ดัชนีราคาส่งออก — นำเข้าของประเทศ และดัชนีคาดการณ์ภาวะธุรกิจส่งออกเดือนมิถุนายน 2553

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday August 4, 2010 16:48 —มติคณะรัฐมนตรี

คณะรัฐมนตรีรับทราบข้อมูลดัชนีราคาส่งออก — นำเข้าของประเทศ และดัชนีคาดการณ์ภาวะธุรกิจส่งออกเดือนมิถุนายน 2553 ของกระทรวงพาณิชย์ สรุปได้ดังนี้

ดัชนีราคาส่งออก-นำเข้าของประเทศ

เดือนมิถุนายน 2553 และระยะ 6 เดือนแรกของปี 2553

กระทรวงพาณิชย์ มีการปรับปรุงการจัดทำดัชนีราคาส่งออก-นำเข้าของประเทศ โดยปรับเปลี่ยนน้ำหนักจากปี 2551 เป็นปี 2552 ใช้มูลค่าการส่งออก-นำเข้า จากกรมศุลกากรเป็นตัวถ่วงน้ำหนัก และได้มีการปรับปรุงรายการสินค้าที่ใช้คำนวณในปี 2553 คือ ดัชนีราคาส่งออก จำนวน 1,138 รายการ และดัชนีราคานำเข้า จำนวน 909 รายการ เพื่อให้สะท้อนภาวะการค้าของประเทศที่เป็นปัจจุบันแต่ยังคงปีฐาน 2550 = 100

กระทรวงพาณิชย์ รายงานความเคลื่อนไหวดัชนีราคาส่งออก-นำเข้าของประเทศในรูปเงินเหรียญสหรัฐ ดัชนีราคาส่งออก เดือนมิถุนายน 2553 เทียบกับเดือนที่ผ่านมาลดลงเป็นเดือนแรกในรอบปี คือ ลดลงร้อยละ 0.2 สาเหตุสำคัญจากการลดลงของหมวดสินค้าเกษตรกรรม หมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิง สำหรับดัชนีราคานำเข้าลดลงร้อยละ 0.3 จากการลดลงของหมวดสินค้าเชื้อเพลิง

1. ดัชนีราคาส่งออก

1.1 ดัชนีราคาส่งออกของประเทศ เดือนมิถุนายน 2553

ในปี 2550 ดัชนีราคาส่งออกของประเทศ เท่ากับ 100 เดือนมิถุนายน 2553 เท่ากับ 119.8 และเดือนพฤษภาคม 2553 เท่ากับ 120.0

1.2 การเปลี่ยนแปลงดัชนีราคาส่งออกของประเทศ เดือนมิถุนายน 2553 เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2553 ลดลงร้อยละ 0.2 เดือนมิถุนายน 2552 สูงขึ้นร้อยละ 8.2 เฉลี่ย 6 เดือน (มกราคม-มิถุนายน) ปี 2553 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2552 สูงขึ้นร้อยละ 11.1

1.3 ดัชนีราคาส่งออกของประเทศเดือนมิถุนายน 2553 เทียบกับเดือนพฤษภาคม 2553 ลดลงร้อยละ 0.2 (เดือนพฤษภาคม 2553 สูงขึ้นร้อยละ 0.1) เป็นผลจากการลดลงของหมวดสินค้าเกษตรกรรม ลดลงร้อยละ 0.9 และหมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิง ลดลงร้อยละ 1.8 สำหรับหมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร สูงขึ้นร้อยละ 0.7 ส่วนหมวดสินค้าอุตสาหกรรม ไม่เปลี่ยนแปลง

สินค้าส่งออกที่ราคาลดลง

หมวดสินค้าเกษตรกรรม ดัชนีราคาส่งออกลดลงร้อยละ 0.9 (เดือนพฤษภาคม 2553 ลดลงร้อยละ 1.6) จากการลดลงของสินค้ากสิกรรม ที่สำคัญ ได้แก่ ยางพารา ราคาลดลงจากความต้องการชะลอตัวลงโดยเฉพาะจีน ประกอบกับความผันผวนของราคาน้ำมันและการแข็งค่าของเงินเยน ข้าว ตลาดต่างประเทศชะลอการสั่งซื้อ นอกจากนี้ผลไม้แช่เย็นแช่แข็ง ผักแช่เย็นแช่แข็ง กล้วยไม้ และสินค้าประมง ปลาหมึก ปลา มีราคาลดลงเช่นกัน

หมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิง ดัชนีราคาส่งออกลดลงร้อยละ 1.8 (เดือนพฤษภาคม 2553 ลดลง ร้อยละ 0.2) สินค้าสำคัญที่ราคาลดลง ได้แก่ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว สังกะสี น้ำมันดิบ และน้ำมันสำเร็จรูป

สินค้าส่งออกที่ราคาสูงขึ้น

หมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร ดัชนีราคาส่งออกสูงขึ้นร้อยละ 0.7 (เดือนพฤษภาคม 2553 สูงขึ้น ร้อยละ 1.3) จากการสูงขึ้นของน้ำตาลทราย ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ผักกระป๋องและแปรรูป และผลิตภัณฑ์ข้าว

หมวดสินค้าอุตสาหกรรม ดัชนีราคาส่งออกไม่เปลี่ยนแปลง (เดือนพฤษภาคม 2553 สูงขึ้นร้อยละ 0.2) สินค้าที่ราคาสูงขึ้น ได้แก่ สิ่งทอ อัญมณีและเครื่องประดับ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง และยานพาหนะ สินค้าที่ราคาลดลง ได้แก่ เครื่องอิเลคทรอนิกส์ เม็ดพลาสติก และเคมีภัณฑ์

1.4 ดัชนีราคาส่งออกของประเทศเดือนมิถุนายน 2553 เทียบกับเดือนมิถุนายน 2552 ดัชนีราคาส่งออกสูงขึ้นร้อยละ 8.2 จากการสูงขึ้นของทุกหมวด ได้แก่ หมวดสินค้าเกษตรกรรม สูงขึ้นร้อยละ 36.9 หมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร สูงขึ้นร้อยละ 7.3 หมวดสินค้าอุตสาหกรรม สูงขึ้นร้อยละ 3.0 และหมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิง สูงขึ้น ร้อยละ 16.6

1.5 ดัชนีราคาส่งออกของประเทศเฉลี่ย 6 เดือน (มกราคม-มิถุนายน) ปี 2553 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2552 ดัชนีราคาส่งออกสูงขึ้นร้อยละ 11.1 จากการสูงขึ้นของหมวดสินค้าเกษตรกรรม สูงขึ้นร้อยละ 40.0 หมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร สูงขึ้นร้อยละ 6.9 หมวดสินค้าอุตสาหกรรม สูงขึ้นร้อยละ 3.7 และหมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิง สูงขึ้นร้อยละ 43.8

2. ดัชนีราคานำเข้า

2.1 ดัชนีราคานำเข้าของประเทศ เดือนมิถุนายน 2553

ในปี 2550 ดัชนีราคานำเข้าของประเทศ เท่ากับ 100 เดือนมิถุนายน 2553 เท่ากับ 117.4 และเดือนพฤษภาคม 2553 เท่ากับ 117.7

2.2 การเปลี่ยนแปลงดัชนีราคานำเข้าของประเทศ เดือนมิถุนายน 2553 เมื่อเทียบกับ เดือนพฤษภาคม 2553 ลดลงร้อยละ 0.3 เดือนมิถุนายน 2552 สูงขึ้นร้อยละ 6.1 เฉลี่ย 6 เดือน (มกราคม-มิถุนายน) ปี2553 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2552 สูงขึ้นร้อยละ 10.0

2.3 ดัชนีราคานำเข้าของประเทศเดือนมิถุนายน 2553 เทียบกับเดือนพฤษภาคม 2553 ลดลงร้อยละ 0.3 (เดือนพฤษภาคม 2553 ลดลงร้อยละ 0.1) เป็นผลจากการลดลงของหมวดสินค้าเชื้อเพลิง ลดลงร้อยละ 3.6 สำหรับหมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป สูงขึ้นร้อยละ 1.0 หมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง สูงขึ้นร้อยละ 0.5 หมวดสินค้าอุปโภคบริโภคและหมวดสินค้าทุน สูงขึ้นเท่ากัน คือ ร้อยละ 0.1

สินค้านำเข้าที่ราคาลดลง

หมวดสินค้าเชื้อเพลิง ดัชนีราคานำเข้าลดลงร้อยละ 3.6 (เดือนพฤษภาคม 2553 ลดลงร้อยละ 2.2) ได้แก่ น้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป และก๊าซธรรมชาติปิโตรเลียม ราคาอ่อนตัวลงตามภาวะตลาดโลก

สินค้านำเข้าที่ราคาสูงขึ้น

หมวดสินค้าทุน ดัชนีราคานำเข้าสูงขึ้นร้อยละ 0.1 (เดือนพฤษภาคม 2553 สูงขึ้นร้อยละ 0.1) สินค้าสำคัญที่ราคาสูงขึ้น ได้แก่ ผลิตภัณฑ์โลหะทำด้วยทองแดง เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ

หมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป ดัชนีราคานำเข้าสูงขึ้นร้อยละ 1.0 (เดือนพฤษภาคม 2553 สูงขึ้นร้อยละ 0.7) สินค้าสำคัญที่ราคาสูงขึ้น ได้แก่ สัตว์น้ำสดแช่เย็นแช่แข็ง (ปลาทูน่า กุ้ง) โดยเฉพาะปลาทูน่าราคาปรับตัวสูงขึ้นมากเนื่องจากปริมาณออกสู่ตลาดน้อย นอกจากนี้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (วงจรพิมพ์ ไดโอด แผงวงจรไฟฟ้า) เงิน ทองคำ เคมีภัณฑ์ และแป้งสาลี ราคาสูงขึ้น

หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค ดัชนีราคานำเข้าสูงขึ้นร้อยละ 0.1 (เดือนพฤษภาคม 2553 ลดลงร้อยละ 0.1) สินค้าสำคัญที่ราคาสูงขึ้น ได้แก่ ยารักษาโรค และเครื่องใช้เบ็ดเตล็ด

หมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง ดัชนีราคานำเข้าสูงขึ้นร้อยละ 0.5 (เดือนพฤษภาคม 2553 สูงขึ้นร้อยละ 0.3) สินค้าสำคัญที่ราคาสูงขึ้น ได้แก่ รถยนต์โดยสารและบรรทุก ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์

2.4 ดัชนีราคานำเข้าของประเทศเดือนมิถุนายน 2553 เทียบกับเดือนมิถุนายน 2552 ดัชนีราคานำเข้าสูงขึ้นร้อยละ 6.1 ปัจจัยสำคัญจากการสูงขึ้นในหมวดสินค้าเชื้อเพลิง สูงขึ้นมากถึงร้อยละ 10.4 หมวดสินค้าทุน สูงขึ้นร้อยละ 2.8 หมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป สูงขึ้นร้อยละ 6.2 หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค สูงขึ้นร้อยละ 1.3 และหมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง สูงขึ้นร้อยละ 5.2

2.5 ดัชนีราคานำเข้าของประเทศเฉลี่ย 6 เดือน (มกราคม-มิถุนายน) ปี 2553 เทียบกับ ช่วงเดียวกันของปี 2552 ดัชนีราคานำเข้าสูงขึ้นร้อยละ 10.0 จากการสูงขึ้นของหมวดสินค้าเชื้อเพลิง สูงขึ้นร้อยละ 32.5 หมวดสินค้าทุน สูงขึ้นร้อยละ 3.2 หมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป สูงขึ้นร้อยละ 4.1 หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค สูงขึ้นร้อยละ 1.4 และหมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง สูงขึ้นร้อยละ 5.5

--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 3 สิงหาคม 2553--จบ--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ