แท็ก
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
บางกอกแร้นช์
คณะรัฐมนตรี
อเมริกัน
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานผลการจัดโครงการสัมมนา “รัฐบาลพบสื่อท้องถิ่น” ครั้งที่ 1 ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเด็นปัญหาที่สื่อมวลชนท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้นำเสนอในการสัมมนาไปพิจารณาดำเนินการให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงต่าง ๆ ประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการดำเนินงานของรัฐบาลให้สื่อมวลชนได้รับทราบอย่างถูกต้องชัดเจนและทั่วถึง เพื่อถ่ายทอดให้ประชาชนทราบและเกิดความเข้าใจต่อไป
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและกรมประชาสัมพันธ์ได้ร่วมกันจัดสัมมนา “รัฐบาลพบสื่อท้องถิ่น” ครั้งที่ 1 เมื่อวันเสาร์ที่ 31 มีนาคม 2550 ณ โรงแรมโซฟิเทล ราชา ออร์คิด จังหวัดขอนแก่น โดยนายรุ่งเรือง อิศรางกูร ณ อยุธยา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายบัญญัติ จันทน์เสนะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมเป็นประธานการสัมมนา เพื่อชี้แจงสร้างความเข้าใจในยุทธศาสตร์และแนวทางการแก้ไขปัญหาภัยแล้งในเชิงรุกของรัฐบาล รวมถึงนโยบายและการบริหารงานของรัฐบาลแก่สื่อมวลชนท้องถิ่น ในเขตพื้นที่ภาคะวันออกเฉียงเหนือ 7 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย เลย มหาสารคาม กาฬสินธุ์ และหนองบัวลำภู ซึ่งการจัดสัมมนาได้รับความร่วมมือจากโฆษกกระทรวง ผู้ตรวจราชการกระทรวง ผู้ว่าราชการจังหวัด และรองผู้ว่าราชการจังหวัด เข้าร่วมสัมมนาและร่วมชี้แจงสร้างความเข้าใจในนโยบายของรัฐบาล โดยมีการถ่ายทอดการสัมมนาทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 ให้ประชาชนในเขตพื้นที่ได้รับชม เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ด้วย
ผลการจัดสัมมนา
การจัดสัมมนาภาคเช้า รัฐมนตรีพบสื่อมวลชนท้องถิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ตรวจราชการกระทรวง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และโฆษกกระทรวง ได้ร่วมกันชี้แจงยุทธศาสตร์และแนวทางการแก้ไขปัญหาภัยแล้งในเชิงรุก และสร้างความเข้าใจในนโยบายและการบริหารงานของรัฐบาลด้านต่างๆ รวมทั้งรับฟังปัญหาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับสื่อมวลชนทั้ง 7 จังหวัด ซึ่งสรุปประเด็นการชี้แจงและข้อเสนอแนะต่างๆ ได้ ดังนี้
ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับปัญหาภัยแล้งของส่วนราชการ
ผู้แทนภาครัฐได้ร่วมกันชี้แจงถึงมาตรการสำคัญในการแก้ไขปัญหาภัยแล้งในขณะนี้คือการให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบยั่งยืน ซึ่งในเบื้องต้นคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการอนุมัติงบประมาณประจำปี 2551 จำนวน 14,000 ล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหาแล้ว ในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงมหาดไทยได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการและนำแผนไปสู่การปฏิบัติ อาทิเช่น การเร่งดำเนินการทำฝนเทียมในพื้นที่นอกระบบชลประทาน การแจกจ่ายน้ำในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ การทำบัญชีหมู่บ้านแยกประเภทตามระดับความรุนแรงของปัญหาเพื่อนำข้อมูลมาใช้จัดทำแผนปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือ รวมถึงการจัดตั้งคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งขึ้นในแต่ละพื้นที่ทุกระดับ เพื่อมุ่งเน้นบรรเทาความเดือดร้อนดูแลแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนอย่างทั่วถึงเท่าเทียมกันให้มากที่สุดเท่าที่จะดำเนินการได้
นอกจากนี้ในส่วนของกองทัพบกและหน่วยงานอื่นๆ อาทิ กระทรงแรงงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ร่วมกันชี้แจงแก่สื่อมวลชนถึงมาตรการต่างๆ ที่ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนไปแล้วในเบื้องต้น รวมถึงความพร้อมในด้านต่างๆ ในส่วนที่แต่ละกระทรวงรับผิดชอบ ที่สามารถรองรับปัญหาและนำไปสู่การดำเนินการอย่างเต็มประสิทธิภาพ
การชี้แจงและสร้างความเข้าใจกับสื่อมวลชนในการดำเนินงานของรัฐบาล เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งในครั้งนี้ จากการสำรวจความคิดเห็นของสื่อมวลชนพบว่าในภาพรวมสื่อมวลชนมีความ พึงพอใจและเข้าใจการดำเนินการและมาตรการแก้ไขปัญหาของส่วนราชการต่างๆ ที่มีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมและมีการบูรณาการการทำงานร่วมกัน
ข้อเสนอแนะของสื่อมวลชนเกี่ยวกับปัญหาภัยแล้ง
1. เสนอให้รัฐบาลกำหนดปัญหาน้ำเป็นวาระแห่งชาติ
2. เสนอให้รัฐบาลแก้ปัญหาน้ำอย่างเป็นระบบและในระยะยาวรัฐบาลควรออกพระราชบัญญัติน้ำเป็นการเฉพาะ
3. การแก้ไขปัญหาน้ำและปัญหาทรัพยากรธรรมชาติควรเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น โดยสร้างกระบวนการแก้ปัญหาที่มีลักษณะเป็นพหุภาคีให้ผู้ที่เกี่ยวข้องและรับผลกระทบทุกฝ่ายมีส่วนในการดูแลแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
4. รัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณสำหรับการแก้ปัญหาน้ำให้องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเพิ่มขึ้น
5. เสนอให้หน่วยงานราชการส่งเสริมกิจกรรมและโครงการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่องค์การส่วนท้องถิ่นให้เข้าใจการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ
6. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควรสนับสนุนการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้สำหรับการสร้างแหล่งน้ำเพิ่มเติมและพัฒนาคุณภาพน้ำให้ดีขึ้น
7. สื่อเสนอให้หน่วยงานราชการควรสนับสนุนการขุดลอกคูคลองสร้างเขื่อนยางขนาดเล็กกระจายทั่วภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และจัดซื้ออุปกรณ์ขุดเจาะ เช่น รถแบ็คโฮ สำหรับการสร้างแหล่งน้ำใหม่ให้กับองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง
8. หน่วยงานราชการและภาคเอกชนควรร่วมมือกันรณรงค์ให้ประชาชนหยุดวิธีการเผาพื้นที่ไร่นาหลังการเก็บเกี่ยว
การสัมมนาภาคบ่าย สัมมนากลุ่มย่อยเรื่อง “บทบาทของสื่อมวลชนท้องถิ่นกับการสร้างความสมานฉันท์ในสังคม” จำนวน 6 กลุ่ม เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการทำงานระหว่างสื่อมวลชนกับภาครัฐ และบทบาทของสื่อมวลชนในการสร้างความสมานฉันท์ในสังคมไทย รวมทั้งหาแนวทางให้สื่อท้องถิ่นสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของภาครัฐได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับทราบและเข้าใจการดำเนินงานของรัฐบาลได้ดียิ่งขึ้นตามไปด้วย ผลการสัมมนากลุ่มย่อยสรุปได้ ดังนี้
ประเด็นบทบาทของสื่อมวลชน
- สื่อควรนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ส่งเสริมทัศนคติที่ดีในการยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง
- สื่อควรเสนอข้อมูลข่าวสารให้คนเคารพกติกาของสังคม หลีกเลี่ยงการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่จะทำให้สังคมเกิดความแตกแยก
- ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมชุมชนประเพณีท้องถิ่นในกระบวนการสื่อสาร เพิ่มขึ้น
- สื่อต้องยึดจรรยาบรรณวิชาชีพในการทำหน้าที่
- สื่อควรเสนอข้อมูลข่าวสารที่สนับสนุนการทำงานของรัฐบาลและวาระแห่งชาติ เช่น ธรรมาภิบาล สมานฉันท์
- การนำเสนอข้อมูลข่าวสารควรเพิ่มความสำคัญเรื่องการสร้างจิตสำนึกรักชาติ
- สื่อต้องระมัดระวังการนำเสนอข่าวในประเด็นความมั่นคงเป็นกรณีพิเศษ
ประเด็นข้อเสนอแนะในเรื่องกระบวนการสื่อสาร
- ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการสื่อสารมากขึ้น
- รัฐบาลต้องไม่แทรกแซงสื่อ แต่สื่อควรทำหน้าที่ควบคุมกันเอง
- มีกระบวนการนำข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องจากส่วนกลางสู่สื่อท้องถิ่น โดยประชาสัมพันธ์จังหวัดต้องเป็นกลไกสำคัญในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารจากส่วนกลาง
- ข้อมูลที่รัฐบาลหรือหน่วยงานประชาสัมพันธ์ของรัฐจัดส่งให้สื่อมวลชนท้องถิ่นควรเป็น “ข้อมูลสำเร็จ”
- การให้ข่าวของบุคคลในรัฐบาลและหน่วยงานราชการควรเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
- รัฐบาลต้องมีแผนประชาสัมพันธ์ที่ตอบสนองเป้าหมายการสร้างความสมานฉันท์และความรู้รักสามัคคี
- เสนอให้มีรายการผู้ว่าราชการจังหวัดพบสื่อมวลชนเป็นประจำ
- สร้างความเข้าใจเรื่องแนวทางการประชาสัมพันธ์เพื่อความสมานฉันท์ให้กับสื่อมวลชน
- เสนอตั้ง TLTV หรือ Thai Local Television ในระบบ UHF ทุกจังหวัด
- เสนอให้โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ประสานงานกับสื่อท้องถิ่น
- เสนอแต่งตั้งโฆษกรัฐบาลส่วนท้องถิ่นในทุกจังหวัด
- เสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการสื่อมวลชนในแต่ละจังหวัด เพื่อควบคุม ตรวจสอบ และประสานการทำงานของสื่อมวลชนร่วมกัน
ประเด็นแนวทางที่จะนำไปสู่การสมานฉันท์
- การสร้างความสมานฉันท์ต้องเริ่มต้นจากการให้อภัย ไม่ตอกย้ำเรื่องที่เป็นมูลเหตุความขัดแย้ง
- การสร้างความสมานฉันท์ต้องเริ่มต้นจากครอบครัวสู่ชุมชน/สังคม
- ส่งเสริมเวทีชาวบ้านเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นคนในหมู่บ้าน/ชุมชน
การประเมินผลการสัมมนา
(ก) ผู้เข้าร่วมสัมมนาทั้งสิ้น จำนวน 369 คน แบ่งเป็นสื่อมวลชนท้องถิ่น 113 คน รัฐมนตรี 2 คน โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและโฆษกกระทรวง 22 คน ผู้ตรวจราชการกระทรวง 19 คน ผู้ว่าราชการจังหวัด 3 คน รองผู้ว่าราชการจังหวัด 4 คน ผู้แทนผู้ว่าราชการจังหวัด 2 คน เจ้าหน้าที่กรมประชาสัมพันธ์ 34 คน เจ้าหน้าที่สำนักโฆษก 22 คน ผู้ติดตาม,ผู้แทนส่วนราชการและผู้สังเกตการณ์ 148 คน
(ข) ความคิดเห็นของสื่อมวลชนต่อการจัดสัมมนา จากการสำรวจโดยให้สื่อมวลชนท้องถิ่นตอบแบบสอบถามพบว่า สื่อมวลชนเห็นว่าการเข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้ได้รับประโยชน์มาก เพราะได้รับทราบนโยบายของรัฐบาลและแนวทางในการแก้ไขปัญหาภัยแล้งโดยตรงจากผู้รับผิดชอบ มีโอกาสนำเสนอความต้องการและข้อเท็จจริงของปัญหาต่าง ๆ ในพื้นที่ ได้รับทราบข้อมูลข่าวสารและความคืบหน้าการดำเนินโครงการต่าง ๆ อย่างชัดเจน ได้มีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ปัญหาและอุปสรรค และแนวทางในการแก้ปัญหาของสื่อท้องถิ่น เพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงการปฏิบัติงานต่อไป อีกทั้งยังได้รับทราบช่องทางในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของภาครัฐมากขึ้น
ทั้งนี้ สื่อมวลชนเห็นว่าสิ่งที่ได้รับจากการสัมมนาในครั้งนี้มากที่สุดคือ สามารถสะท้อนปัญหาให้รัฐบาลได้รับทราบโดยตรง และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน
(ค) ข้อเสนอแนะของสื่อมวลชนในการจัดสัมมนา
- ควรคัดเลือกสื่อที่มีคุณภาพและมีความตั้งใจเข้าร่วมสัมมนาพร้อมเชิญนักวิชาการท้องถิ่นและตัวแทนชาวบ้านเข้าร่วมงานสัมมนาด้วย รวมทั้งควรมีการทัศนศึกษาชุมชนด้วย
- ต้องการให้ภาครัฐ สื่อมวลชนและประชาชนมีการพบปะกันมากขึ้น เพื่อได้แลกเปลี่ยนข้อมูลและประสานงานกันระหว่างส่วนกลางและท้องถิ่น
- ควรให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจมาร่วมงานมากขึ้น
- ควรจัดให้ตัวแทนกลุ่มอาชีพมาเสนอข้อคิดเห็นหรือจัดเวทีชาวบ้าน
- ควรมีการจัดโครงการทุกเดือนหรือ 2 เดือนครั้ง
- ให้สื่อมวลชนระดับรากหญ้ามีส่วนร่วมมากขึ้น และต้องการให้ภาครัฐจัดสรรให้มีคลื่นความถี่ TLTV (Thai Local Television) จังหวัดละ 1 ช่อง
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 1 พฤษภาคม 2550--จบ--
สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและกรมประชาสัมพันธ์ได้ร่วมกันจัดสัมมนา “รัฐบาลพบสื่อท้องถิ่น” ครั้งที่ 1 เมื่อวันเสาร์ที่ 31 มีนาคม 2550 ณ โรงแรมโซฟิเทล ราชา ออร์คิด จังหวัดขอนแก่น โดยนายรุ่งเรือง อิศรางกูร ณ อยุธยา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายบัญญัติ จันทน์เสนะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมเป็นประธานการสัมมนา เพื่อชี้แจงสร้างความเข้าใจในยุทธศาสตร์และแนวทางการแก้ไขปัญหาภัยแล้งในเชิงรุกของรัฐบาล รวมถึงนโยบายและการบริหารงานของรัฐบาลแก่สื่อมวลชนท้องถิ่น ในเขตพื้นที่ภาคะวันออกเฉียงเหนือ 7 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย เลย มหาสารคาม กาฬสินธุ์ และหนองบัวลำภู ซึ่งการจัดสัมมนาได้รับความร่วมมือจากโฆษกกระทรวง ผู้ตรวจราชการกระทรวง ผู้ว่าราชการจังหวัด และรองผู้ว่าราชการจังหวัด เข้าร่วมสัมมนาและร่วมชี้แจงสร้างความเข้าใจในนโยบายของรัฐบาล โดยมีการถ่ายทอดการสัมมนาทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 ให้ประชาชนในเขตพื้นที่ได้รับชม เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ด้วย
ผลการจัดสัมมนา
การจัดสัมมนาภาคเช้า รัฐมนตรีพบสื่อมวลชนท้องถิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ตรวจราชการกระทรวง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และโฆษกกระทรวง ได้ร่วมกันชี้แจงยุทธศาสตร์และแนวทางการแก้ไขปัญหาภัยแล้งในเชิงรุก และสร้างความเข้าใจในนโยบายและการบริหารงานของรัฐบาลด้านต่างๆ รวมทั้งรับฟังปัญหาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับสื่อมวลชนทั้ง 7 จังหวัด ซึ่งสรุปประเด็นการชี้แจงและข้อเสนอแนะต่างๆ ได้ ดังนี้
ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับปัญหาภัยแล้งของส่วนราชการ
ผู้แทนภาครัฐได้ร่วมกันชี้แจงถึงมาตรการสำคัญในการแก้ไขปัญหาภัยแล้งในขณะนี้คือการให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบยั่งยืน ซึ่งในเบื้องต้นคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการอนุมัติงบประมาณประจำปี 2551 จำนวน 14,000 ล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหาแล้ว ในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงมหาดไทยได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการและนำแผนไปสู่การปฏิบัติ อาทิเช่น การเร่งดำเนินการทำฝนเทียมในพื้นที่นอกระบบชลประทาน การแจกจ่ายน้ำในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ การทำบัญชีหมู่บ้านแยกประเภทตามระดับความรุนแรงของปัญหาเพื่อนำข้อมูลมาใช้จัดทำแผนปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือ รวมถึงการจัดตั้งคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งขึ้นในแต่ละพื้นที่ทุกระดับ เพื่อมุ่งเน้นบรรเทาความเดือดร้อนดูแลแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนอย่างทั่วถึงเท่าเทียมกันให้มากที่สุดเท่าที่จะดำเนินการได้
นอกจากนี้ในส่วนของกองทัพบกและหน่วยงานอื่นๆ อาทิ กระทรงแรงงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ร่วมกันชี้แจงแก่สื่อมวลชนถึงมาตรการต่างๆ ที่ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนไปแล้วในเบื้องต้น รวมถึงความพร้อมในด้านต่างๆ ในส่วนที่แต่ละกระทรวงรับผิดชอบ ที่สามารถรองรับปัญหาและนำไปสู่การดำเนินการอย่างเต็มประสิทธิภาพ
การชี้แจงและสร้างความเข้าใจกับสื่อมวลชนในการดำเนินงานของรัฐบาล เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งในครั้งนี้ จากการสำรวจความคิดเห็นของสื่อมวลชนพบว่าในภาพรวมสื่อมวลชนมีความ พึงพอใจและเข้าใจการดำเนินการและมาตรการแก้ไขปัญหาของส่วนราชการต่างๆ ที่มีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมและมีการบูรณาการการทำงานร่วมกัน
ข้อเสนอแนะของสื่อมวลชนเกี่ยวกับปัญหาภัยแล้ง
1. เสนอให้รัฐบาลกำหนดปัญหาน้ำเป็นวาระแห่งชาติ
2. เสนอให้รัฐบาลแก้ปัญหาน้ำอย่างเป็นระบบและในระยะยาวรัฐบาลควรออกพระราชบัญญัติน้ำเป็นการเฉพาะ
3. การแก้ไขปัญหาน้ำและปัญหาทรัพยากรธรรมชาติควรเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น โดยสร้างกระบวนการแก้ปัญหาที่มีลักษณะเป็นพหุภาคีให้ผู้ที่เกี่ยวข้องและรับผลกระทบทุกฝ่ายมีส่วนในการดูแลแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
4. รัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณสำหรับการแก้ปัญหาน้ำให้องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเพิ่มขึ้น
5. เสนอให้หน่วยงานราชการส่งเสริมกิจกรรมและโครงการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่องค์การส่วนท้องถิ่นให้เข้าใจการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ
6. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควรสนับสนุนการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้สำหรับการสร้างแหล่งน้ำเพิ่มเติมและพัฒนาคุณภาพน้ำให้ดีขึ้น
7. สื่อเสนอให้หน่วยงานราชการควรสนับสนุนการขุดลอกคูคลองสร้างเขื่อนยางขนาดเล็กกระจายทั่วภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และจัดซื้ออุปกรณ์ขุดเจาะ เช่น รถแบ็คโฮ สำหรับการสร้างแหล่งน้ำใหม่ให้กับองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง
8. หน่วยงานราชการและภาคเอกชนควรร่วมมือกันรณรงค์ให้ประชาชนหยุดวิธีการเผาพื้นที่ไร่นาหลังการเก็บเกี่ยว
การสัมมนาภาคบ่าย สัมมนากลุ่มย่อยเรื่อง “บทบาทของสื่อมวลชนท้องถิ่นกับการสร้างความสมานฉันท์ในสังคม” จำนวน 6 กลุ่ม เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการทำงานระหว่างสื่อมวลชนกับภาครัฐ และบทบาทของสื่อมวลชนในการสร้างความสมานฉันท์ในสังคมไทย รวมทั้งหาแนวทางให้สื่อท้องถิ่นสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของภาครัฐได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับทราบและเข้าใจการดำเนินงานของรัฐบาลได้ดียิ่งขึ้นตามไปด้วย ผลการสัมมนากลุ่มย่อยสรุปได้ ดังนี้
ประเด็นบทบาทของสื่อมวลชน
- สื่อควรนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ส่งเสริมทัศนคติที่ดีในการยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง
- สื่อควรเสนอข้อมูลข่าวสารให้คนเคารพกติกาของสังคม หลีกเลี่ยงการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่จะทำให้สังคมเกิดความแตกแยก
- ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมชุมชนประเพณีท้องถิ่นในกระบวนการสื่อสาร เพิ่มขึ้น
- สื่อต้องยึดจรรยาบรรณวิชาชีพในการทำหน้าที่
- สื่อควรเสนอข้อมูลข่าวสารที่สนับสนุนการทำงานของรัฐบาลและวาระแห่งชาติ เช่น ธรรมาภิบาล สมานฉันท์
- การนำเสนอข้อมูลข่าวสารควรเพิ่มความสำคัญเรื่องการสร้างจิตสำนึกรักชาติ
- สื่อต้องระมัดระวังการนำเสนอข่าวในประเด็นความมั่นคงเป็นกรณีพิเศษ
ประเด็นข้อเสนอแนะในเรื่องกระบวนการสื่อสาร
- ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการสื่อสารมากขึ้น
- รัฐบาลต้องไม่แทรกแซงสื่อ แต่สื่อควรทำหน้าที่ควบคุมกันเอง
- มีกระบวนการนำข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องจากส่วนกลางสู่สื่อท้องถิ่น โดยประชาสัมพันธ์จังหวัดต้องเป็นกลไกสำคัญในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารจากส่วนกลาง
- ข้อมูลที่รัฐบาลหรือหน่วยงานประชาสัมพันธ์ของรัฐจัดส่งให้สื่อมวลชนท้องถิ่นควรเป็น “ข้อมูลสำเร็จ”
- การให้ข่าวของบุคคลในรัฐบาลและหน่วยงานราชการควรเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
- รัฐบาลต้องมีแผนประชาสัมพันธ์ที่ตอบสนองเป้าหมายการสร้างความสมานฉันท์และความรู้รักสามัคคี
- เสนอให้มีรายการผู้ว่าราชการจังหวัดพบสื่อมวลชนเป็นประจำ
- สร้างความเข้าใจเรื่องแนวทางการประชาสัมพันธ์เพื่อความสมานฉันท์ให้กับสื่อมวลชน
- เสนอตั้ง TLTV หรือ Thai Local Television ในระบบ UHF ทุกจังหวัด
- เสนอให้โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ประสานงานกับสื่อท้องถิ่น
- เสนอแต่งตั้งโฆษกรัฐบาลส่วนท้องถิ่นในทุกจังหวัด
- เสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการสื่อมวลชนในแต่ละจังหวัด เพื่อควบคุม ตรวจสอบ และประสานการทำงานของสื่อมวลชนร่วมกัน
ประเด็นแนวทางที่จะนำไปสู่การสมานฉันท์
- การสร้างความสมานฉันท์ต้องเริ่มต้นจากการให้อภัย ไม่ตอกย้ำเรื่องที่เป็นมูลเหตุความขัดแย้ง
- การสร้างความสมานฉันท์ต้องเริ่มต้นจากครอบครัวสู่ชุมชน/สังคม
- ส่งเสริมเวทีชาวบ้านเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นคนในหมู่บ้าน/ชุมชน
การประเมินผลการสัมมนา
(ก) ผู้เข้าร่วมสัมมนาทั้งสิ้น จำนวน 369 คน แบ่งเป็นสื่อมวลชนท้องถิ่น 113 คน รัฐมนตรี 2 คน โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและโฆษกกระทรวง 22 คน ผู้ตรวจราชการกระทรวง 19 คน ผู้ว่าราชการจังหวัด 3 คน รองผู้ว่าราชการจังหวัด 4 คน ผู้แทนผู้ว่าราชการจังหวัด 2 คน เจ้าหน้าที่กรมประชาสัมพันธ์ 34 คน เจ้าหน้าที่สำนักโฆษก 22 คน ผู้ติดตาม,ผู้แทนส่วนราชการและผู้สังเกตการณ์ 148 คน
(ข) ความคิดเห็นของสื่อมวลชนต่อการจัดสัมมนา จากการสำรวจโดยให้สื่อมวลชนท้องถิ่นตอบแบบสอบถามพบว่า สื่อมวลชนเห็นว่าการเข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้ได้รับประโยชน์มาก เพราะได้รับทราบนโยบายของรัฐบาลและแนวทางในการแก้ไขปัญหาภัยแล้งโดยตรงจากผู้รับผิดชอบ มีโอกาสนำเสนอความต้องการและข้อเท็จจริงของปัญหาต่าง ๆ ในพื้นที่ ได้รับทราบข้อมูลข่าวสารและความคืบหน้าการดำเนินโครงการต่าง ๆ อย่างชัดเจน ได้มีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ปัญหาและอุปสรรค และแนวทางในการแก้ปัญหาของสื่อท้องถิ่น เพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงการปฏิบัติงานต่อไป อีกทั้งยังได้รับทราบช่องทางในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของภาครัฐมากขึ้น
ทั้งนี้ สื่อมวลชนเห็นว่าสิ่งที่ได้รับจากการสัมมนาในครั้งนี้มากที่สุดคือ สามารถสะท้อนปัญหาให้รัฐบาลได้รับทราบโดยตรง และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน
(ค) ข้อเสนอแนะของสื่อมวลชนในการจัดสัมมนา
- ควรคัดเลือกสื่อที่มีคุณภาพและมีความตั้งใจเข้าร่วมสัมมนาพร้อมเชิญนักวิชาการท้องถิ่นและตัวแทนชาวบ้านเข้าร่วมงานสัมมนาด้วย รวมทั้งควรมีการทัศนศึกษาชุมชนด้วย
- ต้องการให้ภาครัฐ สื่อมวลชนและประชาชนมีการพบปะกันมากขึ้น เพื่อได้แลกเปลี่ยนข้อมูลและประสานงานกันระหว่างส่วนกลางและท้องถิ่น
- ควรให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจมาร่วมงานมากขึ้น
- ควรจัดให้ตัวแทนกลุ่มอาชีพมาเสนอข้อคิดเห็นหรือจัดเวทีชาวบ้าน
- ควรมีการจัดโครงการทุกเดือนหรือ 2 เดือนครั้ง
- ให้สื่อมวลชนระดับรากหญ้ามีส่วนร่วมมากขึ้น และต้องการให้ภาครัฐจัดสรรให้มีคลื่นความถี่ TLTV (Thai Local Television) จังหวัดละ 1 ช่อง
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 1 พฤษภาคม 2550--จบ--