการประกันภัยให้เป็นองค์กรอิสระ ซึ่งปัจจุบันได้ร่างกฎหมายเสร็จแล้ว และอยู่ระหว่างเสนอครม. พิจารณาให้ความเห็นชอบ
5. การส่งเสริมการค้าที่เสรี เป็นธรรม ค่อยเป็นค่อยไป และมีแนวคุ้มกัน
5.1 การจัดตั้งกองทุนเพื่อรองรับการปรับตัวของอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า ขณะนี้อยู่ระหว่างการร่าง “ระเบียบกระทรวงฯ ว่าด้วยกองทุนเพื่อการปรับตัวของภาคการผลิตและบริการที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า พ.ศ. ....” เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เพื่อพิจารณาต่อไป
5.2 ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) กระทรวงพาณิชย์เห็นควรเสนอขั้นตอนให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติรับทราบ ขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอ ครม. ซึ่งภาคเอกชนเห็นว่าเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์อย่างมาก จึงควรสนับสนุน
6. การเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน
6.1 การพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs โดยเน้นการสร้างและพัฒนาผู้ประกอบการในภูมิภาคให้มีศักยภาพในการประกอบธุรกิจในประเทศ และผลักดันสู่สากล โดยมีการดำเนินการดังนี้
- การพัฒนานักการตลาด โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดคัดเลือกผู้ประกอบการในจังหวัดเข้าร่วมโครงการจังหวัดละ 15-20 รายภายในเดือน ม.ค.50 โดยกำหนดเป้าหมายจำนวนผู้ประกอบการทั้งสิ้น 1,200 คน
- การเชื่อมโยงผลผลิตสู่ตลาด เช่น การพัฒนาขยายตลาดข้าวหอมมะลิอินทรีย์ทั้งในและต่างประเทศ
- การประชุมหารือเพื่อหาแนวทางการพัฒนาผู้ประกอบการในภูมิภาคของกระทรวงโดยการบูรณาการแผนงาน/โครงการ และเชื่อมโยงการปฏิบัติงานระหว่างส่วนกลางและภูมิภาค
6.2 การสนับสนุนตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชนในภูมิภาค โดยการดำเนินการคัดสรรและวางแผนจัดการด้านการตลาดสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ของเกษตรกรและชุมชนต่างๆที่มีศักยภาพด้านการตลาดครบทุกจังหวัด เพื่อเป็นฐานข้อมูลในการส่งเสริมด้านการตลาด
6.3 การพัฒนาระบบระบบโลจิสติกส์การค้า เพื่ออำนวยความสะดวกและลดต้นทุนทางการค้า เช่น ได้ประสานบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด เรื่องการผ่อนผันการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่ม กก.1 บาท ในการส่งสินค้าผ่าน Free Zone โครงการพัฒนาการประกันภัยเพื่อการส่งออกด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Insurance) รวมถึง โครงการพัฒนาศักยภาพธุรกิจผู้ให้บริการ Logistics
6.4 การพัฒนาทรัพย์สินทางปัญญาในเชิงพาณิชย์ โดยการจัดตลาดนัดทรัพย์สินทางปัญญา ระหว่างวันที่ 29 กันยายน — 1 ตุลาคม 2549 โดยมีกิจกรรม คือ การจัดนิทรรศการและสัมมนาด้านทรัพย์สินทางปัญญา การเจรจาธุรกิจ (IP Matching) และจัดคลินิกให้คำปรึกษาแนะนำการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาและการแปลงทรัพย์สินทางปัญญาเป็นทุน เป็นต้น
7. แผนงานสำคัญ ที่กระทรวงฯ จะดำเนินการอย่างต่อเนื่องต่อไป ได้แก่
7.1 การผลักดันการส่งออกให้ขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ รวมทั้งผลักดันการส่งออกสินค้าเกษตรที่สำคัญ อาทิ ข้าว และมันสำปะหลัง เป็นต้น
7.2 การปรับปรุงภาพลักษณ์ขององค์การคลังสินค้า (อคส.) (re-branding) รวมทั้งพัฒนาให้เป็นกลไกการจัดการด้านโลจิสติกส์สินค้าเกษตร และเป็นศูนย์กระจายสินค้าเกษตรสู่ภูมิภาคต่างๆ
7.3 การพัฒนาตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า เพื่อก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางการค้า โดยการเพิ่มรายการสินค้าสำคัญที่จะมีการซื้อขายผ่านตลาด และลดข้อจำกัดด้านต่างๆที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกรรมผ่านตลาดดังกล่าว
7.4 การปรับโครงสร้างกระทรวงพาณิชย์ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลเศรษฐกิจการค้าของประเทศ โดยมีการจัดตั้งสำนักงานยุทธศาสตร์การพาณิชย์ ให้เป็นหน่วยงานมันสมองในการกำหนดยุทธศาสตร์การค้าของประเทศ และสำนักงานบริหารนโยบายการนำเข้า เพื่อดูแลดุลการค้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม นอกจากนี้ กระทรวงฯ จะปรับหน่วยงานของกระทรวงพาณิชย์ในภูมิภาคให้เป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เพื่อให้มีการบริหารงานที่ดี และมีการปฏิบัติงานในเชิงยุทธศาสตร์ผลักดันนโยบายการค้าของประเทศให้สัมฤทธิ์ผลยิ่งขึ้น
7.5 การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ทางการค้า เพื่ออำนวยความสะดวกและลดต้นทุนการทำธุรกิจการค้า อันจะผลักดันให้การค้าของประเทศขยายตัวทุกระดับ
7.6 การวางแนวคิด โครงสร้าง และกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศในสาขาที่นักลงทุนไทยมีศักยภาพ (outward investment)
7.7 การกำกับดูแลให้ระดับราคาสินค้ามีความเหมาะสม ไม่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อระดับเงินเฟ้อ ซึ่งได้กำหนดไว้ที่ร้อยละ 2.5-3.5 ในปี 2550
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 30 มกราคม 2550--จบ--
กระทรวงพาณิชย์ได้นำกรอบนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ มาใช้เป็นแนวทาง เพื่อกำหนดนโยบายสำคัญของกระทรวงโดยกำหนดเป้าหมายไว้ 4 ประการ คือ การเป็นชาติการค้า (Trading Nation) ผู้ประกอบการค้าบริการ (Service Provider) นักลงทุนในต่างประเทศ (Investor-country) และมีความสามารถในการแข่งขัน (Competitive) โดยแปลงเป้าหมายออกเป็นทิศทางนโยบาย 6 ประการ
ในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2549 ที่ผ่านมา มีความคืบหน้าและผลการดำเนินงานตามนโยบาย ดังกล่าวทั้ง 6 ประการ สรุปได้ดังนี้
1. การส่งเสริมการส่งออกสินค้าและบริการ โดยมีภาคเอกชนเป็นกลไกขับเคลื่อน (Export-oriented, business-driven) ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2549 การส่งออกของไทยมีมูลค่า 34,331.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 19.3 ส่งผลให้ดุลการค้าของไทยตลอดทั้งปี 2549 เกินดุล เป็นมูลค่า 3,100.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (เทียบกับปี 2548 ที่ไทยขาดดุลการค้ามูลค่า 7,236.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) สำหรับในปี 2550 กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดเป้าหมายการส่งออกไว้ที่มูลค่า 146,192 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2549 ร้อยละ 12.5 ทั้งนี้ กระทรวงฯ มีแนวทางผลักดันการส่งออกให้ขยายตัวได้ตามเป้าหมายดังกล่าว และสร้างมูลค่าเพิ่มจากการค้าให้เกิดแก่ผู้ประกอบการในประเทศ โดย
1.1 การกำหนดแผนยุทธศาสตร์การส่งออกเชิงรุกในตลาดสำคัญ
1.2 การสร้างผู้ส่งออกรายใหม่โดยเฉพาะจากภูมิภาค ผ่านการพัฒนา SMEs และผลิตภัณฑ์ชุมชน
1.3 การเสริมสร้างภาคการบริการที่มีศักยภาพในการส่งออก
1.4 การประสานนโยบายและสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในต่างจังหวัด
1.5 การพัฒนาและปรับปรุงระบบโลจิสติกส์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการค้าเพื่อลดต้นทุนให้แก่ ผู้ประกอบการ
2. การดูแลตลาดและราคาสินค้าเกษตร บนพื้นฐานที่เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ผลประโยชน์ต้องตกแก่เกษตรกร ลดภาระงบประมาณและการรั่วไหล ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น
2.1 การกำหนดราคารับจำนำข้าวและมันสำปะหลัง ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มทางเลือกให้เกษตรกรในการขายผลผลิต ซึ่งส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกโดยทั่วไปปรับตัวสูงขึ้นจากราคารับจำนำ เช่น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคา 8,600-9,100 (ราคารับจำนำ 8,700-9,000) ข้าวเปลือกเจ้า 5% มีราคา ตันละ 6,200 -6,500 (ราคารับจำนำ 6,400 บาท) เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนหน้า ร้อยละ 9 ในขณะที่ปริมาณข้าวเปลือกที่รับจำนำในช่วงต้นฤดู (พ.ย.- 25 ธ.ค. 2549) ลดลงจาก 2.62 ล้านตัน ในปีก่อนหน้า เป็น 0.96 ล้านตันในปีนี้ ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐบาล
2.2 สำหรับมันสำปะหลัง มีราคาตลาดใกล้เคียงกับราคารับจำนำ ซึ่งจัดทำเป็นขั้นบันได (เริ่มจากเดือนพ.ย. 49 - เม.ย.50) ขณะนี้ราคากิโลกรัมละ 1.35 บาท
2.3 การจัดทำยุทธศาสตร์ข้าว กระทรวงพาณิชย์เป็นเจ้าภาพร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์ข้าวไทย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการจัดสัมมนาระดมความคิดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ศกนี้
2.4 การจัดทำโครงการนำร่องสำหรับสินค้ามันสำปะหลัง ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียดของระบบพิเศษเพื่อให้การผลิตสอดคล้องกับสภาวะตลาด ในพื้นที่ 5 อำเภอ ของจังหวัดนครราชสีมา และบุรีรัมย์ เพื่อนำเสนอในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ต่อไป
3. การคุ้มครองผู้บริโภค โดยการจัดทำโครงการพิทักษ์ความเป็นธรรมด้านราคาและปริมาณ รวมทั้งมีการติดตามภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างต่อเนื่อง และโครงการจัดทำหน่วยร้องเรียน (Complaint Unit) ร่วมกับภาคเอกชน เพื่อปรับปรุงกฎระเบียบและแนวทางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ดูแลการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ตามสัญญาประกันภัย นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้ร้านค้าเข้าร่วมโครงการส่งเสริมจริยธรรมและพัฒนามาตรฐานทางการค้า เช่น โครงการร้านอาหารธงฟ้า โครงการตลาดสดดีเด่น โครงการรับประกันคุณภาพสินค้า เป็นต้น
4. การปฏิรูปกฎหมาย และกำกับดูแลการค้า
4.1 พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว การศึกษายกร่างแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติ การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 เนื่องจากเดิมมีปัญหาเรื่องนอมีนี และหลีกเลี่ยงการนิยามคนต่างด้าวที่ทำให้มีสิทธิการโหวตมากกว่าคนไทย จึงจำเป็นต้องมีการปรับแก้กฎหมาย ซึ่งได้นำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีและมีมติเห็นชอบในหลักการแล้ว เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2550
4.2 การกำกับดูแลการค้าในธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง
- กำหนด “แนวทางแก้ไขปัญหาธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง” โดยมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาเพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งดั้งเดิมในชุมชน และธุรกิจค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ สามารถประกอบธุรกิจอยู่ร่วมกันได้อย่างสมานฉันท์ โดยกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการตั้งหรือขยายสาขาธุรกิจค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ และขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบ ธุรกิจค้าส่งสมัยใหม่จำกัดการขยายสาขาด้วยความสมัครใจ (Voluntary Self — restraint)
- พัฒนาสมรรถนะของผู้ค้าปลีกดั้งเดิม ให้สามารถปรับตัวและรองรับการแข่งขัน
4.2 พ.ร.บ.กำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง เนื่องจากปัจจุบันไม่มีกฎหมายกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่งโดยเฉพาะ จึงมีการตั้งคณะกรรมการยกร่าง พรบ. การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง พ.ศ...... เพื่อให้การค้าเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย กระทรวงพาณิชย์ได้ร่าง พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง พ.ศ....แล้ว ตามมติคณะทำงานศึกษาวิเคราะห์พิจารณากำหนดรูปแบบวิธีการในการกำกับดูแลและส่งเสริมธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง (นายสมภพ อมาตยกุล เป็นประธาน) ซึ่งจะนำเสนอ ครม. เพื่อพิจารณาต่อไป
4.3 พ.ร.บ. การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542
- การปรับปรุง พรบ. การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 โดยได้มีการเสนอประเด็นการนำรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการที่ไม่ใช่สาธารณูปโภคซึ่งแข่งกับเอกชน ให้เข้ามาอยู่ภายใต้บังคับของ พ.ร.บ. แข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542
- การออกประกาศระเบียบ เกี่ยวกับ “แนวทางพิจารณาการปฏิบัติทางการค้าระหว่างผู้ประกอบธุรกิจค้าส่งค้าปลีก และผู้ผลิตหรือผู้จำหน่าย พ.ศ. 2549” เพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณาการปฏิบัติทางการค้าระหว่างผู้ประกอบธุรกิจค้าส่งค้าปลีกสมัยใหม่กับผู้ผลิตหรือ ผู้จำหน่าย ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นการกระทำอันมิใช่การแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม ตามมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542
- คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดหลักเกณฑ์ “ผู้ประกอบธุรกิจซึ่งมีอำนาจเหนือตลาด” ตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 เพื่อให้มาตรา 25 แห่ง พ.ร.บ. ดังกล่าวมีผลบังคับใช้ในทางปฏิบัติ อันเป็นการช่วยป้องกันพฤติกรรมการผูกขาดการกีดกัน การลด หรือการจำกัดการแข่งขันทางการค้า โดยกำหนดเป็นเกณฑ์เดียวในทุกธุรกิจ ซึ่ง ครม. มีมติเห็นชอบแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการออกประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้มีผลบังคับใช้ ต่อไป
4.4 พ.ร.บ. มาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น พ.ศ. ...(มาตรการ Safeguards) เนื่องจากการเปิดเสรีทางการค้า WTO และ FTA เปิดโอกาสให้ใช้กฎหมาย Safeguard เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายใน จึงมีการยกร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอ ครม.พิจารณาให้ความเห็นชอบ
4.5 พ.ร.บ. สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกันภัย การปรับโครงสร้างกรมการประกันภัยให้เป็นองค์กรอิสระ ซึ่งปัจจุบันได้ร่างกฎหมายเสร็จแล้ว และอยู่ระหว่างเสนอครม. พิจารณาให้ความเห็นชอบ
5. การส่งเสริมการค้าที่เสรี เป็นธรรม ค่อยเป็นค่อยไป และมีแนวคุ้มกัน
5.1 การจัดตั้งกองทุนเพื่อรองรับการปรับตัวของอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า ขณะนี้อยู่ระหว่างการร่าง “ระเบียบกระทรวงฯ ว่าด้วยกองทุนเพื่อการปรับตัวของภาคการผลิตและบริการที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า พ.ศ. ....” เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เพื่อพิจารณาต่อไป
5.2 ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) กระทรวงพาณิชย์เห็นควรเสนอขั้นตอนให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติรับทราบ ขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอ ครม. ซึ่งภาคเอกชนเห็นว่าเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์อย่างมาก จึงควรสนับสนุน
6. การเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน
6.1 การพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs โดยเน้นการสร้างและพัฒนาผู้ประกอบการในภูมิภาคให้มีศักยภาพในการประกอบธุรกิจในประเทศ และผลักดันสู่สากล โดยมีการดำเนินการดังนี้
- การพัฒนานักการตลาด โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดคัดเลือกผู้ประกอบการในจังหวัดเข้าร่วมโครงการจังหวัดละ 15-20 รายภายในเดือน ม.ค.50 โดยกำหนดเป้าหมายจำนวนผู้ประกอบการทั้งสิ้น 1,200 คน
- การเชื่อมโยงผลผลิตสู่ตลาด เช่น การพัฒนาขยายตลาดข้าวหอมมะลิอินทรีย์ทั้งในและต่างประเทศ
- การประชุมหารือเพื่อหาแนวทางการพัฒนาผู้ประกอบการในภูมิภาคของกระทรวงโดยการบูรณาการแผนงาน/โครงการ และเชื่อมโยงการปฏิบัติงานระหว่างส่วนกลางและภูมิภาค
6.2 การสนับสนุนตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชนในภูมิภาค โดยการดำเนินการคัดสรรและวางแผนจัดการด้านการตลาดสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ของเกษตรกรและชุมชนต่างๆที่มีศักยภาพด้านการตลาดครบทุกจังหวัด เพื่อเป็นฐานข้อมูลในการส่งเสริมด้านการตลาด
6.3 การพัฒนาระบบระบบโลจิสติกส์การค้า เพื่ออำนวยความสะดวกและลดต้นทุนทางการค้า เช่น ได้ประสานบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด เรื่องการผ่อนผันการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่ม กก.1 บาท ในการส่งสินค้าผ่าน Free Zone โครงการพัฒนาการประกันภัยเพื่อการส่งออกด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Insurance) รวมถึง โครงการพัฒนาศักยภาพธุรกิจผู้ให้บริการ Logistics
6.4 การพัฒนาทรัพย์สินทางปัญญาในเชิงพาณิชย์ โดยการจัดตลาดนัดทรัพย์สินทางปัญญา ระหว่างวันที่ 29 กันยายน — 1 ตุลาคม 2549 โดยมีกิจกรรม คือ การจัดนิทรรศการและสัมมนาด้านทรัพย์สินทางปัญญา การเจรจาธุรกิจ (IP Matching) และจัดคลินิกให้คำปรึกษาแนะนำการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาและการแปลงทรัพย์สินทางปัญญาเป็นทุน เป็นต้น
7. แผนงานสำคัญ ที่กระทรวงฯ จะดำเนินการอย่างต่อเนื่องต่อไป ได้แก่
7.1 การผลักดันการส่งออกให้ขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ รวมทั้งผลักดันการส่งออกสินค้าเกษตรที่สำคัญ อาทิ ข้าว และมันสำปะหลัง เป็นต้น
7.2 การปรับปรุงภาพลักษณ์ขององค์การคลังสินค้า (อคส.) (re-branding) รวมทั้งพัฒนาให้เป็นกลไกการจัดการด้านโลจิสติกส์สินค้าเกษตร และเป็นศูนย์กระจายสินค้าเกษตรสู่ภูมิภาคต่างๆ
7.3 การพัฒนาตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า เพื่อก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางการค้า โดยการเพิ่มรายการสินค้าสำคัญที่จะมีการซื้อขายผ่านตลาด และลดข้อจำกัดด้านต่างๆที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกรรมผ่านตลาดดังกล่าว
7.4 การปรับโครงสร้างกระทรวงพาณิชย์ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลเศรษฐกิจการค้าของประเทศ โดยมีการจัดตั้งสำนักงานยุทธศาสตร์การพาณิชย์ ให้เป็นหน่วยงานมันสมองในการกำหนดยุทธศาสตร์การค้าของประเทศ และสำนักงานบริหารนโยบายการนำเข้า เพื่อดูแลดุลการค้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม นอกจากนี้ กระทรวงฯ จะปรับหน่วยงานของกระทรวงพาณิชย์ในภูมิภาคให้เป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เพื่อให้มีการบริหารงานที่ดี และมีการปฏิบัติงานในเชิงยุทธศาสตร์ผลักดันนโยบายการค้าของประเทศให้สัมฤทธิ์ผลยิ่งขึ้น
7.5 การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ทางการค้า เพื่ออำนวยความสะดวกและลดต้นทุนการทำธุรกิจการค้า อันจะผลักดันให้การค้าของประเทศขยายตัวทุกระดับ
7.6 การวางแนวคิด โครงสร้าง และกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศในสาขาที่นักลงทุนไทยมีศักยภาพ (outward investment)
7.7 การกำกับดูแลให้ระดับราคาสินค้ามีความเหมาะสม ไม่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อระดับเงินเฟ้อ ซึ่งได้กำหนดไว้ที่ร้อยละ 2.5-3.5 ในปี 2550
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 30 มกราคม 2550--จบ--