คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ประกาศใช้กฎอนามัยระหว่างประเทศ ค.ศ. 2005 ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2550 เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และมอบให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวงต่าง ๆ เพื่อจัดทำแผนพัฒนาความพร้อมที่จะปฏิบัติตามกฎอนามัยระหว่างประเทศเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง และให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณสนับสนุนและให้กระทรวงต่าง ๆ ให้ความร่วมมือในการเฝ้าระวัง แจ้งข่าว และควบคุมภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข และหากพบปัญหาอุปสรรคของการปฏิบัติตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ ให้แจ้งกระทรวงสาธารณสุขทราบเพื่อจะได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงบประมาณไปพิจารณาด้วย
กระทรวงสาธารณสุขรายงานว่า
1. กฎอนามัยระหว่างประเทศ International Health Regulation (IHR) เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศของสมาชิกองค์การอนามัยโลก (WHO) มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกัน ควบคุมโรคที่อาจมีผลกระทบต่อการเดินทางและการค้าขายระหว่างประเทศ กฎอนามัยระหว่างประเทศฉบับแรกเริ่มประกาศใช้มาตั้งแต่ ค.ศ. 1969 โดยโรคที่ต้องควบคุมและรายงานตามกฎอนามัยระหว่างประเทศมี 3 โรค คือ 1) อหิวาตกโรค 2) กาฬโรค และ 3) ไข้เหลือง ประเทศไทยได้ยอมรับและนำข้อตกลงดังกล่าวมากำหนดในพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2523 และพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ตลอดจนกฎระเบียบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2. องค์การอนามัยโลกร่วมกับประเทศสมาชิกได้มีการทบทวนกฎอนามัยระหว่างประเทศใหม่ เนื่องจากฉบับเดิมไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันเพราะมีบางประเทศใช้ปัญหาโรคติดต่อระหว่างประเทศเป็นข้อกีดกันทางการค้า การปกปิดข้อมูล การใช้มาตรการที่รุนแรงเกินความจำเป็น เช่น การส่งกลับผู้ป่วยหรือผู้สัมผัส การห้ามเข้าประเทศ การเลือกปฏิบัติ และการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล โดยกฎอนามัยระหว่างประเทศฉบับใหม่มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจจับการระบาดของโรคและภัยสุขภาพ มีการกำหนดมาตรการป้องกันควบคุมโรค เพื่อลดและป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการคมนาคมขนส่ง การค้าระหว่างประเทศ รวมทั้งไม่ขัดต่อสิทธิมนุษยชนและอธิปไตย ซึ่งกฎอนามัยระหว่างประเทศฉบับใหม่ได้รับการรับรองจากการประชุมสมัชชาองค์การอนามัยโลกเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2548 และจะมีผลบังคับใช้ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2550 สาระสำคัญของกฎอนามัยระหว่างประเทศฉบับใหม่ ประกอบด้วย
2.1 โรคติดต่อที่ประเทศภาคีต้องแจ้งต่อองค์การอนามัยโลกแม้จะมีผู้ป่วยเพียงรายเดียวภายใน 24 ชั่วโมง และต้องรีบดำเนินการควบคุมป้องกันโรคทันทีที่ทราบว่ามีการระบาด ได้แก่ โรคฝีดาษ (Smallpox) โปลิโอ ซาร์ส และไข้หวัดใหญ่ (ในคน) ที่เป็นเชื้อไวรัส Sub-type ใหม่ (Human influenza caused by a new subtype)
2.2 โรคที่ต้องการแจ้งองค์การอนามัยโลกเมื่อมีความรุนแรงหรือเกิดการระบาดที่จะกระทบประเทศอื่นได้แก่ 1) อหิวาตกโรค Cholera 2) Pneumonic Plaguc 3) ไข้เหลือง Yellow fever 4) Viral hemorrhagic fevers (Ebola, Lassa, Marburg) 5) West Nile fever และโรคอื่น ๆ ที่ห่วงกังวลเช่น Dengue fever Rift Valley fever และ Meningococcal disease
2.3 โรคและภัยสุขภาพอื่น ๆ นอกเหนือจาก 2.1 และ 2.2 ที่เข้าเกณฑ์ตามแนวทางที่กำหนด
2.4 การรายงานหากเกิดการระบาดของโรค ประเทศสมาชิกต้องรายงานองค์การอนามัยโลกภายใน 24 ชั่วโมง และองค์การอนามัยโลกสามารถใช้ข้อมูลการเกิดโรคจากแหล่งข้อมูลอื่นที่ไม่ใช่ของประเทศนั้นตรวจสอบกับประเทศสมาชิกเพื่อยืนยันและประเทศสมาชิกต้องจัดการควบคุมป้องกันโรค และองค์การอนามัยโลกจะส่งทีมผู้เชี่ยวชาญเข้าไปช่วยเหลือเมื่อมีการร้องขอจากประเทศนั้น ๆ
2.5 ประเทศสมาชิกจะต้องจัดให้มีการพัฒนา ปรับปรุงระบบการเฝ้าระวัง ควบคุมโรคให้สามารถตรวจจับ ประเมิน รายงาน และควบคุมโรค ภัยสุขภาพตั้งแต่ระดับหมู่บ้านจนถึงระดับประเทศ พัฒนามาตรการการป้องกัน ควบคุมโรคที่ด่านเข้าออกระหว่างประเทศ โดยให้เตรียมความพร้อมภายในกำหนดระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี หลังจากการรับรองกฎอนามัยระหว่างประเทศ
2.6 องค์การอนามัยโลกต้องจัดให้มีคณะผู้เชี่ยวชาญ 2 คณะ คือ Review Committee มีหน้าที่ ทบทวนร่างกฎอนามัยระหว่างประเทศ และ Emergency Committee มีหน้าที่พิจารณาภาวะฉุกเฉินทางด้านสาธารณสุขและให้ข้อเสนอแนะต่อองค์การอนามัยโลก
2.7 ด้านมาตรฐานสาธารณสุขที่ด่านเข้าออกระหว่างประเทศให้มีการพัฒนามาตรฐานงานด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ณ จุดเข้า — ออกระหว่างประเทศ
ในการนี้ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถปฏิบัติตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุขจะต้องดำเนินการ ดังนี้
1. ให้ทุกอำเภอ จังหวัด เขต และส่วนกลางจะต้องมีหน่วยงานระบาดวิทยา และทีมเฝ้าระวังสอบสวนโรค (Survillance and Rapid Response Team) รวมทั้งจะต้องมีงบประมาณสนับสนุน
2. จะต้องมีการพัฒนาห้องปฏิบัติการทุกระดับให้มีศักยภาพในการตรวจหาโรคติดต่อที่สำคัญ
3. จะต้องพัฒนามาตรฐานงานด่านโรคติดต่อระหว่างประเทศ ณ จุดเข้า — ออกระหว่างประเทศ
4. เป็นแกนกลางในการประสานงานด้านการเฝ้าระวัง แจ้งข่าว และควบคุมภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขทุกด้านกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 5 มิถุนายน 2550--จบ--
กระทรวงสาธารณสุขรายงานว่า
1. กฎอนามัยระหว่างประเทศ International Health Regulation (IHR) เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศของสมาชิกองค์การอนามัยโลก (WHO) มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกัน ควบคุมโรคที่อาจมีผลกระทบต่อการเดินทางและการค้าขายระหว่างประเทศ กฎอนามัยระหว่างประเทศฉบับแรกเริ่มประกาศใช้มาตั้งแต่ ค.ศ. 1969 โดยโรคที่ต้องควบคุมและรายงานตามกฎอนามัยระหว่างประเทศมี 3 โรค คือ 1) อหิวาตกโรค 2) กาฬโรค และ 3) ไข้เหลือง ประเทศไทยได้ยอมรับและนำข้อตกลงดังกล่าวมากำหนดในพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2523 และพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ตลอดจนกฎระเบียบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2. องค์การอนามัยโลกร่วมกับประเทศสมาชิกได้มีการทบทวนกฎอนามัยระหว่างประเทศใหม่ เนื่องจากฉบับเดิมไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันเพราะมีบางประเทศใช้ปัญหาโรคติดต่อระหว่างประเทศเป็นข้อกีดกันทางการค้า การปกปิดข้อมูล การใช้มาตรการที่รุนแรงเกินความจำเป็น เช่น การส่งกลับผู้ป่วยหรือผู้สัมผัส การห้ามเข้าประเทศ การเลือกปฏิบัติ และการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล โดยกฎอนามัยระหว่างประเทศฉบับใหม่มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจจับการระบาดของโรคและภัยสุขภาพ มีการกำหนดมาตรการป้องกันควบคุมโรค เพื่อลดและป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการคมนาคมขนส่ง การค้าระหว่างประเทศ รวมทั้งไม่ขัดต่อสิทธิมนุษยชนและอธิปไตย ซึ่งกฎอนามัยระหว่างประเทศฉบับใหม่ได้รับการรับรองจากการประชุมสมัชชาองค์การอนามัยโลกเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2548 และจะมีผลบังคับใช้ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2550 สาระสำคัญของกฎอนามัยระหว่างประเทศฉบับใหม่ ประกอบด้วย
2.1 โรคติดต่อที่ประเทศภาคีต้องแจ้งต่อองค์การอนามัยโลกแม้จะมีผู้ป่วยเพียงรายเดียวภายใน 24 ชั่วโมง และต้องรีบดำเนินการควบคุมป้องกันโรคทันทีที่ทราบว่ามีการระบาด ได้แก่ โรคฝีดาษ (Smallpox) โปลิโอ ซาร์ส และไข้หวัดใหญ่ (ในคน) ที่เป็นเชื้อไวรัส Sub-type ใหม่ (Human influenza caused by a new subtype)
2.2 โรคที่ต้องการแจ้งองค์การอนามัยโลกเมื่อมีความรุนแรงหรือเกิดการระบาดที่จะกระทบประเทศอื่นได้แก่ 1) อหิวาตกโรค Cholera 2) Pneumonic Plaguc 3) ไข้เหลือง Yellow fever 4) Viral hemorrhagic fevers (Ebola, Lassa, Marburg) 5) West Nile fever และโรคอื่น ๆ ที่ห่วงกังวลเช่น Dengue fever Rift Valley fever และ Meningococcal disease
2.3 โรคและภัยสุขภาพอื่น ๆ นอกเหนือจาก 2.1 และ 2.2 ที่เข้าเกณฑ์ตามแนวทางที่กำหนด
2.4 การรายงานหากเกิดการระบาดของโรค ประเทศสมาชิกต้องรายงานองค์การอนามัยโลกภายใน 24 ชั่วโมง และองค์การอนามัยโลกสามารถใช้ข้อมูลการเกิดโรคจากแหล่งข้อมูลอื่นที่ไม่ใช่ของประเทศนั้นตรวจสอบกับประเทศสมาชิกเพื่อยืนยันและประเทศสมาชิกต้องจัดการควบคุมป้องกันโรค และองค์การอนามัยโลกจะส่งทีมผู้เชี่ยวชาญเข้าไปช่วยเหลือเมื่อมีการร้องขอจากประเทศนั้น ๆ
2.5 ประเทศสมาชิกจะต้องจัดให้มีการพัฒนา ปรับปรุงระบบการเฝ้าระวัง ควบคุมโรคให้สามารถตรวจจับ ประเมิน รายงาน และควบคุมโรค ภัยสุขภาพตั้งแต่ระดับหมู่บ้านจนถึงระดับประเทศ พัฒนามาตรการการป้องกัน ควบคุมโรคที่ด่านเข้าออกระหว่างประเทศ โดยให้เตรียมความพร้อมภายในกำหนดระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี หลังจากการรับรองกฎอนามัยระหว่างประเทศ
2.6 องค์การอนามัยโลกต้องจัดให้มีคณะผู้เชี่ยวชาญ 2 คณะ คือ Review Committee มีหน้าที่ ทบทวนร่างกฎอนามัยระหว่างประเทศ และ Emergency Committee มีหน้าที่พิจารณาภาวะฉุกเฉินทางด้านสาธารณสุขและให้ข้อเสนอแนะต่อองค์การอนามัยโลก
2.7 ด้านมาตรฐานสาธารณสุขที่ด่านเข้าออกระหว่างประเทศให้มีการพัฒนามาตรฐานงานด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ณ จุดเข้า — ออกระหว่างประเทศ
ในการนี้ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถปฏิบัติตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุขจะต้องดำเนินการ ดังนี้
1. ให้ทุกอำเภอ จังหวัด เขต และส่วนกลางจะต้องมีหน่วยงานระบาดวิทยา และทีมเฝ้าระวังสอบสวนโรค (Survillance and Rapid Response Team) รวมทั้งจะต้องมีงบประมาณสนับสนุน
2. จะต้องมีการพัฒนาห้องปฏิบัติการทุกระดับให้มีศักยภาพในการตรวจหาโรคติดต่อที่สำคัญ
3. จะต้องพัฒนามาตรฐานงานด่านโรคติดต่อระหว่างประเทศ ณ จุดเข้า — ออกระหว่างประเทศ
4. เป็นแกนกลางในการประสานงานด้านการเฝ้าระวัง แจ้งข่าว และควบคุมภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขทุกด้านกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 5 มิถุนายน 2550--จบ--