คณะรัฐมนตรีพิจารณาความตกลงว่าด้วยการปรับระบบด้านกฎระเบียบ และการควบคุมบริภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ แล้วมีมติเห็นชอบดังนี้
1. เห็นชอบในการลงนามความตกลงว่าด้วยการปรับระบบด้านกฎระเบียบและการควบคุมบริภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน โดยอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ในฐานะรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนของไทยลงนามในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 11 ระหว่างวันที่ 9-14 ธันวาคม 2548 ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญในการความตกลงฯ ให้คณะรัฐมนตรีมอบให้ผู้ลงนามเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีได้
2. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจลงนามในความตกลงดังกล่าวให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ลงนามและจัดทำสัตยาบันสารสำหรับความตกลงต่อไป
ทั้งนี้กระทรวงอุตสาหกรรมชี้แจงว่า มาเลเซียจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 11 ระหว่างวันที่ 9-14 ธันวาคม 2548 ซึ่งในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งนี้จะมีการลงนามในความ ตกลงว่าด้วยการปรับระบบด้านกฎระเบียบ และการควบคุมบริภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน (Agreement on the ASEAN Harmonized Electrical and Electronic Equipment (EEE) Regulatory Regime) โดยสรุปสาระสำคัญของความตกลงดังกล่าวได้ดังนี้
1. มุ่งเน้นให้ประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งหมดปรับระบบว่าด้วยกฎระเบียบและการควบคุมบริภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ให้สอดคล้องกัน โดยเป็นไปตามข้อกำหนดในความตกลงนี้ และให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554
2. กำหนดนิยามของบริภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นผลิตภัณฑ์ควบคุม (regulated products) หรืออยู่ในขอบข่ายมาตรฐานบังคับของแต่ละประเทศ ซึ่งความตกลงนี้เรียกว่า Electrical and Electronic Equipment หรือ EEE ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในสภาพใหม่ใช้ไฟฟ้าแรงดันต่ำ (กระแสสลับ 50-1000 V/กระแสตรง 75-1000 V) ไม่ครอบคลุมบริภัณฑ์โทรคมนาคม และบริภัณฑ์ทางการแพทย์ กล่าวคือมีจุดมุ่งหมายให้ EEE ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในที่พักอาศัยทั่วไป
3. กฎระเบียบทางเทคนิคหรือมาตรฐานบังคับสำหรับบริภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของแต่ละประเทศจะต้องเป็นไปตามข้อกำหนดที่ความตกลงนี้เรียกว่า Essential Requirements เป็นข้อกำหนดว่าด้วยความปลอดภัย (Safety) สิ่งแวดล้อม (Environment) และการรบกวนทางคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Compatibility : EMC) ทั้งนี้ข้อกำหนดดังกล่าวต้องสอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยคณะกรรมการร่วม JSC EEE เป็นผู้กำหนด
4. กำหนดให้มีกระบวนการตรวจรับรองและขึ้นทะเบียน EEE ดังนี้
4.1 EEE จะต้องได้รับการรับรองจากหน่วยรับรองที่มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อ (Listed Certification Bodies) ซึ่งผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบจาก JSC EE MRA และได้รับการแต่งตั้งโดย Designating Body ของแต่ละประเทศ หน่วยรับรองจะออกใบรับรอง (Certificate of Conformity - CoC) ให้ซึ่งมีผลใช้ได้ไม่เกิน 3 ปี หากพ้นกำหนดต้องขอรับการรับรองใหม่
4.2 EEE ที่วางจำหน่ายในประเทศใด ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการยื่นคำขอขึ้นทะเบียน EEE นั้นต่อ Regulatory Authority ของประเทศนั้น โดยใช้ใบรับรอง CoC เมื่อได้รับการขึ้นทะเบียนแล้วจึงจะวางจำหน่ายได้
5. JSC EEE จะรับผิดชอบในการกำหนดระดับความเสี่ยงของ EEE แต่ละชนิด และกำหนดให้ใช้ระบบการรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ตามเงื่อนไขต่อไปนี้
5.1 EEE ที่มีความเสี่ยงสูงใช้ Certification System 5 (ตรวจสอบตัวอย่าง+ตรวจประเมินระบบคุณภาพ+ติดตามผล)
5.2 EEE ที่มีความเสี่ยงต่ำใช้ Certification System 1 (ตรวจสอบตัวอย่าง+ติดตามผล)
6. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการตรวจรับรองและขึ้นทะเบียน EEE มีดังนี้
6.1 Testing Lab. และ Certification Body ที่ได้รับการแต่งตั้งโดย Designating Body ทำหน้าที่ ทดสอบและออกใบรับรอง (CoC) ให้แก่ EEE
6.2 Designating Body ทำหน้าที่แต่งตั้ง Testing Lab. และ Certification Body Regulatory Authority ทำหน้าที่ขึ้นทะเบียน EEE
7. กำหนดขอบข่าย EEE ที่สามรถใช้ประโยชน์จากกลไกของความตกลงนี้ เฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในภูมิภาคอาเซียนเท่านั้น
8. กระทรวงอุตสาหกรรมได้ขอให้กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาร่างดังกล่าวแล้ว ไม่มีข้อขัดข้องในด้านสารัตถะ แต่มีข้อสังเกตว่าความตกลงฉบับนี้มีผลให้ประเทศสมาชิกอาเซียนต้องปฏิบัติตามพันธะกรณี กระทรวงอุตสาหกรรมจึงจำเป็นต้องปรับแก้กฎระเบียบบางส่วนให้สอดคล้องกับความตกลงดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2553 ซึ่งประเด็นนี้ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมได้พิจารณาแล้วเห็นว่า สามารถดำเนินการได้ตามความตกลงดังกล่าว โดยในส่วนของกฎระเบียบทางเทคนิคได้เริ่มทยอยปรับปรุงให้เป็นไปตามความตกลงฯ แล้ว ส่วนกระบวนการตรวจประเมินในปัจจุบันใช้รูปแบบ Certification System 5 ซึ่งเข้มงวดกว่าอีกรูปแบบหนึ่ง (Certification System 1) หากจะปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงต่ำมาใช้กระบวนการตรวจประเมินอีกรูปแบบหนึ่งจะสามารถทำได้ภายในกำหนดเวลา
9. กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาแล้วเห็นว่า ความตกลงดังกล่าวจะเป็นกลไกในการสร้างการยอมรับ ร่วมสำหรับบริภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นผลิตภัณฑ์ควบคุมหรืออยู่ในขอบข่ายมาตรฐานบังคับของประเทศอาเซียนเป็นการลดอุปสรรคด้านกฎระเบียบทางเทคนิคของการค้าในภูมิภาคนี้ และยกระดับความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งยังเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community-AEC) ให้บรรลุวัตถุประสงค์ยิ่งขึ้น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 6 ธันวาคม 2548--จบ--
1. เห็นชอบในการลงนามความตกลงว่าด้วยการปรับระบบด้านกฎระเบียบและการควบคุมบริภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน โดยอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ในฐานะรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนของไทยลงนามในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 11 ระหว่างวันที่ 9-14 ธันวาคม 2548 ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญในการความตกลงฯ ให้คณะรัฐมนตรีมอบให้ผู้ลงนามเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีได้
2. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจลงนามในความตกลงดังกล่าวให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ลงนามและจัดทำสัตยาบันสารสำหรับความตกลงต่อไป
ทั้งนี้กระทรวงอุตสาหกรรมชี้แจงว่า มาเลเซียจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 11 ระหว่างวันที่ 9-14 ธันวาคม 2548 ซึ่งในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งนี้จะมีการลงนามในความ ตกลงว่าด้วยการปรับระบบด้านกฎระเบียบ และการควบคุมบริภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน (Agreement on the ASEAN Harmonized Electrical and Electronic Equipment (EEE) Regulatory Regime) โดยสรุปสาระสำคัญของความตกลงดังกล่าวได้ดังนี้
1. มุ่งเน้นให้ประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งหมดปรับระบบว่าด้วยกฎระเบียบและการควบคุมบริภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ให้สอดคล้องกัน โดยเป็นไปตามข้อกำหนดในความตกลงนี้ และให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554
2. กำหนดนิยามของบริภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นผลิตภัณฑ์ควบคุม (regulated products) หรืออยู่ในขอบข่ายมาตรฐานบังคับของแต่ละประเทศ ซึ่งความตกลงนี้เรียกว่า Electrical and Electronic Equipment หรือ EEE ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในสภาพใหม่ใช้ไฟฟ้าแรงดันต่ำ (กระแสสลับ 50-1000 V/กระแสตรง 75-1000 V) ไม่ครอบคลุมบริภัณฑ์โทรคมนาคม และบริภัณฑ์ทางการแพทย์ กล่าวคือมีจุดมุ่งหมายให้ EEE ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในที่พักอาศัยทั่วไป
3. กฎระเบียบทางเทคนิคหรือมาตรฐานบังคับสำหรับบริภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของแต่ละประเทศจะต้องเป็นไปตามข้อกำหนดที่ความตกลงนี้เรียกว่า Essential Requirements เป็นข้อกำหนดว่าด้วยความปลอดภัย (Safety) สิ่งแวดล้อม (Environment) และการรบกวนทางคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Compatibility : EMC) ทั้งนี้ข้อกำหนดดังกล่าวต้องสอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยคณะกรรมการร่วม JSC EEE เป็นผู้กำหนด
4. กำหนดให้มีกระบวนการตรวจรับรองและขึ้นทะเบียน EEE ดังนี้
4.1 EEE จะต้องได้รับการรับรองจากหน่วยรับรองที่มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อ (Listed Certification Bodies) ซึ่งผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบจาก JSC EE MRA และได้รับการแต่งตั้งโดย Designating Body ของแต่ละประเทศ หน่วยรับรองจะออกใบรับรอง (Certificate of Conformity - CoC) ให้ซึ่งมีผลใช้ได้ไม่เกิน 3 ปี หากพ้นกำหนดต้องขอรับการรับรองใหม่
4.2 EEE ที่วางจำหน่ายในประเทศใด ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการยื่นคำขอขึ้นทะเบียน EEE นั้นต่อ Regulatory Authority ของประเทศนั้น โดยใช้ใบรับรอง CoC เมื่อได้รับการขึ้นทะเบียนแล้วจึงจะวางจำหน่ายได้
5. JSC EEE จะรับผิดชอบในการกำหนดระดับความเสี่ยงของ EEE แต่ละชนิด และกำหนดให้ใช้ระบบการรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ตามเงื่อนไขต่อไปนี้
5.1 EEE ที่มีความเสี่ยงสูงใช้ Certification System 5 (ตรวจสอบตัวอย่าง+ตรวจประเมินระบบคุณภาพ+ติดตามผล)
5.2 EEE ที่มีความเสี่ยงต่ำใช้ Certification System 1 (ตรวจสอบตัวอย่าง+ติดตามผล)
6. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการตรวจรับรองและขึ้นทะเบียน EEE มีดังนี้
6.1 Testing Lab. และ Certification Body ที่ได้รับการแต่งตั้งโดย Designating Body ทำหน้าที่ ทดสอบและออกใบรับรอง (CoC) ให้แก่ EEE
6.2 Designating Body ทำหน้าที่แต่งตั้ง Testing Lab. และ Certification Body Regulatory Authority ทำหน้าที่ขึ้นทะเบียน EEE
7. กำหนดขอบข่าย EEE ที่สามรถใช้ประโยชน์จากกลไกของความตกลงนี้ เฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในภูมิภาคอาเซียนเท่านั้น
8. กระทรวงอุตสาหกรรมได้ขอให้กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาร่างดังกล่าวแล้ว ไม่มีข้อขัดข้องในด้านสารัตถะ แต่มีข้อสังเกตว่าความตกลงฉบับนี้มีผลให้ประเทศสมาชิกอาเซียนต้องปฏิบัติตามพันธะกรณี กระทรวงอุตสาหกรรมจึงจำเป็นต้องปรับแก้กฎระเบียบบางส่วนให้สอดคล้องกับความตกลงดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2553 ซึ่งประเด็นนี้ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมได้พิจารณาแล้วเห็นว่า สามารถดำเนินการได้ตามความตกลงดังกล่าว โดยในส่วนของกฎระเบียบทางเทคนิคได้เริ่มทยอยปรับปรุงให้เป็นไปตามความตกลงฯ แล้ว ส่วนกระบวนการตรวจประเมินในปัจจุบันใช้รูปแบบ Certification System 5 ซึ่งเข้มงวดกว่าอีกรูปแบบหนึ่ง (Certification System 1) หากจะปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงต่ำมาใช้กระบวนการตรวจประเมินอีกรูปแบบหนึ่งจะสามารถทำได้ภายในกำหนดเวลา
9. กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาแล้วเห็นว่า ความตกลงดังกล่าวจะเป็นกลไกในการสร้างการยอมรับ ร่วมสำหรับบริภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นผลิตภัณฑ์ควบคุมหรืออยู่ในขอบข่ายมาตรฐานบังคับของประเทศอาเซียนเป็นการลดอุปสรรคด้านกฎระเบียบทางเทคนิคของการค้าในภูมิภาคนี้ และยกระดับความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งยังเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community-AEC) ให้บรรลุวัตถุประสงค์ยิ่งขึ้น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 6 ธันวาคม 2548--จบ--